ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
อุโปสถสีล (อุโปสถสีล 8 ประการ)
ชบ.บ.100/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.317/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 12 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ทองทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 129 (321-328) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : เตปิฎกานํสกถา (ฉลองปิฎก)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
พระองค์เจ้าหญิงมาลินีนภดารา เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ ๔๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประสูติแต่พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ประสูติเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๒๘ ทรงมีพระเชษฐา พระเชษฐภคินี และพระขนิษฐภคินี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี ภัทรวดีราชธิดา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติแต่พระอรรคชายาเธอขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ดังนั้น พระองค์จึงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา" หลังจากนั้น ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระสุพรรณบัตรเฉลิมพระนามาภิไธยสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา ศิรินิภาพรรณวดี"
สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๔๖๗ พระชันษา ๔๑ ปี ในการนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายในมีพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ามาลินีนพดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา"
หลังรัชกาลที่ ๗ ออกพระนามเป็น “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา นับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่สืบสายจากพระบรมชนกนาถ
ภาพ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา
ชื่อเรื่อง : ประชุม พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงบริหารราชการแผ่นดิน ภาคที่ ๓ (ตอน ๒) ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๓๔ ถึงพุทธศักราช ๒๔๕๓ ชื่อผู้แต่ง : นายกรัฐมนตรี ปีที่พิมพ์ : 2513สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรีจำนวนหน้า : 496 หน้าสาระสังเขป : เป็นการรวบรวมพระราชหัตถเลขาที่ทรงบริหารราชการแผ่นดินระหว่าง พ.ศ. 2434 - 2453 พระราชทานไปยังเสนาบดีเจ้ากระทรวง ที่กราบบังคมทูลถวายรายงานข้อราชการในสังกัด ส่วนใหญ่ เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ พระเจ้าน้องยาเธอ หรือขุนนางผู้ใหญ่ชั้นเสนาบดีจตุสดมภ์ ตั้งแต่ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 110 ถึง วันที่ 5 กรกฎาคม ร.ศ. 129 ประกอบด้วย เรื่องเกี่ยวกับชาวจีนในด้านคดี ความต่างๆ การก่อความวุ่นวายของอั้งยี่ เป็นต้น
การสำรวจศิลปกรรมภาพลายเส้นใบเสมาบ้านคอนสวรรค์
โดย นางสาวนิตยา สาระรัตน์ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส
ใบเสมาบ้านคอนสวรรค์ ตั้งอยู่บ้านคอนสวรรค์ หมู่ที่ ๘,๙ และ ๑๑ ตำบลคอนสวรรค์ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เป็นชุมชนโบราณที่ปรากฎหลักฐานและร่องรอยการอยู่อาศัยของคนในอดีตมาตั้งแต่สมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๖ หลังจากนั้นปรากฏพบหลักฐานร่องรอยวัฒนธรรมขอมภายในชุมชน แต่พบหลักฐานค่อนข้างน้อย และเป็นไปได้ว่าชุมชนอาจทิ้งร้างไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งในสมัยวัฒนธรรมไท – ลาว เมื่อประมาณ ๑๐๐ – ๒๐๐ ปีมาแล้ว มีคนกลุ่มใหม่เข้ามาอยู่อาศัยภายในชุมชนอีกครั้ง ดังปรากฏอาคารโบราณสถานอุโบสถ (สิม) สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่สร้างตั้งอยู่ในวัดบ้านคอนสวรรค์
ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา (ขณะนั้น) ดำเนินงานบูรณะอาคารอุโบสถ (สิม) วัดบ้านคอนสวรรค์
ใบเสมาบ้านคอนสวรรค์ เป็นใบเสมาที่ทำจากหินทรายจำนวนมาก บริเวณที่พบนั้นเป็นเนินดินที่อยู่นอกเมือง เรียกว่า โนนกู่ ใบเสมาเหล่านี้ถูกนำไปเก็บไว้ที่ต่างๆ รอบหมู่บ้าน จนกระทั่งปัจจุบันได้นำมารวบรวมเก็บรักษาไว้ที่วัดบ้านคอนสวรรค์ ใบเสมาเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นแผ่นหิน และพบการสลักลวดลายประดับเป็นภาพบุคคลตามเรื่องราวชาดกตอนต่างๆ ในพุทธศาสนา ได้แก่ เวสสันดรชาดก สุวรรณสามชาดก ภูริฑัตชาดก เตมียชาดก มโหสถชาดก เทวธรรมชาดกหรือสีวิรราชชาดก มาตุโปสกชาดก
ขั้นตอนการดำเนินงาน
๑. ดำเนินการสำรวจเก็บข้อมูลภาพลายเส้นตามร่องรอยที่หลงเหลืออยู่จริง
๒. ดำเนินการวิเคราะห์ลายเส้นใบเสมา ร่วมกับนักโบราณคดี เพื่อเติมเต็มภาพลายเส้นให้สมบูรณ์
๓. ดำเนินการเติมภาพลายเส้นให้สมบูรณ์ ที่ได้ข้อมูลจากการวิเคราะห์
๔. ดำเนินการจัดทำเสกลหน้างานจากแหล่งใบเสมา เพื่อให้ได้ความแม่นยำของระยะของลวดลาย
๕. ดำเนินการวาดภาพลายเส้นใบเสมาให้สมบูรณ์ตามแนวทางการวิเคราะห์ร่วมกับนักโบราณคดี
๖. ภาพผลงานการวาดลายเส้นลวดลายใบเสมาที่เติมเต็มให้สมบูรณ์ บนกระดาษกราฟที่เข้าเสกลตามสัดส่วนจริง
๗. นำภาพผลงานการวาดลายเส้นลวดลายใบเสมาที่เติมเต็มให้สมบูรณ์ มาดำเนินการวาดเส้นในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Illustrator เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายต่อไป
ตอน การเกล้าผมตามแบบฉบับแม่หญิงล้านนา ในอดีตอาณาจักรล้านนา เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และมีวัฒนธรรมเฉพาะ ทั้งทางด้านภาษา ด้านอาหารการกิน รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและการแต่งกายที่งดงาม โดยเฉพาะแม่หญิงชาวล้านนาที่มีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถบ่งบอกถึงแหล่งที่อยู่อาศัย การเกล้าผมมวย เป็นลักษณะหนึ่งในการแต่งกายแบบแม่หญิงชาวล้านนา โดยตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงวัยผู้ใหญ่ ผู้หญิงชาวล้านนามักไว้ผมยาวจนถึงปลายซิ่น และเกล้าผมมวยให้อยู่ด้านหลังของศีรษะ หรืออยู่ประมาณสูงกว่าท้ายทอยของศีรษะ รูปแบบการเกล้าผมมวยของชาวล้านนานั้น โดยทั่วไปนิยมใช้หวีสับกวาดเส้นผมจากหน้าผากให้เรียบ แล้วใช้หวีสับไว้ใกล้มวยผม ส่วนตรงผมมวยอาจจะเหน็บปิ่นรั้งเอาไว้เพื่อไม่ให้มวยผมหลุด บ้างหาดอกไม้สดเสียบเพิ่มความสวยงาม หากมีฐานะมักจะตกแต่งผมด้วยดอกไม้ไหวที่ทำขึ้นจากทองเหลือง นอกจากทรงผมเกล้ามวยแบบที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีการเกล้าผมแบบอื่นด้วย เช่น การเกล้าผมมวยแบบชักหงีบ คือ ดึงผมด้านหน้าตรงกลางให้เรียบ แล้วใช้นิ้วสอดสองข้างตรงขมับ ให้ผมโป่งออกมาเล็กน้อย การเกล้าผมวิดหว้อง คือ การเกล้าผมบริเวณกลางศีรษะ โดยมีการดึงผมออกมา เรียกว่า ว้อง เพื่อเป็นห่วงกลางมวยผม การเกล้าผมแบบอั่วซ้อง คือ การเกล้าผมโดยนำเอาผมเป็นช่อ เรียก ช้อง (จ๊อง) นำมามัดกับเศษผมทาชันโรงและนำผมบางส่วนไปเสริมบนศีรษะก่อนมวยเพื่อให้มวยผมมีขนาดโตขึ้นและประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ในสมัยต่อมา ทรงผมที่นิยมคือ ทรงผมแบบอี่ปุ่น (ญี่ปุ่น) ซึ่งผู้ทำให้ผมทรงนี้จนเกิดความนิยมกันอย่างแพร่หลาย คือ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ได้นำการเกล้าผมแบบญี่ปุ่นมาใช้ เมื่อคราวเสด็จกลับเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๕๗ รูปแบบการทำผมทรงนี้คือ เกล้ามวยผมขึ้นสูงเหนือท้ายทอย บริเวณท้ายทอยอาจดึงให้ตึงหรือโป่งตามความพอใจ ส่วนด้านหน้าของทรงผมใช้หมอนหนุนให้มองดูสูงแล้วปักปิ่นตรงมวยด้านใดด้านหนึ่งแล้วเหน็บหวีควาย หากเป็นสาวชาวบ้านจะเน้นปักผมด้วยดอกเอื้อง (ดอกกล้วยไม้) ดอกหอมนวล (ลำดวน) ดอกมะลิ ดอกสลิด (ดอกขจร) สลับเวียนกันไป การตกแต่งด้วยดอกไม้นี้ ถือเป็นการบูชาขวัญแห่งตน ซึ่งดอกไม้ที่ใช้มักมีสีอ่อน กลิ่นหอม และมีความหมายดี ปัจจุบันการเกล้าผมในชาวล้านนานั้นยังพอพบเห็นได้บ้าง นอกจากนี้ยังมีการอนุรักษ์การแต่งกายแบบชาวล้านนา การเกล้ามวยผมแบบแม่หญิงล้านนาจึงสามารถพบเห็นได้ในโอกาสพิเศษ หรือการแต่งกายเพื่อการรำฟ้อน หรือตามประเพณีต่าง ๆ ที่จัดขึ้นทางภาคเหนือ ผู้เรียบเรียง : นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่.ภาพส่วนบุคคลชุดนายบุญเสริม สาตราภัย.อ้างอิง :๑. รัตนา พรหมพิชัย. "เกล้าผม (การแต่งกาย)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒: ๔๓๔ - ๔๓๖. ๒. ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ๒๕๖๑. "วิธีการดูแลเส้นผมของคนล้านนาโบราณ ที่บางคนไม่ยอมตัดไว้ยาวถึงพื้นก็มี" ใน คอลัมภ์ล้านนาคำเมือง (Online). https://www.matichonweekly.com/column/article_138323, ๒๖ เมษายน ๒๕๖๕.
สุภาษิตขงจู๊และวิธีประกอบอาหารจีนแบบง่าย ๆ. พระนคร : กรมศิลปากร, 2511. รวบรวมสุภาษิตขงจู๊ ด้านศีลธรรม การให้มีสติปัญญา ข้อควรปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และท้ายเล่มมีวิธีการประกอบอาหารจีนอย่างง่าย
บทความจากกฤษฎา นิลพัฒน์
นักวิชาการวัฒนธรรม
กลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน กองโบราณคดี กรมศิลปากร
ก่อนจะเข้าสู่บทความแอดมิน วีรวัฒน์ขอให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ "นิราศ" ก่อนครับนิราศ...คือ เรื่องราวที่พรรณนาถึงการจากกันหรือจากที่อยู่ไปในที่ต่าง ๆ เป็นต้น มักแต่งเป็นกลอนหรือโคลง เช่น นิราศนรินทร์ นิราศเมืองแกลงนิราศ...มักถูกพบ เเละเก็บรักษาไว้ในเเหล่งเรียนรู้ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ห้องสมุด หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุ นักสะสมหนังสือ นักสะสมวรรณกรรมท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นนิราศ...ถูกโต้เเย้งว่าจะเก็บไว้หอสมุดหรือหอจดหมายเหตุนิราศ...ถ้าเป็นต้นฉบับ เป็นลายมือเขียน รับมอบมาโดยตรง จะถูกเก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุนิราศ...ที่เป็นหนังสือ จัดพิมพ์ ทำซ้ำ สำเนา หรือพิมพ์เป็นหนังสืองานศพ จะถูกจัดเก็บในหอสมุดแห่งชาติ ฉบับพิมพ์ใหม่จะอยู่ในหมวดวรรณกรรมให้บริการในห้องหนังสือทั่วไป แต่ถ้าเป็นฉบับพิมพ์เก่า จะอยู่ใน ส่วนของหนังสือท้องถิ่น หนังสืองานศพ หนังสือหายากนิราศ...ถ้าถูกจัดเก็บสะสมโดยบุคคลเเละถูกส่งมอบต่อ ติดมาพร้อมเอกสารจดหมายเหตุที่บุคคลนั้นมอบให้ หรือประสงค์ให้กับหอจดหมายเหตุหรืออาจติดปะปนหนังสือราชการซึ่งผู้ปฏิบัติงานนั้นสะสมไว้ จะคัดเเยกเเละถูกเก็บไว้ในหอจดหมายเหตุ ใน ประเภท หนังสือหายากนิราศ...เป็น สารสนเทศ เพื่อการเผยแพร่ จัดเป็นสารสนเทศมรดกทางวัฒนธรรม ไม่แตกต่างกับ นวนิยาย หรือวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ เเต่ก็สามารถใช้ข้อมูล วันเวลา สถานที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้นิราศ...ที่ถูกจัดเก็บในหอจดหมายเหตุส่วนบุคคลนิราศก็จะกลายเป็นมรดกของบุคคลนั้น ที่เอามาเก็บในหอจดหมายเหตุเพื่อแสดงอัตลักษณ์ ว่า เขาผู้นั้น เป็นคนที่ชอบสะสม หนังสือนิราศ หรือวรรณกรรมต่าง ๆ เช่น นิราศทุ่งหวัง นิราศเทพา พบได้จากการสะสมของนายจรัส จันทร์พรหมรัตน์ หัวหน้างานจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาโรงเรียงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา ที่ได้เเบ่งปันข้อมูลในทางกลับกัน ถ้านิราศนั้น คนสะสมหรืออาจารย์จรัส เป็นคนเขียนเป็นต้นฉบับ ก็กลายเป็นงานของเขา นิราศจะกลายเป็นจดหมายเหตุ ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม (CUTURAL HERITAGE)ซึ่งเอกสารจดหมายเหตุ (ARCHIVES) มาจาก เอกสารราชการ (RECORDS) + มรดกทางวัฒนธรรม (CUTURAL HERITAGE)นิราศ...ในความเห็นแอดมิน สามารถตีความได้กับการบันทึกเหตุการณ์สำคัญในขณะนั้น เพราะปรากฎ วัน เวลา สถานที่ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ต่างเพียงเเค่ใช้ลีลาการเรียบเรียง โดยใช้ร้อยกรอง เช่นกลอน โคลง เเทนการใช้ร้อยเเก้วเรียบเรียงโดยการบันทึกเหตุการณ์นิราศ...สามารถนำข้อมูลมาเติมเต็มข้อมูลชั้นต้นทางประวัติศาสตร์ หรือเอกสารจดหมายเหตุได้ ถ้านิราศนั้นเขียนในสมัยบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์นั้นๆ เช่น นิราศทุ่งหวัง ประพันธ์โดยกระจ่าง แสงจันทร์ (ก. แสงจันทร์) ครูผู้ถวายพระอักษรพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ก็สามารถนำนิราศมาเติมเต็มเอกสารจดหมายเหตุในสมัยนั้นที่ขาดหายหรือไม่ได้กล่าวถึงในเอกสารราชการนั้นได้นิราศ...จึงไม่เป็นเพียงเเค่วรรณกรรมที่เขียนถึงคนรัก หรือเรื่องเชิงสังวาสดังเช่น นิราศทุ่งหวังนี้ ให้ประโยชน์ในการบันทึกเรื่องราวระหว่างการเดินทางลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เรื่องราวท้องถิ่นดังพระประสงค์ ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์สนจิตคิดแต่ถ้อย ระยะทางไม่ประสงค์ถึงนาง แน่งน้อยนักอ่านอย่าอางขนาง โอษฐ์ขนาบ นาพ่อผิวผิดคำถ้อย ขัดข้อง ขออภัยสรุปว่า เราจะพบนิราศเก็บรักษาในห้องสมุดมากกว่าเเหล่งอื่นใด และพบอยู่ในนักสะสมที่มีหอจดหมายเหตุส่วนบุคคล จนกว่าท่านนั้นจะส่งมอบหรือประสงค์มอบให้กับหอจดหมายเหตุเพื่อใช้เติมเติมเอกสารจดหเป็นจดหมายเหตุ หรือท่านนั้น เป็นเครือข่ายงานจดหมายเหตุกับหอจดหมายเหตุนั้น ๆดังที่นายวีรยุทธ พุทธธรรมรงค์ นักจดหมายเหตุนำเสนอ บทความ เรื่อง จากสุนทรภู่ ถึง กระจ่าง แสงจันทร์ ๑๐๐ ปี นิราศเทพา และนิราศทุ่งหวังที่ได้ข้อมูลจากนายจรัส จันทร์พรหมรัตน์หัวหน้างานจดหมายเหตุเเละพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาโรงเรียนมหาวชิราวุธ สงขลา (นักสะสม) เเละนายวุฒิชัย เพชรสุวรรณ ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ อบจ. สงขลา เก็บข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ตามรอยการเสด็จ ซึ่งทั้งสองเป็นเครือข่ายงานจดหมายเหตุ ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สงขลาติดตามได้จากบทความนี้ใน แผ่นภาพบทความที่เเนบในอัลบั้มนี้
แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง : ชุมชนโบราณสมัยทวารวดีที่ถือว่าเก่าที่สุดในจังหวัดพิจิตร #โบราณคดีจังหวัดพิจิตร #พี่โข่ทั๋ยมี๋เรื๋องเล๋า..#แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง ตำบลเขาทราย อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร เป็นชุมชนโบราณสมัยทวารวดีในยุคประวัติศาสตร์ที่ถือว่าเก่าที่สุดในจังหวัดพิจิตร ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มต่ำ มีลำน้ำหลายสายในพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ ผังเมืองมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอคล้ายรูปวงกลม พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบันคงเหลือหลักฐานไม่มากนัก เนื่องจากที่ตั้งปัจจุบันอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรม จึงทำให้ถูกทำลายไปส่วนใหญ่ ชุมชนวังแดงนับว่าเป็นชุมชนสำคัญ เพราะมีการขุดสระกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่บ้านสระเพ็ง เรียกอีกชื่อว่า “#สระเพ็ง” นอกจากนี้ ยังปรากฎว่ามีการค้นพบเหรียญเงินสมัยทวารวดี ลักษณะคือด้านหนึ่งเป็นรูปพระอาทิตย์ ส่วนอีกด้านเป็นรูปสัญลักษณ์พระนารายณ์ หรือ ที่เรียกว่า “#เหรียญเงินศรีวัตสะ” ซึ่งมีอายุสมัย ๑,๒๐๐ - ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว.พ.ศ. ๒๕๓๒ ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม ได้สำรวจและตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีบ้านวังแดงไว้ในหนังสือเรื่อง “เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย” โดยเรียกว่า ชุมชนบ้านคลองเดื่อ ซึ่งมีการสำรวจพบหลักฐานทางโบราณคดีในสมัยทวารวดี เช่น ซากเจดีย์ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ และมีเหรียญเงินแบบทวารวดีที่มีผู้ขุดพบเป็นจำนวนมาก ชุมชนโบราณที่บ้านคลองเดื่อนี้ ยังปรากฏร่องรอยของคูน้ำคันดินให้เห็นบางส่วน ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตร ในเขตบ้านวังแดงได้มีการสำรวจพบสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ปรากฏเศษภาชนะดินเผาแบบเนื้อไม่แกร่ง หรือ ประเภทเนื้อดิน (Earthenware) กระจายตัวทั่วไปตามเนินดินที่อยู่ใกล้เคียง ดังนั้นชุมชนโบราณที่บ้านคลองเดื่อจึงสัมพันธ์กับสระน้ำขนาดใหญ่ที่บ้านวังแดง .ต่อมา พ.ศ. ๒๕๔๓ สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย (ในขณะนั้นคือ สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๕ สุโขทัย) ได้รับแจ้งจากพระครูพิลาศธรรมวิมล เจ้าอาวาสวัดวังแดง ให้มาตรวจสอบโบราณสถานที่บ้านวังแดง ซึ่งจากการสำรวจได้พบซากโบราณสถานหลายจุดก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ที่มีร่องรอยของแกลบข้าวเป็นส่วนผสม แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมจึงทำให้ร่องรอยเหล่านั้นถูกทำลายไปจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบเหรียญเงินรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะซึ่งอยู่ในความครอบครองของราษฎรในพื้นที่ ในเบื้องต้นจึงกำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีอยู่ในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔.ในเวลาต่อมา พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย จัดทำ #โครงการโบราณคดีภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งมีแผนการดำเนินงานส่วนหนึ่ง คือ การขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง เพื่อศึกษาแหล่งวัฒนธรรมสมัยทวารวดี ที่ปรากฏอยู่ไม่มากนักในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและจังหวัดพิจิตร โดยคาดว่าผลการศึกษาจะเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงพัฒนาการของชุมชนโบราณต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างก่อนจะเกิดอาณาจักรสุโขทัย.ผลจากการศึกษาข้างต้นทำให้ได้ข้อสรุปว่า แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดงเป็นชุมชนโบราณสมัยทวารวดี โดยปรากฎร่องรอยกิจกรรมการอยู่อาศัยของมนุษย์ในสมัยนั้น มีการพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อไม่แกร่งประเภทเนื้อดิน (earthenware) ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มักพบอย่างแพร่หลายในแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีแห่งอื่น ๆ เช่น เมืองนครปฐมโบราณ เมืองจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ เมืองโบราณอู่ตะเภา จังหวัดชัยนาท เป็นต้น รูปแบบภาชนะที่พบแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ กลุ่มภาชนะใช้ในครัวเรือน เช่น หม้อมีสัน หม้อก้นกลม ไห อ่างและชามต่าง ๆ ส่วนอีกกลุ่มได้แก่ กลุ่มภาชนะที่ใช้ในโอกาสอื่น ๆ รวมทั้งกิจกรรมทางศาสนา พบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก ส่วนใหญ่เป็นภาชนะประเภทจานหรือชามมีเชิงสูง หม้อน้ำมีพวย ตะเกียง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบโบราณวัตถุประเภทอื่นที่อยู่ในความครอบครองของราษฎรในพื้นที่ซึ่งมีความร่วมสมัยกับชุมชนสมัยทวารวดีแห่งอื่น เช่น เหรียญเงินรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ แม่พิมพ์เหรียญรูปสังข์ ลูกปัดหิน ลูกปัดดินเผา เป็นต้น.เมื่อนำผลการศึกษาโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นและการสำรวจมาวิเคราะห์เปรียบเทียบร่วมกับการกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้นำตัวอย่างดิน อิฐ และเศษภาชนะดินเผาไปทำการวิเคราะห์ จึงสันนิษฐานว่า แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง มีอายุสมัยอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔.:: เอกสารอ้างอิง ::กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย. โบราณคดีภาคเหนือตอนล่าง แหล่งโบราณคดีบ้านวังแดง ตำบลเขาทราย อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร. กรุงเทพฯ : บริษัท บางกอกอินเฮ้าส์ จำกัด, ๒๕๕๗.ศรีศักร วัลลิโภดม. เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๒...#โบราณคดีจังหวัดพิจิตร #พี่โข๋ทั๋ยมี๋เรื๋องเล๋า#โบราณคดีภาคเหนือตอนล่าง#องค์ความรู้ออนไลน์
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 33/3ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 48 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา