ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 37,268 รายการ

ตำรายาและคาถาอาคม ชบ.ส. ๑๒ เจ้าอาวาสวัดรังษีสุทธาวาส ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๑๙ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.19/1-1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)



การฝังศพแบบปฐมภูมิ(Primary Burial) ที่แหล่งโบราณคดีโนนหนองจาน -----แหล่งโบราณคดีโนนหนองจาน ตั้งอยู่ที่บ้านมันปลา หมู่ที่ ๑๓ ตำบลกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ได้รับการขุดค้นทางโบราณคดีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๑ พบหลักฐานการฝังศพแบบปฐมภูมิ (Primary Burial)ในท่านอนหงายเหยียดยาว และการฝังศพบแบบทุติยภูมิ (Secondary Burial) หรือการฝังศพในภาชนะดินเผา(Jar Burial) รวมกันจำนวนไม่น้อยกว่า ๑๘ โครง การฝังศพแบบปฐมภูมิ(Primary Burial) คือการฝังศพแบบดั้งเดิม การฝังจะนำศพวางนอนในหลุม อาจจะวางศพนอนตะแคงงอเข่า หรือ นอนหงายเหยียดยาว การฝังศพลักษณะนี้จะพบกระดูกเรียงกันอย่างถูกต้องตามหลักกายวิภาค และพบเกือบทุกส่วนของร่างกาย ขอยกตัวอย่าง การวิเคราะห์โครงกระดูกที่พบ ๒ โครง ดังนี้ +โครงกระดูก A+ -----การวิเคราะห์โครงกระดูกจากลักษณะทางกายภาพ พบว่า อายุเมื่อตายประมาณ ๑๕ – ๒๐ ปี วิเคราะห์จากขนาดของกระดูกแต่ละชิ้นที่มีขนาดใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ แต่ยังพบว่าหัวกระดูกแต่ละชิ้นยังไม่เชื่อมต่อกันจึงยังไม่สามารถระบุเพศได้ วัดความยาวของโครงกระดูกได้ ๑๔๙ เซนติเมตร หันศีรษะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สภาพของโครงกระดูกอยู่ในท่านอนหงาย กระดูกแต่ละชิ้นวางอยู่ในส่วนที่ถูกต้องตามกหลักกายวิภาค ส่วนกะโหลกศีรษะเสียหายจากการขุดค้น แขนท่อนบนวางแนบไปกับลำตัว แขนท่อนล่างด้านซ้ายวางเหนือกระดูกเชิงกราน ด้านขวาแนบกับลำตัว ท่อนขาและเท้าทั้งสองข้างวางตรงและค่อนข้างชิดกัน ปลายเท้าฝังลงลึกกว่าท่อนขาเล็กน้อยเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อย -----หลักฐานที่พบร่วม ได้แก่ กำไลสำริดที่แขนซ้ายท่อนบนมีเครื่องจักสานติดอยู่ ขวานเหล็กมีรอยประทับเปลือกข้าว ลูกปัดหินคาร์เนเลียนทรงกลมบริเวณคอฝั่งซ้าย กำไลทรงกระบอกที่แขนท่อนล่างสองข้าง และเครื่องรางสำริดมีลักษณะคล้ายหวีแต่ซี่ห่างกว่าสองชิ้นที่ระหว่างขาท่อนบน +โครงกระดูก B+ -----การวิเคราะห์โครงกระดูกจากลักษณะทางกายภาพ พบว่า เป็นเพศหญิง วิเคราะห์ได้จากลักษณะของกระดูกเชิงกรานและลักษณะที่ปรากฏบนกระโหลกศีรษะ อายุเมื่อตายประมาณ ๓๐ – ๓๕ ปี วิเคราะห์จากขนาดของโครงกระดูก เช่น หัวกระดูกไหปราร้าเชื่อมต่อแล้ว วัดความยาวของโครงกระดูก ๑๔๙ เซนติเมตร หันศีรษะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สภาพของโครงกระดูกอยู่ในท่านอนหงาย กระดูกแต่ละชิ้นวางอยู่ในส่วนที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาค ส่วนศีรษะฝังยกสูงกว่าส่วนลำตัวเล็กน้อย แขนท่อนบน วางแนบกับลำตัว แขนท่อนล่างขวาวางพาดขึ้นมาวางมือทับกระดูกเชิงกราน แขนท่อนล่างซ้ายวางพาดหน้าท้องมาทับแขนขวา แต่กระดูกส่วนข้อมือสูญหายไปจากการขุดค้น ส่วนเชิงกรานฝังลึกกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย ท่อนขาวางตัวตรงค่อนข้างชิดกัน เท้าทั้งสองข้างวางติดกัน ที่กระดูกข้อเท้า(Talus) พบรอยกดทับ (Squatting Facet) ซึ่งเกิดจากการนั่งยองเป็นประจำ -----หลักฐานที่พบร่วม ได้แก่ กำไลสำริดทรงแบน และลูกปัดสีเหลืองปนส้มไส้ในเป็นสีแดงกระจายอยู่ที่ส่วนอก และชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ ท่อนยาว(Long Bone) วางทับหน้าแข้งซ้าย +ลักษณะอื่น ๆ ที่ปรากฏบนโครงกระดูก+ -----การถอนฟันบน ๒ คู่หน้า ได้แก่ ฟันหน้าซี่ที่ ๒ และ ฟันเขี้ยวพบในโครงกระดูกผู้ใหญ่ ที่ยังคงปรากฏหลักฐานให้เห็น ซึ่งสามารถอนุมานได้ว่า เป็นลักษณะทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ -----Rocker Jaw ขากรรไกรล่างมีความโค้งมน ซึ่งเป็นลักษณะของผู้คนแถบหมู่เกาะ(โพลินิเชี่ยน) +ลักษณะแบบแผนพิธีกรรมการฝังศพแบบปฐมภูมิของแหล่งโบราณคดีโนนหนองจาน + -----จากการวิเคราะห์พบว่า การฝังศพที่แหล่งโบราณคดีโนนหนองจานมีทิศทางการหันศีรษะทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีการห่อศพและจัดท่าทางของศพ คือ การนำเอามือทั้งสองข้างวางไว้เหนือลำตัว แล้วมัดและห่อศพเนื่องลักษณะของกระดูกท่อนแขนที่วางแนบไปกับลำตัวและกระดูกส่วนต่าง ๆ วางตัวอย่างเป็นระเบียบและค่อนข้างชิดกัน วัสดุที่ใช้ในการห่อศพนั้นคงเป็นเครื่องจักสานเนื่องจากพบร่องรอยประทับบนกำไลสำริด อุทิศเครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับให้กับผู้ตาย ที่พบทั้งลักษณะการอุทิศให้และการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน และพบการโรยเมล็ดข้าวไว้ด้วย -----จากการศึกษาเปรียบเทียบในเบื้องต้นแหล่งโบราณคดีโนนหนองจาน เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายที่ปรากฏร่องรอยของวัฒนธรรมดองซอน การพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นเครื่องประดับสำริด และสิ่งของอื่น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแหล่งโบราณคดีโนนหนองหอ และแหล่งโบราณคดีที่อยู่ห่างใกลออกไป คือ แหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และแหล่งโบราณคดีบ้านดอนแสนพัน ตำบลเจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี +++เรียบเรียงโดย นายพงษ์พิศิษฏ์ กรมขันธ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี +++  



          เสาดินนาน้อย อยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาแล้ว พื้นที่บริเวณนี้ยังพบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ เครื่องมือหินกะเทาะ ซึ่งมีลักษณะเป็นหินกรวดแม่น้ำ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือหินในกลุ่มเครื่องมือสับ-ตัด (Chopper - chopping Tool) โดยพบได้ทั่วไปตามพื้นผิวดินและผนังชั้นดิน ในบริเวณที่ถูกน้ำเซาะจากการศึกษาเปรียบเทียบอายุสมัยของเครื่องมือหิน สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่า ๑๐,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว           "เสาดิน" เป็นศัพท์ที่ชาวบ้านใช้เรียกหย่อมตะกอนที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน เป็นแท่ง เป็นกรวย เป็นหลืบ มียอดแหลม โผล่พ้นพื้นดินบนลานโล่ง เสาดินนาน้อยเกิดขึ้นจากการผุพังและการกัดกร่อนโดยน้ำฝนเป็นตัวการ ทำให้ชั้นตะกอนซึ่งได้จากการสะสมตัวในแอ่งลุ่มน้ำของอำเภอนาน้อยในสมัยไพลสโตซีนตอนปลายที่ยังไม่จับตัวกันแน่นแข็งเป็นหิน ถูกชะล้างพัดพาออกไปจนมีสภาพแวดล้อมเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม มีริ้วและร่องที่เกิดจากการกัดกร่อนโดยทางน้ำ (Gully erosion) มากมาย แหล่งธรณีวิทยาคล้ายเสาดินนาน้อยแห่งอื่นในประเทศไทย เช่น แพะเมืองผี ตำบลน้ำชำ อำเภอเมือง จังหวัดแพร่, โป่งยุบ ตำบลท่าเคย อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี และ ละลุ ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว เป็นต้น           แหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย ปรากฏหลักฐานร่องการอยู่อาศัยแรกเริ่มในพื้นที่จังหวัดน่านของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ สมัยหินเก่า (Palaeolithic Period) หลักฐานที่พบ คือ เครื่องมือหินกะเทาะซึ่งทำจากหินกรวดแม่น้ำ เป็นเครื่องมือหินประเภทสับ-ตัด (Chopper-chopping Tool) ส่วนใหญ่เป็นแบบกะเทาะหน้าเดียว สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่า ๑๐,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว           ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้มีการศึกษารูปแบบเครื่องมือหินกะเทาะ ที่พบจากการสำรวจ ในพื้นที่บริเวณแหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย จำนวน ๒๐๓ ชิ้น จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าเป็นหินทรายและหินควอตไซต์ และได้จัดจำแนกรูปแบบเครื่องมือหินออกเป็นสองลักษณะ ได้แก่ เครื่องมือแกนหิน และเครื่องมือสะเก็ดหิน ดังนี้ เครื่องมือแกนหิน (Core Tools) ได้แก่ ๑. Chopper Tools เครื่องมือหินที่กะเทาะหน้าเดียว มีลักษณะเป็นเส้นโค้งหรือเส้นตรงเฉพาะส่วนบนผิวหน้าเท่านั้น ๒. Chopping Tools เครื่องมือหินที่มีร่องรอยการกะเทาะทั้งสองหน้า ขอบที่เป็นคมของเครื่องมือโค้งลงคล้ายลูกคลื่น อันเกิดจากการกะเทาะสลับไปมาทั้งสองข้าง ๓. Hand-Adzes เครื่องมือหินที่ถูกกะเทาะขอบคมด้านซ้ายหรือขวาด้านใดด้านหนึ่ง ๔. Photo-Hand axes เครื่องมือหินที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลม ๕. เครื่องมือหินกะเทาะหน้าเดียวทั้งหน้า           ๕.๑ แบบมีปลายค่อนข้างแหลม           ๕.๒ แบบมีลักษณะค่อนข้างกลม ๖. เครื่องมือหินที่มีร่องรอยการกะเทาะทั้งชิ้น เครื่องมือสะเก็ดหิน (Flakes tools) ได้แก่           ๑. เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะเพียงหน้าเดียว ให้เกิดรอยคมบริเวณขอบผิวหน้าของสะเก็ดหินด้านใดด้านหนึ่ง           ๒. เครื่องมือสะเก็ดหินที่ถูกกะเทาะขอบคม ๒.๑ เครื่องมือสะเก็ดหินที่ถูกกะเทาะขอบคมรอบๆ ๒.๒ เครื่องมือสะเก็ดหินที่ถูกกะเทาะขอบคมด้านซ้ายหรือขวาด้านใดด้านหนึ่ง           ๓. เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลม                     ๓.๑ เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลมเพียงด้านเดียว                     ๓.๒ เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดใหญ่ที่กะเทาะให้มีลักษณะปลายแหลมทั้งด้านบนและด้านล่าง           ๔. เครื่องมือสะเก็ดหินขนาดเล็กที่มีร่องรอยการกะเทาะทั่วทั้งชิ้น ๕. รูปแบบอื่นๆ ไม่สามารถจัดจำแนกให้อยู่ในรูปแบบข้างต้นได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือหินที่มีลักษณะคล้ายคมขวาน           นอกจากแหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ซึ่งพบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีประวัติศาสตร์สมัยหินเก่าแล้ว ยังมีแหล่งโบราณคดีถ้ำปู่แล่ม หรือถ้ำอัมรินทร์ ตำบลส้าน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นถ้ำบนภูเขาหินปูน จากการสำรวจพบเครื่องมือหินกะเทาะที่ทำจากหินกรวดแม่น้ำ ก้อนหินเจาะรู เครื่องมือหินขัด และเศษภาชนะดินเผา โดยหินกรวดแม่น้ำที่มีรอยกะเทาะและสะเก็ดหินหลายชิ้นที่พบคงจะถูกนำมาผลิตเป็นเครื่องมือ สันนิษฐานว่า เครื่องมือหินกรวดแม่น้ำที่พบที่แหล่งโบราณคดีถ้ำปู่แล่ม หรือถ้ำอัมรินทร์ น่าจะมีอายุราว ๓๕,๐๐๐ - ๒๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งอาจจะอยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันกับแหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย           ปัจจุบัน โบราณวัตถุที่ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ประกอบด้วย เครื่องมือหินกะเทาะ จำนวน ๑๐ ชิ้น ซึ่งพบจากการสำรวจบริเวณเสาดินนาน้อย เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๕ นอกจากนั้น ยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบจากพื้นที่บริเวณเสาดินนาน้อย ณ อาคารที่ทำการของเสาดินนาน้อย และนำเสนอเรื่องราวทางด้านธรณีวิทยาของเสาดินนาน้อยอีกด้วยค่ะ ---------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล :พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน---------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง : กรมทรัพยากรธรณี, เสาดิน ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน (ออนไลน์) , เข้าถึงข้อมูลเมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๔, แหล่งที่มา : http://www.dmr.go.th/main.php?filename=n08 พัชราภรณ์ มูลชมพู. “รูปแบบเครื่องมือหินกะเทาะ: แหล่งโบราณคดีเสาดินนาน้อย อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน”. สารนิพนธ์ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๕. ระบบภูมิสารสนเทศ แหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม, แหล่งโบราณคดี เสาดินนาน้อย (ออนไลน์), เข้าถึงข้อมูลเมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๔, แหล่งที่มา : http://gis.finearts.go.th/fineart/ สิริพัฒน์ บุญใหญ่. การสำรวจแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน. เชียงใหม่ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดกู้ดพริ้น พริ้นติ้ง เชียงใหม่, ๒๕๕๑. สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่. สังเขปประวัติศาสตร์และโบราณคดีจังหวัดน่าน ฉบับคู่มือ อส.มศ. , ไม่ระบุปีที่พิมพ์.




ชื่อเรื่อง                         นิสัยสินชัย (นิไนสินชัย)สพ.บ.                           397/2หมวดหมู่                       พุทธศาสนาภาษา                           บาลี-ไทยอีสานหัวเรื่อง                         พุทธศาสนา                                   ชาดก                                   เทศน์มหาชาติ                                   คาถาพันประเภทวัสดุ/มีเดีย           คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                   52 หน้า : กว้าง 4 ซม. ยาว 56.5 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี




          กุฏิฤาษีโคกเมือง หมู่ที่ ๖ บ้านโคกเมือง ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘และกำหนดขอบเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๙ ตอนที่ ๑๕๕ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ พื้นที่โบราณสถาน ๓ ไร่ ๒ งาน ๗๐ ตารางวา          องค์ประกอบของโบราณสถาน          ๑.ปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย ฐานปรางค์เป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ขนาด ๗x๗ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกเป็นมุขยื่น ยาวออกไปเป็นประตูเข้าออก มีขนาดประมาณ ๒.๒๐x๓.๒๐ เมตร           ๒.บรรณาลัย ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีขนาดประมาณ ๔x๗.๕๐ เมตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ภายในกำแพงแก้ว           ๓.กำแพงแก้วและซุ้มประตู กำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง มีขนาดประมาณ ๒๖.๗๐x๓๕.๔๐ เมตร มีซุ้มประตูอยู่ทางด้านทิศตะวันออกก่อด้วยศิลาแลงกรอบประตูเป็นหินทราย ซุ้มประตูแบ่งเป็น ๓ คูหา คูหาช่องซ้ายขวามีช่องหน้าต่างทั้งด้านนอกและด้านในข้างล่ะ ๑ ช่อง คูหากลางมีมุขหน้าขนาด ๔x๒.๕๐ เมตร และมุขหลังมีขนาด ๔x๔.๗๐ เมตร ๔.สระน้ำประจำโบราณสถาน ตั้งอยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกุฏิฤาษี ด้านทิศตะวันออกตรงแกนกลางมีบารายหรือสระน้ำขนาดใหญ่ ประมาณ ๕๐๐x๘๐๐ เมตร เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลเมืองต่ำ และห่างจากกุฏิฤาษีโคกเมืองไปด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่ตั้งของปราสาทเมืองต่ำ--------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นายรัชฎ์ ศิริ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา


ประวัติศาสตร์แห่งการแรกนาขวัญ            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนา ไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือนตอนพระราชพิธีเดือนหก ความตอนหนึ่งว่า "...การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณ เช่นในเมืองจีน สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ลงทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทําเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทํานา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งมีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่าง เหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปรกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือน้ำฝนน้ำท่ามากไปน้อยไป ด้วงเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นเหตุอันตราย ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกําลัง จึงได้ต้องแส่หาทางที่จะแก้ไข และทางที่จะอุดหนุน และที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปโดยฤดูปรกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรงลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สุด..." แรกนาขวัญในหัวเมืองภาคใต้           นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีหัวเมืองซึ่งประกอบพิธีแรกนาด้วยเช่นกัน เมืองเหล่านี้ล้วนเป็นเมืองเก่าแก่ และมีธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องมาแต่โบราณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนาในหัวเมืองไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน(พระราชพิธีเดือนหก)ตอนหนึ่งว่า “...หัวเมืองซึ่งมีการแรกนา มีของหลวงพระราชทานเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ คือกรุงเก่าเมือง ๑ เพชรบุรีเมือง ๑ แต่เมืองซึ่งเขาทําแรกนามาแต่เดิม ไม่มีของหลวงพระราชทาน คือเมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา ๒ เมืองนี้เป็นเมืองมีพราหมณ์ๆ เป็นธุระในการพิธี แต่ผู้ว่าราชการเมืองไม่ได้ลงแรกนาเอง มอบให้หลวงนาขุนนาเป็นผู้แรกนาแทนตัว เมืองสุพรรณบุรีอีกเมืองหนึ่งก็ว่ามีแรกนา ไม่ได้เกี่ยวข้องในการหลวงเหมือนกัน แต่ในปีนี้ได้จัดให้มีการแรกนาขึ้นเป็นการหลวงอีกเมืองหนึ่ง...” แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนัง           สำหรับงานจิตรกรรมฝาผนัง ภาพของพิธีแรกนาขวัญจะปรากฏอยู่ในส่วนของภาพพุทธประวัติ ตอน “วัปปมงคล” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ประกอบพิธีแรกนาขวัญ ส่วนเจ้าชาย สิทธัตถะราชกุมารนั้นโปรดให้ลาดพระแท่นบรรทมที่ใต้ต้นหว้าใหญ่ แต่พระราชกุมารกลับนั่งทำสมาธิจนได้ ปฐมฌาน และเกิดเหตุมหัศจรรย์เงาต้นหว้าซึ่งพระราชกุมารประทับอยู่นั้นไม่เคลื่อนที่แม้เวลาจะล่วงเลยไป เพียงใดก็ตาม จนเป็นเหตุให้พระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) พระราชกุมาร เป็นครั้งที่ ๒ ดังปรากฏความในพรปฐมสมโพธิกถา กปิลวัตถุคมนปริวัตต์ ปริเฉทที่ ๑๗ ความว่า “...ในสมัยนั้นสมเด็จกรุงสุทโธทนมหาราชพระพุทธบิดา ได้ทรงทัศนาพระปาฏิหารเปนมหัศจรรย์ จึงถวายอภิวันทนาการแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค กาลในวันพระองค์ประสูติ์นั้นนำพระองค์มา เพื่อจะให้วันทนาพระกาลเทวิลดาบส ก็กระทำพระปาฏิหารขึ้นยืนเหยียบพระบาทอยู่ณเบื้องบนชฎาแห่ง พระมหาชฎิล ครั้งนั้นข้าพระองค์ก็ถวายอภิวันทนา พระบาทยุคลเปนปฐมวันทนา แลกาลเมื่อวันกระทำวัปปมงคลแรกนาขวัญก็นำพระองค์ไปบันทมในร่มไม้หว้า ได้ทัศนาฉายาไม้นั้นมิได้ชายไปตามตวัน ข้าพระองค์ก็ถวายบังคมเปนทุติยวันทนาวารคำรบ ๒ แลกาลบัดนี้ได้เห็นประปาฏิหารอันมิได้เคยทัศนากาลมาแต่ก่อน ข้าพระองค์ก็ถวายอัญชลีกรพระบวรบาทเปนตติยวันทนาวารคำรบ ๓ ในครั้งนี้...”แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนังภาคใต้          ภาพจิตรกรรมฝาผนัง พุทธประวัติตอนวัปปมงคล ในพื้นที่ภาคใต้พบไม่มากนัก โดยวัดที่พบการเขียนภาพจิตรกรรมตอนนี้ได้แก่ วัดวัง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เขียนภาพโดยหลวงเทพบัณฑิต(สุ่น) กรมการเมืองพัทลุง โดยเขียนภาพขึ้นราวปลายรัชกาลที่ ๓ – ต้นรัชกาลที่ ๔ วัดท้าวโคตร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และวัดพัฒนาราม ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นภาพที่เขียนขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ แรกนาขวัญในผ้าพระบฏในภาคใต้          ผ้าพระบฏ พบที่วัดหัวเตย ตำบลดอนทราย อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นผ้าพระบฏที่เขียนภาพพุทธประวัติ เป็นช่องที่เรียงต่อกันไปนั้น พบว่ามี ๑ ช่อง ซึ่งมีการเขียนภาพเกี่ยวกับพิธีแรกนาขวัญ โดยภาพในช่องดังกล่าวเป็นการเล่าเรื่องพระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร กระทำปาฎิหาริย์เสด็จประทับเหนือเศียรอสิตดาบส และครั้งที่ ๒ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารประทับใต้ต้นหว้า ขณะที่พระเจ้าสุทโธทนะประกอบพิธี แรกนาขวัญ ผ้าพระบฏผืนนี้มีข้อความกำกับระบุว่าเขียนขึ้นในพ.ศ.๒๓๔๕ (ช่วงปลายรัชกาลที่ ๑)คนไถนาวิถีชีวิตท้องถิ่นชาวใต้          นอกจากภาพจิตรกรรมเรื่องแรกนาขวัญอันเนื่องมาจากพุทธประวัติแล้ว ยังภาพกฎภาพ “คนไถนา” ซึ่งสะท้อนภาพวิถีชิวิตของชาวใต้ ดังเช่นภาพคนไถนาที่เพดานอุโบสถวัดฉัททันต์สนาน ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และภาพคนไถนาบนเพดานศาลา ภายในวัดชลธาราสิงเห ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งภาพจิตรกรรมทั้งสองภาพนี้สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นราวกลางสมัยรัชกาลที่ ๘ ถึงช่วงต้นรัชกาลที่ ๙--------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


ชื่อเรื่อง                                มาเลยฺยสุตฺต (มาลัยหมื่น-มาลัยแสน) สพ.บ.                                  294/2ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           28 หน้า กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 57.2 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           เทศนา บทคัดย่อ/บันทึก         เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ชื่อเรื่อง                                มหาพุทธคุณกถา (มหาพุทธคุณ) สพ.บ.                                  345/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา--บทสวดมนต์                                          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.163/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  44 หน้า ; 4 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับ, มีฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 98 (49-66) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : ฉลองร่มเศวตฉัตร(ฉลองร่มเสตฉัตร)  --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม