ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 31,556 รายการ

อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ พระยาอนุสารน์พณิชยการ ชื่อผู้แต่ง           อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ พระยาอนุสารน์พณิชยการ ชื่อเรื่อง            อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ พระยาอนุสารน์พณิชยการ ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์      กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์ไทยเขษม ปีที่พิมพ์           ๒๕๒๒ จำนวนหน้า       ๑๐๒ หน้า : ภาพประกอบ หมายเหตุ         อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ พระยาอนุสารน์พณิชยการ ต.จ.ว.,ต.ม., จ.ช.                      ณ เมรุวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร  วันพฤหัสบดีที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒           ท่านเจ้าคุณอนุสาสน์พณิชยการ ป่วยและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาแล้ว ๒ ครั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ และ ๒๕๑๘ หลังจากนั้นสุภาพของท่านยังไม่ดีขึ้น ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๑


ชื่อเรื่อง : ไทยรบพม่าชื่อผู้แต่ง : ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา ปีที่พิมพ์ : 2514 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : ศรีเมืองการพิมพ์ จำนวนหน้า : 884 หน้า สาระสังเขป : ไทยรบพม่า เป็นการรวมเรื่องไทยรบกับพม่าเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีสงครามเกิดขึ้น ๒๔ ครั้ง ครั้งสมัยกรุงธนบุรี ๑๐ ครั้ง และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๐ ครั้ง หนังสือเรื่องนี้ เมื่อพิมพ์ครั้งแรกข้าพเจ้าทราบว่าผู้ที่ชอบอ่านมักเป็นทหารมากกว่าพลเรือน บางทีจะเป็นเพราะพวกพลเรือนเห็นชื่อเรื่องก็เข้าใจเสียว่า เป็นหนังสือแสดงแต่การรบพุ่งอันเป็นประโยชน์ในทางความรู้ของผู้เป็นทหาร ข้าพเจ้าจึงขอแจ้งความให้ทราบในที่นี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจแต่งหนังสือเรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ในทางความรู้พงศาวดารเป็นสำคัญ ในหนังสือนี้มีคติทางการเมืองฝ่ายพลเรือนอยู่แต่ต้นจนปลาย ใครอ่านถึงจะเป็นทหารหรือพลเรือนก็คงจะได้ความรู้เรื่องพงศาวดารสยาม ซึ่งยังไม่ปรากฏในหนังสือเรื่องอื่นมีอยู่มาก


         พระคเณศ ๔ กร          ศิลปะชวา พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖          กรมวังนอก กระทรวงวังส่งมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๔          ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร          พระคเณศ ๔ กร พระเกศาทรงชฎามงกุฎ มีลักษณะสำคัญคือรวบพระเกศาขึ้นเป็นมวย ปลายตกลงมาเป็นวงโค้ง กึ่งกลางเกี้ยวประดับเป็นตาบสามเหลี่ยมหนึ่งตาบ* อุณหิส (กระบังหน้า) ประดับตาบสามเหลี่ยม ๓ ตาบ** คั่นด้วยลายดอกไม้ขนาดเล็ก พระเนตรเปิดมองตรง งวงพาดไปยังพระหัตถ์ซ้ายล่าง พระพาหาทรงพาหุรัด และทองพระกร พระวรกายทรงครองสายธุรำ ส่วนปลายเป็นศีรษะงู พระกรขวาล่างถืองาช้างที่หัก พระหัตถ์ซ้ายล่างถือชามใส่ขนมโมทกะ หัก พระหัตถ์ขวาบนและพระหัตถ์ซ้ายบนไม่ปรากฏวัตถุที่ทรง เนื่องจากชำรุดหักหายไป นั่งแยกพระชงฆ์ ฝ่าพระบาททั้งสองข้างประกบกันบนฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย          ลักษณะเด่นของพระคเณศองค์นี้คือพระเศียรยังแสดงการทรงชฎามงกุฎ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเป็นนักบวช สอดคล้องกับประวัติของพระคเณศ เป็นบุตรของพระศิวะซึ่งเป็นมหาฤๅษี โดยลักษณะทางประติมานวิทยาพระศิวะจะเกล้าพระเกศาทรงชฎามงกุฏเช่นกัน นอกจากนี้ลักษณะการประดับตาบสามเหลี่ยม การทรงพาหุรัด และท่านั่งแยกพระชงฆ์ และฝ่าพระบาทชิดกันดังกล่าวก็เป็นรูปลักษณะที่ปรากฏมาก่อนในประติมากรรมพระคเณศศิลปะอินเดีย อย่างไรก็ตามการซ้อนตาบกลางบนพระเศียรนั้นเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปะชวา ซึ่งต่างไปจากศิลปะอินเดีย   *ชำรุดหักหายไป **คำว่า “ตาบ” ในที่นี้หมายถึง แผ่นรูปสามเหลี่ยมที่ประดับศิราภรณ์   อ้างอิง เชษฐ์ ติงสัญชลี. ศิลปะไทยภายใต้แรงบันดาลใจจากศิลปะอินเดียแบบปาละ. นนทบุรี: มติชนปากเกร็ด, ๒๕๕๘. อุไรศรี วรศะริน และคณะ. พระคเณศ เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยา. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๕.


เลขทะเบียน : นพ.บ.527/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 62 หน้า ; 5 x 48 ซ.ม. : รักทึบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 176  (267-279) ผูก 7 (2566)หัวเรื่อง : ลำสินไชย--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ขอเชิญรับฟังการบรรเลงและขับร้อง วงออเคสตราเพลงไทยและสากล ในงานใต้ร่มพระบารมี ๒๔๑ ปีกรุงรัตนโกสินทร์  วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๓๐ น. ณ เวทีใหญ่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีศิลปินรับเชิญ ดังนี้           - สุทธิพงษ์ วัฒนจัง (ชมพู ฟรุตตี้)           - กัณพล ปรีดามาโนช (ปิง ฟรุตตี้)           - กิตติธัช แก้วอุทัย (ธัช)           - เฉลิมรัฐ จุลโลบล (แบงค์)           - ธนัชศลักษณ์ ฮัดสัน (อลิศ) อำนวยเพลงโดย ธนู รักษาราษฎร์ อำนวยการแสดงโดย ลสิต อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักการสังคีต   * ชมฟรี *สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม (วันและเวลาราชการ) โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๔๒ และ โทร. ๐๒๒๒๑ ๐๑๗๑


ชื่อเรื่อง                              มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาดก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทสพร-นครกัณฑ์) อย.บ.                                 423/10ประเภทวัสดุ/มีเดีย           คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                            พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                       32 หน้า : กว้าง 4.5 ซม.  ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                               พุทธศาสนา--การศึกษาและการสอน                                              ชาดกบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน  เส้นจาร ฉบับล่องชาด ทองทึบ รักทึบ ลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี  


เมืองโบราณยะรัง EP.3 : การดำเนินงานทางโบราณคดี   องค์ความรู้ตอนที่ 3 ที่นำเสนอในวันนี้มีชื่อว่า "เมืองโบราณยะรัง : การดำเนินงานทางโบราณคดี”   การสำรวจ   การสำรวจของนายอนันต์ วัฒนานิกร พ.ศ.2505 นายอนันต์ วัฒนานิกร ศึกษาธิการอำเภอยะรังในสมัยนั้น เริ่มเข้าสำรวจร่องรอยของโคกเนินต่างๆที่สันนิษฐานว่าจะเป็นโบราณสถาน โดยมีผู้ช่วย 2 คนคือนายเจิม ชูมณี และนายพรหม ทุเรศพล “...ขณะนั้นยังสังเกตเห็นแนวกำแพงเมืองเป็นเนินดินสูง 2-3 เมตร ขนานไปกับคูน้ำ กำแพงชั้นในวัดขนาดได้ 590 เมตร ชั้นนอก 860 เมตร มีป้อมตรงมุมทั้งสี่ ซากโบราณสถานมีกระจายไปทั่วอยู่ในเขตที่ทำกินของราษฎร...”  นายพิพัฒน์ พงศ์รพีพร ได้สัมภาษณ์นายอนันต์ วัฒนานิกร ในระหว่างพ.ศ.2525-2528 และได้จดบันทึกเรื่องตำแหน่งของโบราณสถานจากการสำรวจของนายอนันต์ วัฒนานิกร ระหว่างพ.ศ.2505-2516 ซึ่งได้กำหนดที่ตั้งของโบราณสถานไว้เป็นหมายเลขจำนวน 31 แห่ง การสำรวจของ Stewart Wavell ในช่วงฤดูร้อนของพ.ศ.2505 Stewart Wavell นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ได้เดินทางไปสำรวจเมืองโบราณยะรังซึ่งปรากฎข้อมูลว่ามีผู้ร้ายทำการลักลอบขุดหาโบราณวัตถุตามเนินโบราณสถาน โดยในขณะที่เขาอยู่ในเมืองปัตตานีได้มีผู้นำเทวรูปพระวิษณุสำริดซึ่งอ้างว่าขุดได้จากเนินโบราณสถานในเมืองโบราณยะรังมาให้ชม และต่อมาเขาได้เดินทางไปยังเมืองยะรัง การสำรวจของนายมานิต วัลภิโภดม และนายจำรัส เกียรติก้อง พ.ศ.2507 นายมานิต วัลภิโภดม นายจำรัส เกียรติก้อง และคณะสำรวจจากกองโบราณคดี กรมศิลปากร ได้เข้ามาทำการสำรวจและจัดทำแผนผังเมืองโบราณยะรังในบริเวณบ้านประแว โดยแผนผังที่เขียนขึ้นแสดงภาพของเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 300 เมตร ยาว 340 เมตร มีกำแพงดินและคูน้ำล้อมรอบสามชั้น และในแผนผังยังแสดงตำแหน่งของ “ซากเจดีย์” ซึ่งปรากฏกระจายอยู่ทางด้านทิศใต้ของบ้านประแว และกระจุกตัวหนาแน่นเป็นกลุ่มใหญ่ในบริเวณบ้านวัด  การสำรวจของ H.G.Quaritch Wales ในพ.ศ.2517 H.G.Quaritch Wales ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “ลังกาสุกะและตามพรลิงค์และการจดบันทึกบางสิ่งทางโบราณคดี” โดยกล่าวว่าเขาและภรรยา ได้เดินทางมายังเมืองโบราณยะรัง พร้อมกับนายบันเทิง พูลศิลป์ เจ้าหน้าที่จากหน่วยศิลปากรที่ 9 สงขลา กรมศิลปากร โดยมีนายอนันต์ วัฒนานิกร ศึกษาธิการอำเภอยะรังในขณะนั้นเป็นผู้นำทาง การสำรวจของชูสิริ จามรมาน นางสาวชูสิริ จามรมาน อาจารย์ในภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับทุนจากมูลนิธิจิม ทอมป์สัน เพื่อทำการวิจัยเรื่อง “การวิจัยข้อมูลทางศิลปะและโบราณคดี ณ เมืองโบราณที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เพื่อศึกษาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์” ได้ทำการวิจัยระหว่างพ.ศ.2521-2523 โดยทำการสำรวจใน 2 ช่วงเวลา ดังนี้ การสำรวจระยะที่ 1 เริ่มขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2521 โดยร่วมสำรวจกับเจ้าหน้าที่กองธรณีวิทยา กรมทรัพยากร ได้ทำการสำรวจที่บ้านปาละแว และบ้านวัด เพื่อเลือกจุดที่จะตรวจสอบหลักฐานบนดินและใต้ดินด้านการเจาะสำรวจ และได้เดินทางไปกิ่งอำเภอไม้แก่น เพื่อเลือกจุดสำรวจและเจาะสำรวจในบริเวณที่มีโคกดินลักษณะคล้ายๆกันกับที่อำเภอยะรัง  การสำรวจระยะที่ 2 เริ่มขึ้นในช่วงเดือนเมษายน 2523 เป็นการเดินสำรวจอย่างละเอียดด้วยการเดินทั้งในและนอกบริเวณที่มีคันดินซึ่งเคยเป็นกำแพงเมืองโบราณ จากนั้นจึงทำการสำรวจในบริเวณนอกเมืองโบราณที่บ้านปาละแว การสำรวจของนายศรีศักร วัลลิโภดม เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2521 นายศรีศักร วัลลิโภดม เดินทางไปสำรวจเมืองโบราณยะรังบริเวณบ้านประแว โดยมีนายอนันต์ วัฒนานิกร เป็นผู้นำทางไปยังตำแหน่งโบราณสถานต่างๆทั้งในและนอกเมือง “...ก็พบความจริงอย่างหนึ่งว่าเมืองประแวที่ทางกรมศิลปากรเคยสำรวจไว้ว่าเป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบสามชั้นนั้น เป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง เมืองนี้ตัวเมืองมีขนาดเล็กเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกำแพงและคูน้ำชั้นเดียว ไม่มีล้อมรอบสามชั้นแต่อย่างใด แต่เผอิญทางด้านทิศใต้นั้นเกิดมีคันดินสองเส้นตัดผ่านจากทางตะวันตกไปทางตะวันออก ขวางหน้าก่อนที่จะเข้าไปถึงกำแพงเมือง คันดินสองสายนี้ดูเชื่อมกับลำน้ำเขาที่ไหลเลียบตัวเมืองลงมาทางตะวันตก เพื่อระบายน้ำผ่านไปลงที่ลุ่มต่ำทางด้านทิศตะวันออกของเมือง ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ทางกรมศิลปากรเดินสำรวจเพียงด้านเดียวคือด้านใต้จึงมองเห็นเป็นว่าเมืองนี้มีคันกำแพงดินล้อมรอบสามชั้นไป…” “...ข้าพเจ้าจัดกลุ่มโบราณสถานที่พบในเขตอำเภอยะรังนี้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกคือกลุ่มที่อยู่ในเขตบ้านประแว หรือที่เรียกว่าเมืองประแวนั่นเอง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือเขตบ้านวัด ซึ่งห่างจากกลุ่มแรกไปประมาณ 3-4 ก.ม....” การสำรวจของโครงการโบราณคดีประเทศไทย(ภาคใต้) โครงการโบราณคดีประเทศไทย(ภาคใต้) กรมศิลปากร ดำเนินการสำรวจพื้นที่เมืองโบราณยะรังในพ.ศ.2528 โดยใช้วิธีเดินสำรวจภาคพื้นดิน ประกอบกับแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ และจัดทำแผนผังโดยใช้กล้องธีโอโดไลห์ ผลการดำเนินงานได้กำหนดตำแหน่งที่ตั้งพร้อมระบุเลขประจำเนินโบราณสถานจำนวน 30 แห่ง “...ลักษณะของเมืองโบราณนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หันไปตามแนวทิศเหนือ-ใต้ ขนาดกว้าง 550 เมตร ยาว 710 เมตร กำแพงเมืองชั้นเดียวทำด้วยดินและมีคูน้ำล้อมรอบ ที่มุมทั้ง 4 มีป้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในเมืองยังมีแนวกำแพงและคูน้ำ จากแนวกำแพงเมืองทางด้านตะวันตกและทางทิศใต้ไปบรรจบกันภายในเมืองอีกด้วย ทางด้านทิศใต้เป็นแนวคันดินและคูภายในเมืองเชื่อมต่อกับทางน้ำเก่า ซึ่งปัจจุบันปรากฏเพียงด้านเดียวเท่านั้น ส่วนด้านอื่นๆมีทางน้ำเก่าและได้ถูกปรับพื้นที่เป็นที่นาเสียส่วนใหญ่ คันดินนี้นี่เองทำให้หลายคนเข้าใจว่าเมืองโบราณยะรังเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีกำแพงและคูเมือง 3 ชั้น ระหว่างคันดินกำแพงเมืองมีหนองน้ำขนาดใหญ่และโบราณสถานอยู่ 2 แห่ง ส่วนภายในเมืองนั้นมีบ้านราษฎรอยู่ประมาณ 40 หลังคาเรือน มีบ่อน้ำโบราณอยู่ 7 แห่ง ทางด้านทิศใต้นอกกำแพงเมืองมีสระน้ำขนาดใหญ่จำนวน 1 สระ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างยาว 70 เมตร สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของเมืองโบราณยะรังนั้น เป็นที่ทำสวนเสียส่วนมาก โดยเฉพาะสวนยาง สวนส้ม สวนเงาะ สวนทุเรียน และสวนกล้วย เป็นต้น โบราณสถานบริเวณเมืองโบราณยะรังและใกล้เคียงนั้นมีด้วยกัน 29 แห่ง อยู่ในเขตบ้านประแว 11 แห่ง เขตตำบลวัด 11 แห่ง และเขตตำบลปิตูมุดี 7 แห่ง...”  การสำรวจของโครงการวิจัยเกี่ยวกับรัฐพาณิชย์นาวีสมัยศรีวิชัยในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานี ศึกษากรณีชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบในเขตเมืองโบราณยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ระยะที่ 1 โครงการสำรวจนี้เป็นการดำเนินการภายใต้หน่วยงานคือศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทเอสโซ่สแตนดาร์ตประเทศไทย จำกัด ดำเนินการสำรวจโดยสว่าง เลิศฤทธิ์ นายเดวิด เจ เวลซ์ นางจูดิท มิกนีลล์ และนางสาวนันทิยา หนูสอน David J. Welch ระหว่างเดือนเมษายน 2529 ถึงเดือนเมษายน 2530 โดยทำการสำรวจด้วยกล้องธีโอโดไลท์และเทปวัดระยะในพื้นที่บ้านประแวและบ้านวัด การสำรวจของโครงการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานเมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี โครงการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานเมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี ตั้งขึ้นในพ.ศ.2531 เป็นโครงการในความรับผิดชอบของหน่วยศิลปากรที่ 9 สงขลา กองโบราณคดี กรมศิลปากร การสำรวจโดยโครงการฯได้ดำเนินการสำรวจโดยการศึกษาภาพถ่ายทางอากาศและดำเนินการสำรวจภาคพื้นดิน ในระหว่างพ.ศ.2531-2532 และในพ.ศ.2535 ได้จัดพิมพ์หนังสือ “การสำรวจโบราณสถานเมืองยะรัง” นำเสนอผลการสำรวจและรายละเอียดของโบราณสถานที่สำรวจพบทุกแหล่ง ทั้งในเขตบ้านประแว บ้านจาเละ และบ้านวัด  เนินโบราณสถานจากการสำรวจของโครงการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานเมืองยะรัง (พ.ศ.2531-2532) โครงการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานเมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี ดำเนินการสำรวจเมืองโบราณ ยะรังอีกครั้งในระหว่างพ.ศ.2531 – 2532 ในครั้งนี้ได้กำหนดการเรียกชื่อเนินโบราณสถานใหม่ โดยจำแนกเนินโบราณสถานออกเป็น 3 กลุ่มตามตำแหน่งที่ตั้ง คือ กลุ่มโบราณสถานบ้านวัด กลุ่มโบราณสถานบ้านจาเละ และกลุ่มโบราณสถานบ้านประแว กลุ่มโบราณสถานบ้านวัด ใช้อักษรย่อว่า บว.บ. มีเนินโบราณสถานจำนวน 20 แห่ง กลุ่มโบราณสถานบ้านจาเละ ใช้อักษรย่อว่า จล.บ. มีเนินโบราณสถานจำนวน 11 แห่ง กลุ่มโบราณสถานบ้านประแว ใช้อักษรย่อว่า บว.บ. มีเนินโบราณสถานจำนวน 2 แห่ง การขุดค้นทางโบราณคดี ----------------------------------- พื้นที่เมืองโบราณยะรัง ได้รับการขุดค้นทางโบราณคดีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนักวิชาการชาวไทย และชาวต่างประเทศ โดยในระยะแรกการขุดค้นมักอยู่ในลักษณะของการขุดตรวจหรือขุดทดสอบ รวมถึงการขุดสำรวจโดยใช้เครื่องมือเจาะดินที่เรียกว่าออเกอร์  ส่วนการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณที่เป็นเนินโบราณสถานขนาดใหญ่นั้น เริ่มดำเนินการในพ.ศ.2531 โดยโครงการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานเมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี ของกรมศิลปากร โดยเริ่มทำการขุดค้นเนินโบราณสถานบ้านจาเละหมายเลข 3 เป็นแห่งแรกในพ.ศ.2531 ขุดค้นเนินโบราณสถานบ้านจาเละหมายเลข 2 และหมายเลข 8 ในพ.ศ.2535 และขุดค้นเนินโบราณสถานบ้านวัดหมายเลข 9 ในพ.ศ.2546 การขุดค้นของ H.G.Quaritch Wales ในพ.ศ.2517 บทความเรื่อง “ลังกาสุกะและตามพรลิงค์และการจดบันทึกบางสิ่งทางโบราณคดี” ของ H.G.Quaritch Wales กล่าวถึงการขุดค้นทางโบราณคดีในลักษณะของหลุมยาว (Trench) จำนวน 2 หลุม ในพื้นที่ภายในเมืองประแวด้านทิศใต้ ผลการขุดค้นไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญ การขุดค้นของชูสิริ จามรมานและคณะ เป็นการดำเนินการของนางสาวชูสิริ จามรมาน อาจารย์ในภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะ ซึ่งได้รับทุนจากมูลนิธิจิม ทอมป์สัน เพื่อทำการวิจัยเรื่อง “การวิจัยข้อมูลทางศิลปะและโบราณคดี ณ เมืองโบราณที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เพื่อศึกษาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์” ซึ่งทำการวิจัยระหว่างพ.ศ.2521-2523 และการวิจัยเรื่อง “สมัยศิลปะที่ยะรัง เมืองโบราณในจังหวัดปัตตานี” ซึ่งทำการวิจัยระหว่างพ.ศ.2523-2524 การขุดค้นของโครงการวิจัยเกี่ยวกับรัฐพาณิชย์นาวีสมัยศรีวิชัยในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานี ศึกษากรณีชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบในเขตเมืองโบราณยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ระยะที่ 1 การขุดค้นทางโบราณคดีในระหว่างพ.ศ.2529 – 2530 นี้เป็นการดำเนินการในโครงการโครงการวิจัยเกี่ยวกับรัฐพาณิชย์นาวีสมัยศรีวิชัยในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปัตตานีฯ ภายใต้หน่วยงานคือศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยมีนายสว่าง เลิศฤทธิ์ Dr.David J. Welch และ Ms.Judith R.Mcniell เป็นผู้ดำเนินโครงการ สรุปผลการศึกษา 1.บ้านประแว ผลการการขุดค้นและขุดตรวจด้วยออเกอร์แสดงให้เห็นว่าแหล่งโบราณคดีบ้านประแวมีอายุไม่มากนักดังที่ศรีศักร วัลลิโภดม เคยกล่าวไว้ โบราณวัตถุที่พอจะกำหนดอายุได้ก็มีเศษเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงและเศษเครื่องปั้นดินเผาเนื้อดินที่มีลวดลายประดับสมัยอยุธยา หลังจากส่งตัวอย่างถ่านไปหาอายุด้วยวิธีคาร์บอน-14 ที่สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติพบว่าโบราณวัตถุในชั้นดินที่ 2 มีอายุประมาณ 300 ปี ชั้นดินที่ 3 มีอายุประมาณ 500 ปี ในขณะที่ชั้นดินที่ 4 ซึ่งอยู่ล่างสุดพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อดินสีเทาดังเช่นที่พบที่สทิงพระ แสดงให้เห็นว่าแหล่งโบราณคดีบ้านประแวมีอายุเก่าสุดอยู่ที่ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 จึงสรุปได้ว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองขนาดเล็ก ไม่มีฐานะหรือบทบาทสำคัญนัก โดยมีกลุ่มชนเข้ามาอยู่อาศัยครั้งแรกประมาณสมัยศรีวิชัยตอนปลาย และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการสร้างป้อมที่มุมเมือง ซึ่งหลักฐานต่างๆแสดงให้เห็นถูกสร้างขึ้นในสมัยประวัติศาสตร์ราวปี 1790-1791 ซึ่งสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ระบุว่าปัตตานีมีการย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่บ้านประแวในสมัยรัชกาลที่ 1 2.บ้านวัด จากการศึกษาพบว่าเมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่ (อย่างน้อย 60 ตารางเมตร) และมีคูเมืองซับซ้อนมาก มีเนินเจดีย์ 16 แห่ง มีเนินดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 2 แห่ง ผลการขุดค้นของนักโบราณคดีจากกรมศิลปากรได้พบโบราณวัตถุหนาแน่นกว่าที่บ้านประแว จากการขุดค้นยังทำให้เห็นว่าแหล่งโบราณคดีผ่านการใช้งานมาอย่างน้อย 2 ช่วง เพราะชั้นดินทางโบราณคดีจะเห็นถึงความแตกต่างได้ชัด โบราณวัตถุที่พบก็ต่างสมัยกันด้วย โบราณวัตถุในชั้นดินล่างสุดอาจจะเป็นของสมัยทวารวดีส่วนโบราณวัตถุในชั้นดินบนอยู่ในสมัยหลังก็เป็นได้ และการขุดค้นที่หลุมขุดค้นแห่งหนึ่งบนเนินดินชั้นในพบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะเศษอิฐและเศษภาชนะดินเผา ชั้นดินชั้นล่างสุดที่ทำการขุดค้นอาจจะเป็นฐานเจดีย์เพราะพบแนวอิฐและก้อนอิฐมีรู โบราณวัตถุที่พบร่วมกับแนวอิฐคือเศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง? อย่างไรก็ตามเมื่อผลการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายออกมา ก็คงจะทราบอายุของโครงสร้างแนวอิฐนี้ แต่สันนิษฐานว่าอาจจะมีอายุอย่างน้อย 1,000 ปี มาแล้ว  การขุดค้นของโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานเมืองปัตตานีโบราณ (The old settlement of The Pattani Region) โครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานเมืองปัตตานีโบราณเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากรโดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 10 สงขลา กับสถาบันฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ(Ecole Francaise d’Etreme-Orient) และสถาบันวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยกำหนดเป็นโครงการต่อเนื่อง 5 ปี โดยเริ่มต้นโครงการในพ.ศ.2540 สำหรับการศึกษาในพ.ศ. 2541 เป็นการดำเนินการในปีที่ 2 ของโครงการ ได้ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณบ้านประแว โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำการศึกษาถึงความต่อเนื่องของการอยู่อาศัยของชุมชนโบราณบ้านประแวกับชุมชนโบราณบ้านกรือเซะว่ามีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันหรือไม่อย่างไร ตามสมมุติฐานที่เชื่อว่ากลุ่มชนบริเวณบ้านกรือเซะนั้นย้ายมาจากบ้านประแว  สรุปผลการขุดค้น ผลของการขุดค้นทางโบราณคดีในพ.ศ.2541 ทำให้เห็นถึงพื้นดินที่ถูกรบกวนในทุกๆหลุมขุดค้น ยกเว้นในหลุมขุดค้น PW.3 ซึ่งพบเศษภาชนะดินเผาซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเศษภาชนะดินเผาที่พบในหลุมขุดค้นอื่นๆ ซึ่งก็เป็นได้ว่าอาจเป็นเพราะเศษภาชนะดินเผาเหล่านี้มาจากช่วงเวลาที่ต่างกัน และการวิเคราะห์โดย Mrs.M.F.Dupoizat พบว่า เศษภาชนะดินเผาที่พบเกือบทั้งหมดนี้กำหนดอายุในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 . . . ในส่วนของ Ep.4 เมืองโบราณยะรัง : โบราณสถานและโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ โปรดติดตามในตอนต่อไป.. --------------------------- Ep.1 เมืองโบราณยะรัง : เมืองโบราณสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/628320109334790 Ep.2 เมืองโบราณยะรัง = ลังกาสุกะ? https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/pfbid023vs8jRqA2iqonHKfjBgCMWEC6GfQLWyYHFy8ogMX3RVt1UG1uy2pSNVxkd2s9BT6l Ep.3 เมืองโบราณยะรัง : การดำเนินงานทางด้านโบราณคดี Ep.4 เมืองโบราณยะรัง : โบราณสถานและโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ EP.5 เมืองโบราณยะรัง : การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งโบราณสถานด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (Li-DAR) Ep.6 เมืองโบราณยะรัง : การศึกษาชายฝั่งทะเลโบราณอ่าวปัตตานี -------------------- เอกสารอ้างอิง หน่วยศิลปากรที่ 9 สงขลา, ความเป็นมาของเมืองโบราณยะรังโดยสังเขป, 2531 หน้า 7 (อัดสำเนา) เขมชาติ เทพไชย, รายงานการสำรวจขุดค้นทางด้านโบราณคดี บริเวณเมืองโบราณยะรังและใกล้เคียง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี, (สงขลา : โครงการโบราณคดีประเทศไทย(ภาคใต้) กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2528), 9-10 (เอกสารอัดสำเนา) ชูสิริ จามรมาน, รายงานผลการวิจัยเรื่องการวิจัยข้อมูลทางศิลปะและโบราณคดี ณ เมืองโบราณที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เพื่อศึกษาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์, (นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม, 2528), 6 ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้, “บันทึกเรื่องเมืองโบราณที่อำเภอยะรัง” ใน แลหลังเมืองตานี, (ปัตตานี : ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2528), 18 Stewart Wavell, “The Lady from Langkasuka” in The Naga King’s Daughter, (London : George Allen & Unwin Ltd., 1964), 15 Ibid, 158  ศรีศักร วัลลิโภดม, “ชุมชนโบราณในสี่จังหวัดภาคใต้”, เมืองโบราณ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (ธันวาคม2521-มกราคม2522) หน้า 49 เรื่องเดียวกัน, 48


ปราสาทสด๊กก๊อกธม เมื่อแสงตกกระทบ  ช่วงเวลาบ่ายคล้อย เป็นปราสาททองคำ ภาพและคำอธิบายภาพโดย : นายเมธาดล วิจักขณะ (รองอธิบดีกรมศิลปากร) 17 กุมภาพันธ์ 2561   ปราสาทสด๊กก๊อกธม ตำบลหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว           ในพุทธศักราช ๒๔๖๓ เรียกว่า “ปราสาทเมืองพร้าว” ต่อมาพุทธศักราช ๒๔๗๘ เรียกว่า “ปราสาทสล๊อกก๊อกธม”  ปัจจุบันเรียกว่า “ปราสาทสด๊กก๊อกธม” คำว่า “สด๊กก๊อกธม” เป็นภาษาเขมร คำว่า “สด๊ก” มาจากคำว่า “สด๊อก” แปลว่า รก ทึบ  คำว่า “ก๊อก” แปลว่า ต้นกก  และคำว่า “ธม” แปลว่า ใหญ่  ดังนั้น “สด๊กก๊อกธม” จึงแปลว่า รกไปด้วยต้นกกขนาดใหญ่            ศาสนสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๕๙๕ รัชสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ (พ.ศ.๑๕๙๓- ๑๖๐๙) เพื่อประทานแด่พระราชครูที่ลาสิกขาจากสมณเพศที่มีนามว่า “ศรีชเยนทรวรมัน”หรือ นามเดิมว่า “สทาศิวะ”โดยที่พระครูผู้นี้มีศักดิ์เป็นพระชามาดาของพระเจ้าสูรยวรมันที่ ๑ อีกทั้งยังเป็นผู้ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกถวายแด่ พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ ๒           ปราสาทสด๊กก๊อกธม มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเขมร ประกอบด้วยอาคารสำคัญ คือ ปราสาทประธาน บรรณาลัย ๒ หลัง ล้อมรอบด้วยระเบียงคดและกำแพงแก้ว อาคารทั้งหมดก่อสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง ซึ่งตกแต่งพื้นผิวในพื้นที่สำคัญด้วยการแกะสลักลวดลายลงบนเนื้อหินเป็นภาพเล่าเรื่องราวในศาสนาพราหมณ์ฮินดูและพฤกษานานาพันธุ์ เทียบเคียงได้กับศิลปกรรมในวัฒนธรรมเขมรโบราณ แบบคลังผสมกับบาปวน กำหนดอายุได้ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ สร้างขึ้นเนื่องในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย ศิลปะขอมแบบคลัง - บาปวน        ภาพ: แผนผัง / ภาพถ่ายทางอากาศ       ภาพ : แผนผังแสดงตำแหน่งของภาพสลักเล่าเรื่อง/ลวดลายที่ปรากฏ (ลำดับที่ ๑-๑๑) ภาพสลักบริเวณหน้าบันและทับหลังบริเวณซุ้มประตู (โคปุระ) ของกำแพงแก้ว   ๑. หน้าบันสลักภาพศิวนาฏราช ๒. ทับหลัง ๓. หน้าบันสลักภาพพระกฤษณะปราบช้างกุวัลปิถะ ๔. ทับหลัง ๕. หน้าบันสลักภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ ๖. ทับหลัง ๗. ทับหลัง ๘. หน้าบันสลักภาพพระกฤษณะปราบม้าเกศี ๙. หน้าบันสลักภาพศิวะคชาสูร ๑๐. ทับหลัง ๑๑. หน้าบันสลักภาพกวนเกษียรสมุทร           กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทสด๊กก๊อกธมครั้งแรก ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘  ต่อมาได้กำหนดเขตพื้นที่โบราณสถานประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๔ ตอนพิเศษ ๘๑ ง วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๐  รวมพื้นที่โบราณสถาน ๖๔๑ ไร่ ๒ งาน ๘๒ ตารางวา ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐ การจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ๑. กรมศิลปากรได้อนุรักษ์ปราสาทสด๊กก๊อกธม ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๓๖ - ๒๕๕๗ ตามหลักการอนุรักษ์และบูรณะโดยวิธีอนัสติโลซิส บนพื้นฐานของงานโบราณคดี ๒. ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์เบื้องต้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว โดยมีลานจอดรถ ห้องสุขา ซุ้มจำหน่ายของที่ระลึก ระบบน้ำ ระบบไฟ และดูแลความสะอาดภายในบริเวณปราสาท ๓. ปราสาทสด๊กก๊อกธมเริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมโบราณสถานมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๘ โดยเฉลี่ย ๓,๐๐๐ คน/เดือน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งยังมิได้เก็บค่าธรรมเนียมเข้าชม ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้สื่อสารประชาสัมพันธ์ปราสาทสด๊กก๊อกธม เชื่อมโยงกับปราสาทบันทายฉมาร์ และปราสาทบันทายทัพ ราชอาณาจักรกัมพูชา ผ่านทางรายการเดินหน้าประเทศไทยกับทูตานุทูต ๒๒ ประเทศ ทั้งในอาเซียน ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอเมริกา ๕. สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี ได้ดำเนินการประสานจังหวัดสระแก้วตั้งคณะกรรมการพัฒนาเพิ่มศักยภาพโบราณสถานปราสาทสด๊กก๊อกธมให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมสู่อาเซียน เพื่อเตรียมรายละเอียดในการจัดทำแผนแม่บท แผนปฏิบัติการ บริหารจัดการและปรับภูมิทัศน์เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งใหม่ ซึ่งมีมติที่ประชุมแล้ว เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๙ ๖. สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี ได้รับอนุมัติงบประมาณจากกรมศิลปากรเพื่อปรับสภาพภูมิทัศน์  ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๐ ล้านบาท ๗. งบท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด เพื่อสร้างอาคารนิทรรศการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ     


กรมศิลปากร จัดพิมพ์หนังสือชุด “เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม” เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ เพิ่มคุณค่าแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรม จัดทำเป็น ๔ เล่ม โดยแบ่งเส้นทางท่องเที่ยวเป็นกลุ่มภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคใต้ รวม ๑๘ เส้นทาง ได้แก่ เล่มที่ ๑ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม : วัง เวียง วัดเล่มที่ ๒ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม: พระพุทธบาทกับบรรยากาศทางน้ำเล่มที่ ๓ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม : ตามรอยขอมถึงริมโขง และเล่มที่ ๔ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม :ลงใต้ – ไปเหนือ   เล่มที่ ๑ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม : วัง เวียง วัดประกอบด้วย   เส้นทางที่ ๑ ท่องเที่ยววัดวา ภาษาชาวบ้าน   เส้นทางที่ ๒ เที่ยวชมเกาะรัตนโกสินทร์ “ยลวังหน้า”   เส้นทางที่ ๓ เส้นทางสืบสานมรดกโลกสุโขทัย   เส้นทางที่ ๔ ท่องเที่ยวเมืองเก่าลพบุรี วัด วัง เวียงละโว้   เล่มที่ ๒ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม: พระพุทธบาทกับบรรยากาศทางน้ำประกอบด้วย   เส้นทางที่ ๑ รัตนโกสินทร์ ถิ่นเพชรบุรี   เส้นทางที่ ๒ แสวงบุญ บูชาพระพุทธบาท   เส้นทางที่ ๓ เส้นทางโบราณคดีสีคราม จากผืนดินสู่แผ่นน้ำ   เส้นทางที่ ๔ วัฒนธรรมสัญจร ย้อนรอยทวารวดีลุ่มแม่น้ำแม่กลอง-ท่าจีน   เส้นทางที่ ๕ ล่องเจ้าพระยานที ชมวิถีรามัญชน ผ่านเส้นทางโบราณสถานเมืองนนท์ และปทุมธานี   เล่มที่ ๓ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม : ตามรอยขอมถึงริมโขงประกอบด้วย   เส้นทางที่ ๑ เส้นทางอารยธรรมขอมโบราณเบื้องบูรพา   เส้นทางที่ ๒ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำมูล   เส้นทางที่ ๓ เส้นทางท่องเที่ยววัฒนธรรมสำริดชิดขอบโขง   เส้นทางที่ ๔ ตามรอยสิมอีสานไหว้พระธาตุสำคัญ   เส้นทางที่ ๕ ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมชาติพันธุ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   เล่มที่ ๔ เที่ยวท่องส่องวัฒนธรรม:ลงใต้ – ไปเหนือ ประกอบด้วย   เส้นทางที่ ๑ ท่องเที่ยวเมืองสงขลา (เก่า)   เส้นทางที่ ๒ ศรีวิชัย-ศรีธรรมาโศกราช: ไหว้ ๔ พระธาตุ ๔ จังหวัด   เส้นทางที่ ๓ เยือนประวัติศาสตร์หริภุญไชยสู่ล้านนา   เส้นทางที่ ๔ ท่องเที่ยวเมืองเก่าน่าน   หนังสือชุดนี้จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรม อาทิ โบราณสถาน วัด วัง อุทยานประวัติศาสตร์ ย่านประวัติศาสตร์ ชุมชนทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่ สถานที่ซื้อสินค้า ร้านอาหาร รวมถึงกิจกรรมทางวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบ โดยนำเสนอตามเส้นทางแต่ละเส้นทางที่มีแก่นเรื่องหรือสาระสำคัญ ด้วยวิธีการนำเสนอที่ไม่เหมือนกัน มีเกร็ดความรู้สอดแทรกอยู่ในแต่ละเส้นทาง เพื่อให้ผู้เดินทางได้ทราบถึงประวัติและความสำคัญของแต่ละสถานที่ นอกจากนี้ยังมีการแนะนำการเดินทางด้วยแผนที่ซึ่งแสดงข้อมูลที่จำเป็นเพื่อวางแผนการเดินทางอีกด้วย   หนังสือชุดนี้จัดพิมพ์สี่สีสวยงาม ขนาดเหมาะสำหรับพกพา จำหน่ายราคาชุดละ ๘๐๐ บาท (๒๐๐/เล่ม) ติดต่อสั่งซื้อได้ที่กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สอบถามเพิ่มเติมได้ โทร. ๐ ๒๒๒๒ ๐๙๓๔, ๐ ๒๒๒๒ ๓๕๖๙


ผู้แต่ง : วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ปีที่พิมพ์ : 2528 สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่     ละครพันทางเรื่องพญาผานองเป็นเรื่องราวเบื้องต้นของพงศาวดารเมืองน่านและเมืองพะเยา จากหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ 10 กรมศิลปากรสร้างบทใหม่ นำออกแสดงครั้งแรกที่โรงละครศิลปากร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2501 เป็นเวลา 27 ปี วิทยาลัยนาฏศิลปะเชียงใหม่ พิจารณาเห็นว่าละครเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจังหวัดทางภาคเหนือ โดยเฉพาะเมืองน่านและเมืองพะเยา จึงได้ปรับบทเจรจาและสำนวน ให้เป็นสำเนียงชาวเหนือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้



โบราณสถานเมืองสุโขทัย โบราณสถานสำคัญในเขตกำแพงเมือง  ได้แก่ วัดมหาธาตุ           ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง ตามแบบแผนความเชื่อในเรื่องจักรวาลแบบอินเดียโบราณ เป็นวัดที่มีความสำคัญประกอบด้วยเจดีย์ประธาน วิหาร มณฑป โบสถ์ และเจดีย์รายจำนวนมาก ถึง ๒๐๐ องค์           เจดีย์ประธานของวัด ซึ่งตั้งเด่นสง่างามมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูมถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัยโดยแท้ แต่คงมิได้เป็นรูปแบบแรกเริ่มเมื่อมีการสร้างวัดมหาธาตุขึ้น ของเดิมน่าจะมีลักษณะเช่นเดียวกับเจดีย์ทิศที่ตั้งอยู่ตรงกลางของด้านทั้งสี่บนฐานเดียวกัน           รายรอบเจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทิศ จำนวน ๘ องค์ องค์ที่อยู่ตรงมุมทั้งสี่เป็นเจดีย์ที่มีอิทธิพลของศิลปะหริภุญไชยล้านนา  ส่วนเจดีย์ที่อยู่กึ่งกลางของด้านทั้งสี่เป็นเจดีย์ทรงปราสาทแบบสุโขทัยซึ่งมีลวดลายปูนปั้นแบบอิทธิพลศิลปะลังกา รอบ ๆ เจดีย์ประธานมีปูนปั้นรูปพระสาวกในท่าอัญชุลีเดินประทักษิณโดยรอบพระมหาธาตุ           ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้บรรยายว่า...กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฎฐารศ มีพระพุทธอันใหญ่ มีพระพุทธอันราม... พระพุทธรูปทองเข้าใจโดยทั่วไปว่าหมายถึงหลวงพ่อโตของชาวเมืองเก่า เมื่อต้นรัตนโกสินทร์ ที่ประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงในวัดมหาธาตุ  ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญโดยล่องแพไปไว้ที่ วิหารหลวงวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพมหานคร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้พระราชทานนามว่า พระศรีศากยมุนี พระพุทธรูปนี้น่าจะเป็นพระพุทธรูปสำริดที่พระมหาธรรมราชาลิไททรงโปรดให้หล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๕ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย อันเป็นแบบที่นิยมมากในสมัยสุโขทัย ที่วิหารหลวงในวัดมหาธาตุสุโขทัยจึงยังปรากฏแท่นฐานขนาดใหญ่ของพระพุทธรูปองค์นี้เหลือให้เห็น           ส่วนพระอัฎฐารศ ที่กล่าวถึงในจารึกหมายถึงพระพุทธรูปยืน ที่มีขนาดใหญ่สูงราว ๑๘ ศอก ประดิษฐานภายในมณฑปที่ขนาบอยู่สองข้างของเจดีย์ประธาน           ถัดจากวิหารหลวงไปทางตะวันออกเป็นวิหารสูง ที่เรียกชื่อเช่นนี้ เนื่องจากวิหารหลังนี้มีฐานก่ออิฐเป็นลักษณะฐานบัว มีความสูงประมาณ ๑.๕ เมตร เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นในภายหลัง ทำให้พื้นที่ว่างระหว่างหน้าวิหารสูงกับกำแพงแก้วด้านหน้าเหลือเพียงพื้นที่แคบ ๆ ไม่ได้สัดส่วนกับความสูงของตัวอาคาร           นอกจากนี้ภายในวัดมหาธาตุยังมีกลุ่มเจดีย์ จัดแยกออกเป็นกลุ่มหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเจดีย์ประธาน มีศูนย์กลางอยู่ที่เจดีย์ ๕ ยอด ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นที่ ๒ รองจากเจดีย์ประธาน ได้พบหลักฐานที่เป็นจารึกลานทองมีข้อความระบุเป็นที่น่าเชื่อว่าเจดีย์ ๕ ยอดองค์นี้เป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของพระมหาธรรมราชาลิไท เนินปราสาท           ทางทิศตะวันออกติดกันกับวัดมหาธาตุ มีโบราณสถานแห่งหนึ่งซึ่งเรียกในปัจจุบันว่าเนินปราสาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสันนิษฐานว่าบริเวณนี้เคยเป็นฐานปราสาทราชวังของกษัตริย์เมืองสุโขทัย           กรมศิลปากรได้ขุดแต่งโบราณสถาน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ พบฐานอาคารแบบฐานบัวคว่ำบัวหงาย ลักษณะเป็นฐานสูงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ขนาด ๒๗.๕๐ x ๕๑.๕๐ เมตรมีบันไดที่ด้านหน้าและด้านหลังอย่างละหนึ่งแห่ง           อย่างไรก็ตาม ในการขุดค้นทางโบราณคดีไม่พบหลักฐานที่พอจะชี้ได้ว่าสถานที่นี้เป็นปราสาทราชวัง อีกทั้งแผนที่เก่าทำในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็บ่งบอกว่า เป็นบริเวณเดียวกันกับวัดมหาธาตุ คือเป็นสิ่งก่อสร้างเนื่องในทางศาสนาในวัด มากกว่าจะเป็นวัง แต่เดิมวังกษัตริย์สุโขทัยควรเป็นตำหนักไม้ ตำแหน่งที่ตั้งควรอยู่เหนือศาลตาผาแดงติดกับวัดสรศักดิ์ทางทิศตะวันตก  ซึ่งศิลาจารึกวัดสรศักดิ์ กล่าวว่าเป็นตำหนัก ของเจ้านายสุโขทัย เมื่อตอนกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งเช่นนี้จะตรงกันกับตำแหน่งของพระราชวังกษัตริย์เขมรโบราณที่เมืองพระนครหลวง หรือนครธม วัดศรีสวาย           ตั้งอยู่ทางใต้ของวัดมหาธาตุห่างออกไปประมาณ ๓๕๐ เมตร โบราณสถานสำคัญ ตั้งอยู่ในกำแพงแก้วนั้นประกอบไปด้วยปรางค์ ๓ องค์ ที่มีรูปแบบศิลปะลพบุรี แต่ลักษณะของปรางค์ค่อนข้างเพรียวตั้งอยู่บนฐานเตี้ย ๆ มีลวดลายปูนปั้นบางส่วนเหมือนลายบนเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน ได้พบทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ชิ้นส่วนของเทวรูป และศิวลึงค์ อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าวัดศรีสวาย เคยเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูมาก่อนแล้วแปลงเป็นพุทธสถานโดย ต่อเติมวิหารขึ้นที่ด้านหน้า เป็นวัดในพุทธศาสนาในภายหลัง วัดตระพังเงิน           ตั้งอยู่ทางตะวันตกของวัดมหาธาตุ มีระยะห่างประมาณ ๓๐๐ เมตร โบราณสถานแห่งนี้ไม่มีกำแพงแก้ว ประกอบด้วยเจดีย์ประธาน วิหาร และโบสถ์กลางน้ำ           โบราณสถานของวัดนี้มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูมเป็นประธาน โดยมีวิหารประกอบอยู่ด้านหน้า ลักษณะที่เด่นของเจดีย์ทรงดอกบัวตูมของวัดนี้ คือมีจระนำที่เรือนธาตุทั้งสี่ด้านสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปยืนและลีลา ซึ่งแตกต่างไปจากเจดีย์ทรงดอกบัวตูมในที่อื่น ๆ           ด้านตะวันออกของเจดีย์ เป็นเกาะมีโบสถ์ตั้งอยู่กลางน้ำตามคตินทีสีมาเช่นเดียวกับวัดสระศรี โบสถ์นี้ตั้งอยู่ในสระน้ำที่มีชื่อว่า ตระพังเงิน วัดสระศรี           เป็นวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดมหาธาตุ โบราณสถานนี้มีความงดงามมากอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากตั้งอยู่กลางสระน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ชื่อว่า ตระพังตระกวน สิ่งสำคัญของวัดประกอบด้วย เจดีย์ทรงระฆัง วิหารและโบสถ์กลางน้ำ ก่อน พ.ศ. ๒๕๒๑ มีถนนจรดวิถีถ่องตัดผ่านกลางวัด ซึ่งทำลายคุณค่าและเป็นอันตรายต่อโบราณสถาน กรมศิลปากรจึงได้ปรับปรุงทัศนียภาพเพื่อรักษาโบราณสถาน โดยขุดรื้อถนนออกไป แล้วสร้างถนนเลียบสระน้ำขึ้นแทน           เจดีย์ทรงระฆังกลมของวัดเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงการรับพุทธศาสนาจากลังกาของสุโขทัย บางครั้งจึงเรียกเจดีย์แบบนี้ว่า เจดีย์ทรงลังกา ส่วนโบสถ์ที่อยู่กลางน้ำก็เป็นความเชื่อถือแบบพุทธศาสนา ที่ใช้น้ำในความหมายของความบริสุทธิ์ของขอบเขตที่กันไว้เป็นเขตสำหรับให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม เรียกว่า นทีสีมา วัดชนะสงคราม           ตั้งอยู่ทางเหนือของวัดมหาธาตุ และอยู่ใกล้กับ โบราณสถานที่เรียกว่า หลักเมืองด้วย เดิมเรียกกันว่า วัดราชบูรณะ ลักษณะเด่นก็คือ มีเจดีย์ทรงระฆังกลมขนาดใหญ่เป็นเจดีย์ประธาน ด้านตะวันออกมีวิหาร โบสถ์ และเจดีย์รายต่าง ๆ แผนผังของวัดนี้มีที่พิเศษออกไปคือ มีเจดีย์ทรงวิมานขนาดเล็ก ๒ องค์ ขนาบอยู่ด้านหน้าเจดีย์ประธาน(ด้านตะวันออก) คล้ายที่วัดเจดีย์เจ็ดแถวเมืองศรีสัชนาลัย น่าจะเป็นเจดีย์ที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นในระยะเวลาต่อมา เมื่อสุโขทัยรวมอยู่ในราชอาณาจักรอยุธยาแล้ว ศาลตาผาแดง           ตั้งอยู่ติดกับตระพังตระกวนทางด้านทิศเหนือ และใกล้กับประตูเมืองด้านเหนือ ปรากฏในแผนที่สมัย รัชกาลที่ ๕ เรียกว่า ศาลเทพารักษ์ใหญ่และศาลตาผ้าแดง           ลักษณะเป็นโบราณสถานหลังเดี่ยวแบบปราสาทเขมร ก่อด้วยศิลาแลงทั้งหมด ส่วนบนฐานบัวลูกฟัก มีห้องยาวหรือส่วนที่ยื่นออกไปจากตัวปราสาท อยู่ทางด้านตะวันออก และตะวันตก โดยห้องด้านตะวันออกมีความยาวกว่าด้านตรงข้าม           เมื่อกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งและบูรณะศาลตาผาแดง ได้พบชิ้นส่วนเทวรูปและเทวสตรี ประดับด้วยเครื่องตกแต่งอย่างงดงาม เมื่อได้ศึกษาเปรียบเทียบแล้วอาจเทียบได้กับศิลปะเขมรแบบบายน รุ่นแรก ๆ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง           โบราณสถานแห่งนี้เป็นหลักฐานยืนยันถึง การมีชุมชนที่มีวัฒนธรรมเขมรนับถือศาสนาฮินดูปะปนในแถบนี้แล้ว เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โบราณสถานนอกเขตกำแพงเมือง           ในพื้นที่ทั้งสี่ด้านของเมืองสุโขทัยมีโบราณสถานตั้งอยู่เป็นจำนวนมากปรากฏทั่วไปตามพื้นที่ราบและบนภูเขา เป็นจำนวนถึง ๑๑๖ แห่ง นอกจากนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างเพื่อระบบชลประทาน แหล่งวัตถุดิบ และแหล่งอุตสาหกรรมโบราณสถานสำคัญนอกเขตกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ วัดพระพายหลวง           ตั้งอยู่ใกล้ประตูเมืองด้านเหนือและอยู่ขนาบกับกำแพงเมืองชั้นนอก จัดเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ และมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สุโขทัยอีกแห่งหนึ่ง เพราะมีสิ่งก่อสร้างในรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของเมืองสุโขทัย และก่อสร้างเพิ่มเติมสืบต่อกันมาจนถึงสมัยสุโขทัยตอนปลาย           กลุ่มโบราณสถานตั้งอยู่ตรงกลางในพื้นที่ที่มีคูน้ำล้อมรอบ คูน้ำแต่ละด้านมีความยาวประมาณ ๖๐๐ เมตร โบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดในวัดเป็นปราสาท ๓ องค์ ปัจจุบันพังทลายลงเหลือเพียงฐาน ๒ องค์ และที่สมบูรณ์เพียงองค์ด้านทิศเหนือนั้น มีลักษณะของปราสาท และลวดลายปูนปั้นประดับเล่าเรื่องตามพุทธประวัติเหมือนกับปราสาทที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุลพบุรี และที่ปราสาทปาลิไลย์ในเมืองพระนครหลวงของเขมรเป็นเครื่องยืนยันว่า ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ชุมชนสุโขทัยมีวัฒนธรรมร่วมกับเขมรในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และมีความเกี่ยวข้องกับเมืองละโว้ (ลพบุรี) เมืองใหญ่ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมเขมร ในที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง           ถัดจากปราสาทไปทางตะวันออกนอกจากจะมีวิหารแล้ว ยังมีเจดีย์ทรงเหลี่ยมแบบปิรามิด ประดับทุกด้านด้วยซุ้มพระพุทธรูปลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป เหมือนกับเจดีย์กู่กุดจังหวัดลำพูน ที่เจดีย์นี้มีหลักฐานการก่อสร้างทับซ้อนกันหลายสมัย เช่น มีพระพุทธรูปในซุ้มเป็นแบบหมวดวัดตระกวนอยู่ภายใน  โดยถูกปิดและซ้อนทับอยู่ด้วยพระพุทธรูปสุโขทัยหมวดใหญ่อันเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เป็นต้น           ทางด้านตะวันออกสุดของกลุ่มโบราณสถาน  เป็นมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปในอิริยาบท  เดิน ยืน และนอน ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะสร้างในสมัยหลังที่สุดในบรรดาโบราณสถานที่กล่าวมาแล้ว คือในสมัยสุโขทัยตอนปลาย วัดศรีชุม           อยู่นอกกำแพงเมืองตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือพอดี สิ่งสำคัญที่ปรากฏอยู่โดดเด่น ได้แก่ อาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ภายในอาคาร มีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ ๑๑.๓๐ เมตร เชื่อกันว่าชื่อพระพุทธรูปเรียกตามที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า พระอจนะ มีความหมายว่า ผู้ไม่หวั่นไหว สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ราว พ.ศ. ๒๔๙๖-๒๔๙๙           คำว่า ศรี มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิมของไทยว่า สะหลี ซึ่งหมายถึงต้นโพธิ์ ดังนั้นชื่อศรีชุม จึงหมายถึงดงของต้นโพธิ์ แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่เข้าใจความหมายนี้แล้ว จึงเรียกสถานที่นี้ว่า ฤๅษีชุม ว่าเป็นสถานที่ที่พระนเรศวรมาประชุมทัพกันอยู่ที่นั้นก่อนที่จะยกทัพไปปราบเมืองสวรรคโลก อันเป็นต้นตอของตำนานเรื่องพระ (อจนะ) พูดได้ที่เล่าขานกันต่อมา           วัดศรีชุมยังมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สุโขทัยอีก ในช่องผนังของมณฑปได้ค้นพบศิลาจารึกหลักที่ ๒ เรียกว่า จารึกวัดศรีชุม ที่เล่าเรื่องราวของการก่อตั้งราชวงศ์สุโขทัยของคนไทยกลุ่มหนึ่ง และที่เพดานของช่องผนังดังกล่าวมีภาพจิตรกรรมลายเส้นเป็นภาพเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ ที่เรียกว่า ชาดก บางภาพมีลักษณะทางศิลปกรรมคล้ายกับศิลปะลังกา โดยมีอักษรสมัยสุโขทัยกำกับบอกเรื่องชาดกไว้ที่ภาพแต่ละภาพด้วย เตาเผาเครื่องสังคโลก           สังคโลก เป็นชื่อที่มีความหมายถึงเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตขึ้นในสมัยสุโขทัย ทั้งในเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัย เป็นการทำเครื่องถ้วยชามที่เคลือบสีต่าง ๆ เช่น สีเขียวไข่กา สีน้ำตาล สีใสเคลือบทับลายเขียนรูปต่าง ๆ เป็นอาทิ สังคโลกเป็นสินค้าที่ส่งไปขายยังนอกอาณาเขตสุโขทัยอย่างกว้างขวาง ทั้งในดินแดนแถบที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันเช่นที่อยุธยาและแถบภาคใต้แล้วยังได้พบในแถบฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่นด้วย           แหล่งเตาเผาเครื่องถ้วยชามสังคโลกที่เมืองสุโขทัยพบอยู่ทางด้านเหนือ นอกกำแพงเมืองโดยเฉพาะในบริเวณคันดินรอบวัดพระพายหลวง ลักษณะของเตามีอยู่ ๒ แบบ แบบแรกเป็นเตากลม มีพื้นเจาะรูเพื่อระบายความร้อนจากช่องใส่ไฟที่อยู่ด้านล่างขึ้นมา บางครั้งก็เรียกว่า เตาตระกรับ  แบบที่ ๒ มีลักษณะเป็นรูปหลังเต่า มีปล่องระบายความร้อนและช่องไฟอยู่คนละแนวกัน เพื่อระบายความร้อนในแนวนอนเรียก เตาประทุน           เตาเผาที่สุโขทัยส่วนใหญ่เป็นเตาที่ก่อขึ้นจากอิฐดิบ ไม่ใช่เตาขุดที่ขุดเข้าไปในเนินดินธรรมชาติแบบเตาบางแห่งที่ศรีสัชนาลัย เพราะในการขุดค้นของกรมศิลปากรพบเตาอิฐดิบนี้ ก่ออยู่บนชั้นดินดานซึ่งเป็นชั้นดินล่างสุดของสุโขทัย โบราณสถานสำคัญนอกเขตกำแพงเมืองด้านทิศใต้ ประตูนะโม           ประตูเมืองทางด้านใต้ มีลักษณะทั่วไปเช่นเดียวกับประตูเมืองด้านอื่น ๆ คือ ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางกำแพงด้านใต้เป็นช่องตัดผ่าน และมีป้อมดินที่สร้างยื่นออกไปจากแนวกำแพงเป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อใช้ดูข้าศึก หลักฐานกล่าวถึงกำแพงเมืองสุโขทัยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า.... เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากประตูหลวง... และ... รอบเมืองสุโขทัยนี้ตรีบูรได้สามพันสี่ร้อยวา...           ลักษณะกำแพงเมืองสุโขทัยเป็นกำแพงสามชั้น สองชั้นนอกเป็นคันดินสลับกับคูน้ำ กำแพงชั้นในมีแกนเป็นคันดิน ก่อหุ้มด้วยศิลาแลงและอิฐ ประโยชน์ของกำแพงเมือง คือ ใช้บอกขอบเขตของเมือง ป้องกันข้าศึก และคูน้ำใช้เป็นทางระบายน้ำไม่ให้ท่วมเมือง เนื่องจากพื้นที่ลาดเอียงจึงเป็นทำเลที่ดีและมีการใช้เทคนิควิทยาการที่เหมาะสม คือ ใช้คันดินบังคับน้ำให้ไหลพ้นตัวเมือง           การขุดค้นทางโบราณคดี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๔-๒๕๒๕  พบว่าการสร้างกำแพงเมืองทั้งสามชั้นนั้น คงสร้างในระยะเวลาที่แตกต่างกัน คือครั้งแรกมีกำแพงเมืองกับคูน้ำชั้นในเพียงชั้นเดียว วัดเชตุพน           ลักษณะโดดเด่นของโบราณสถานแห่งนี้เป็นพระพุทธรูปสี่อิริยาบท (นั่ง นอน ยืน เดิน) ขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถมองเห็นได้แต่ไกล โดยสร้างอยู่ภายในมณฑปจตุรมุข องค์พระพุทธรูปปั้นโดยรอบผนังอิฐซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนรองรับหลังคาอันเป็นลักษณะที่พัฒนามาจากสถาปัตยกรรมของพม่าในเมืองพุกาม ถัดไปทางด้านตะวันตกของมณฑปจตุรมุขนี้มีมณฑปย่อมุมไม้ยี่สิบขนาดเล็กมีหลังคาก่อซ้อนกันเป็นเสา และใช้หินชนวนขนาดใหญ่ทำเป็นเพดาน ยังปรากฏร่องรอยของพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย แต่ชำรุดมากแล้ว ที่ผนังด้านนอกมีลายเขียนสีดำ แสดงลักษณะลายแบบที่ปรากฏบนเครื่องถ้วยจีนเป็นลายพันธุ์พฤกษา           วัดเชตุพนยังมีสิ่งที่น่าดูอีกอย่างหนึ่งก็คือ กำแพงแก้วที่ล้อมมณฑปจตุรมุขนี้สร้างจากหินชนวนที่มีขนาดใหญ่และหนา โดยมีการสกัดและบากหินเพื่อทำเป็นกรอบและซี่กรงเลียนแบบเครื่องไม้           ถัดจากมณฑปจตุรมุขและมณฑปย่อมุมไปทางตะวันตก มีลานก่ออิฐสูงราว ๑ เมตร ใช้เป็นที่ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์           ไม่ปรากฏหลักฐานว่าวัดนี้สร้างในสมัยใด เชื่อว่าในสมัยพ่อขุนรามคำแหงคงยังไม่สร้างขึ้น จารึกวัดสรศักดิ์ กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ว่าเมื่อพระมหาเถรธรรมไตรโลกฯ มีศักดิ์เป็นน้าของพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองสุโขทัยพระองค์หนึ่ง มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสรศักดิ์ได้ร่วมชุมนุมกับพระวัดเชตุพน พิจารณาการสร้างเจดีย์ช้างรอบและศาสนสถานอื่น ๆ ที่วัดสรศักดิ์ จากข้อความที่ระบุชื่อวัดเชตุพนในศิลาจารึกหลักนี้  ประกอบกับรูปแบบทางศิลปกรรมของที่นี่แสดงให้เห็นว่า วัดเชตุพนคงเป็นวัดที่มีความสำคัญและเจริญรุ่งเรืองในช่วงสุโขทัยตอนปลาย           นอกจากนี้ยังได้พบจารึกที่วัดเชตุพน กล่าวถึงเจ้าธรรมรังษีซึ่งบวชได้ ๒๒ พรรษามีจิตศรัทธาสร้างพระพุทธรูปขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๕๗ วัดเจดีย์สี่ห้อง           ตั้งอยู่ทางตะวันออกของวัดเชตุพน ห่างกันประมาณ ๑๐๐ เมตร นอกจากวิหาร เจดีย์ประธาน และเจดีย์รายต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญของวัดคือ ที่ฐานเจดีย์ประธานมีภาพปูนปั้นประดับอยู่โดยรอบ ปั้นเป็นรูปบุคคล รูปบุรุษและสตรี สวมอาภรณ์และเครื่องประดับต่าง ๆ กัน ในมือถือภาชนะมีพันธุ์พฤกษางอกโผล่พ้นออกมาแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญงอกงาม ภาชนะนี้เรียกว่า หม้อปูรณฆฏะ นอกนั้นก็มีปูนปั้นรูปช้างและสิงห์ประดับ รูปบุคคลที่กล่าวนี้อาจหมายถึงมนุษยนาค ซึ่งถือว่าเป็นเทพอยู่ในโลกบาดาลตามแบบอย่างคติที่นิยมในลังกา           องค์เจดีย์ประธานที่ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายสมัยนั้น เป็นทรงระฆังกลมส่วนยอดของเจดีย์ได้พังทลายลง คงปรากฏส่วนปล้องไฉนตกอยู่ที่ฐานเจดีย์ วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม           จากวัดเจดีย์สี่ห้องเดินทางต่อไปทางตะวันออกราว ๒๐๐ เมตร เป็นที่ตั้งของวัดนี้ ซึ่งมีชื่อเรียกของชาวบ้านแต่เดิมว่า วัดตาเถรขึงหนัง ต่อมาได้พบศิลาจารึกที่วัดนี้ปรากฏชื่อเรียกว่า วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยารามสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๔๖ โดยพระราชชนนีศรีธรรมราชมาดามหาดิลกรัตนราชนาถกรรโลง ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระมหาธรรมราชาลิไท และเป็นพระราชมารดาของพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองสุโขทัยพระองค์หนึ่งได้โปรดให้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่จากเมืองกำแพงเพชรมาอำนวยการสร้างวัดนี้           โบราณสถานยังล้อมรอบด้วยคูน้ำเช่นวัดทั่วไปในสุโขทัย รูปแบบของเจดีย์ทรงระฆังกลมซึ่งเป็นประธานของวัด ได้เปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบทั่วไปของสุโขทัยที่มีฐานเตี้ย แต่เจดีย์วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม ตั้งอยู่บนฐานสูง มีฐานเขียงสี่เหลี่ยมเรียบ ๓ ชั้น ต่อด้วยฐานย่อมุมไม้ยี่สิบ แล้วจึงถึงองค์ระฆังกลม ทางด้านตะวันออกของเจดีย์ได้พบอัฒจรรย์ คือลายบนพื้นเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก (ครึ่งวงกลม) มีลวดลายเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ  ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากศิลปะลังกา โบราณสถานด้านตะวันออก           ทางด้านตะวันออกของสุโขทัยมีถนนโบราณผ่านหน้าวัดมุมลังกา ถนนเส้นนี้เชื่อมการสัญจรระหว่างเมืองกำแพงเพชรและสุโขทัย เป็นถนนที่มีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยและเป็นเส้นทางที่สมเด็จ      พระสามีสังฆราช ซึ่งพระมหาธรรมราชาลิไท ได้อาราธนามาจากนครพัน เมืองทางตอนใต้ของพม่า เดินทางมาสู่เมืองสุโขทัยและเข้าประตูเมืองด้านตะวันออกที่เรียกว่าประตูกำแพงหัก           ด้านเหนือของประตูกำแพงหักเข้าไปช่วงต่อกับกำแพงเมืองสุโขทัยชั้นกลางและชั้นนอกมีคลองแม่ลำพัน นำน้ำจากภูเขาและที่ลาดแถบนี้ไปสู่แม่น้ำยมที่ตำบลธานี ฝั่งตรงข้ามกับตัวจังหวัดสุโขทัย และจากคลองแม่ลำพันติดต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ลุ่มกว้างใหญ่อยู่ผืนหนึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นทะเลหลวง หรือที่รับน้ำขนาดใหญ่ซึ่งกล่าวอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ นอกจากนี้ศิลาจารึกยังได้บรรยายให้เห็นสภาพทางด้านตะวันออกของเมืองสุโขทัยนี้ว่า ...มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง  มีป่าหมากป่าพลู มีไร่มีนา มีถิ่นมีถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก...           โบราณสถานในด้านตะวันออกที่ปรากฏอยู่ และมีความสำคัญ ได้แก่ วัดช้างล้อม           จากประตูกำแพงหักไปตามถนนจรดวิถีถ่อง วัดช้างล้อมตั้งอยู่ทางฝั่งซ้าย ห่างถนนออกไปราว ๑๐๐ เมตร และตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือของคลองแม่ลำพัน ได้พบศิลาจารึกที่วัดนี้กล่าวถึงเหตุการณ์ในระหว่างก่อน พ.ศ. ๑๙๐๕-๑๙๓๓ ว่า พ่อนมไสดำผัวแม่นมเทด เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อพระ      มหาธรรมราชาลิไท มีใจศรัทธา ออกบวชตามพระมหาธรรมราชาลิไท และได้อุทิศที่ดินของตนสร้างวิหารใน ปี พ.ศ. ๑๙๓๓ สร้างพระพุทธรูป หอพระไตรปิฎก ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ อุทิศบุญกุศลถวายแด่พระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งทรงเสด็จสวรรคตแล้ว และสร้างพระพุทธรูปหิน อุทิศบุญกุศลถวายแด่พระมเหสีของพระมหาธรรมราชาลิไทที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วด้วยเช่นกัน           โบราณสถานวัดนี้มีพื้นที่กว้างขนาด ๑๐๐ x ๑๕๗ เมตร มีคูน้ำล้อมรอบนอกคูน้ำห่างไปทางตะวันออกมีอุโบสถแบบ นทีสีมา เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่มาก เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ทรงระฆังกลม มีฐานเจดีย์ทำเป็นรูปช้างล้อม จำนวน ๓๒ เชือก มีลานประทักษิณโดยรอบ มีวิหารหน้าเจดีย์มีพระพุทธรูปปูนปั้นชำรุดมากแล้ว โบราณสถานอื่นก็มีเจดีย์ราย มีกำแพงแก้วล้อมรอบชั้นหนึ่งก่อนที่เป็นชั้นของคูน้ำ   วัดตระพังทองหลาง           อยู่ริมถนนจรดวิถีถ่อง หากเดินทางมาจากจังหวัดสุโขทัยวัดตระพังทองหลางจะตั้งอยู่ริมซ้ายมือ  จุดสังเกตง่าย ๆ ก็คือ มีซุ้มประตูประดับกระจกทางเข้าวัดตระพังทองหลางซึ่งเป็นวัดสมัยปัจจุบัน           วัดนี้ไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารว่าสร้างในสมัยใด เป็นวัดขนาดกลาง โบราณสถานหลักก็มีมณฑปประกอบวิหารที่งดงามแห่งหนึ่งของสุโขทัย เจดีย์ราย มีคูน้ำล้อมรอบ และโบสถ์อยู่ทางตะวันออก วัดนี้ไม่มีเจดีย์ประธาน แต่ใช้มณฑปทำหน้าที่เหมือนเป็นเจดีย์ประธาน อันเป็นลักษณะเฉพาะแบบหนึ่งของการสร้างวัดที่สุโขทัย           มณฑปก่อด้วยอิฐ เป็นอาคารในผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ แต่ปัจจุบันชำรุดหมดแล้ว มณฑปด้านทิศตะวันออกเป็นซุ้มประตู อีกสามด้านเป็นผนังที่ประดับด้วยปูนปั้น เป็นเรื่องตามพุทธประวัติที่ชำรุดเกือบหมดแล้ว แต่จากหลักฐานที่บันทึกเป็นภาพถ่ายเก่าทำให้ทราบเรื่องราวได้ว่า           ผนังด้านเหนือเป็นภาพตอนพระพุทธเจ้าทรงทรมานช้างนาฬาคีรี โดยปั้นรูปพระพุทธองค์ประทับยืนเคียงข้างด้วยอัครสาวกคือ พระอานนท์ ที่ปลายพระบาทของพระพุทธเจ้ามีร่องรอยให้ทราบว่าเป็นหัวเข่าช้าง ซึ่งคุกเข่ายอมแพ้พระพุทธเจ้า           ผนังด้านใต้เป็นภาพตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรคชั้นดาวดึงส์ ภายหลังเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดา ปั้นรูปพระพุทธเจ้าในท่าลีลา มีพระอินทร์กับพระพรหม และเหล่าทวยเทพตามเสด็จมาส่ง ได้มีการถอดพิมพ์ภาพปูนปั้นนี้ขณะที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์กว่า จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง           ผนังด้านตะวันตกเป็นภาพตอนพระพุทธเจ้าโปรดเทศนาสั่งสอนพวกศากยวงศ์ที่เมืองกบิลพัสดุ์ ขณะทรงสั่งสอนทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เป็นรูปรัศมีเปลวไฟล้อมรอบพระพุทธองค์ และมีรูปบรรดาพระญาติแวดล้อมอยู่ภายนอกรูปรัศมีนั้น           บรรดาภาพปูนปั้นเหล่านี้แสดงถึงลักษณะศิลปะสุโขทัยที่เจริญสูงสุด หรือที่เรียกว่ายุคทองของศิลปะสุโขทัย ซึ่งอายุอยู่ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ โบราณสถานนอกเขตกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก           พื้นที่นอกเขตกำแพงเมืองสุโขทัยด้านตะวันตกเรียกว่าเขตอรัญญิก ซึ่งเรียกตามการแบ่งคณะสงฆ์ออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายแรกเรียกว่าฝ่ายคามวาสีเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ในเขตเมือง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพระสงฆ์ที่อยู่นอกเขตเมือง มุ่งเน้นการปฏิบัติวิปัสสนาเพื่อการหลุดพ้น เขตอรัญญิกในระยะแรก ๆ ของสุโขทัยคงเริ่มขึ้นที่บริเวณด้านตะวันตกดังปรากฏความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า “...เบื้องตะวันตกเมืองสุโขทัยนี้มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร...”           เส้นทางที่จะออกไปสู่เขตอรัญญิกจักต้องผ่านประตูเมืองด้านตะวันตกที่ชื่อว่า ประตูอ้อ นับว่าเป็นเส้นทางสำคัญ เพราะนอกจากพ่อขุนรามคำแหงจะทรงเสด็จขึ้นไปไหว้พระบนเขาตะพานหิน ตามเส้นทางนี้แล้ว พระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งผนวชแล้วมาจำพรรษาที่วัดป่ามะม่วง ตลอดจนสมเด็จพระสังฆราชจากลังกาที่มาเผยแพร่ศาสนาที่สุโขทัย ก็ทรงใช้เส้นทางและมีกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับ พื้นที่เขตอรัญญิกอีกด้วย           โบราณสถานที่สำคัญนอกเขตกำแพงเมืองด้านตะวันตก ได้แก่ วัดสะพานหิน           เป็นวัดตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีความสูง ๒๐๐ เมตร ชื่อวัดเรียกตามลักษณะทางที่ปูลาดด้วยหินจากตีนเขาขึ้นไปเป็นระยะทาง ๓๐๐ เมตร สิ่งสำคัญในวัดมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่น่าจะตรงกับที่ศิลาจารึกหลักที่ ๑ กล่าวถึงเมืองสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงว่า  “...ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันณึ่งมนใหญ่สูงงามแก่กม มีพระอัฎฐารศอันณึ่งลุกยืน...”  และน่าจะเป็นวัดที่พ่อขุนรามคำแหงทรงช้างเผือกชื่อรูจาคีรีเพื่อไปนบพระในวัดนี้ทุกวันข้างขึ้นและแรม ๑๕ ค่ำ วัดเขาพระบาทน้อย           อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกห่างจากประตูอ้อประมาณ ๒.๗ กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ โบราณสถานที่สำคัญคือ เจดีย์ทรงจอมแห มีคูหาพระพุทธรูป ๔ ทิศ องค์ระฆังมีรอยเป็นริ้ว ๆ ลักษณะเหมือนการตากแห ซึ่งพบเพียงองค์เดียวในเมืองสุโขทัย           ด้านหน้าเจดีย์ทรงจอมแหมีวิหาร ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ๔ รอย (ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง) นอกจากนี้ยังมีกุฏิสงฆ์สำหรับวิปัสสนา และฐานเจดีย์ศิลาแลงขนาดใหญ่ วัดป่ามะม่วง           จารึกสมัยสุโขทัยหลายหลักกล่าวถึงป่ามะม่วง ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมืองสุโขทัย มีจารึกหลักที่ ๖ ค้นพบในวัดป่ามะม่วง พูดถึงความสำคัญของวัดนี้ว่าพระมหาธรรมราชาลิไททรงออกผนวช เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๕ ในวัดป่ามะม่วงปัจจุบันประกอบด้วยอุโบสถและเจดีย์ต่าง ๆ และอยู่ไม่ไกลจากเทวาลัย  มหาเกษตร ซึ่งเป็นที่ที่พบเทวรูปสำริดศิลปะสุโขทัยอันเป็นรูปเคารพในศาสนาฮินดู อาทิ พระนารายณ์ พระศิวะ และพระพรหม เทวาลัยมหาเกษตร           ชื่อ เทวาลัยมหาเกษตร พบอยู่ ในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงของพระมหาธรรมราชาลิไท ซึ่งทำเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๕ กล่าวถึง พระมหาธรรมราชาลิไททรงประดิษฐานรูปพระอิศวร และรูปพระนารายณ์ไว้ที่เทวาลัยมหาเกษตร ในป่ามะม่วงนี้เพื่อเป็นที่สักการะ บูชาของพวกดาบสและพราหมณ์ทั้งหลาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๘๙๒           รูปพระอิศวรและพระนารายณ์ตามที่กล่าวนี้ เชื่อกันว่าตรงกับกลุ่มประติมากรรมลอยตัวเทวรูปสำริด นุ่งผ้าและสวมเครื่องประดับอย่างที่เรียกว่าทรงเครื่อง คือมีเครื่องประดับรัดต้นแขนและรัดเกล้า ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครหลายองค์ องค์ที่มีขนาดใหญ่นั้นคือ พระอิศวร สูง ๓.๐๘ เมตร และพระนารายณ์ สูง ๒.๖๗ เมตร           ตัวโบราณสถานที่ประดิษฐานเทวรูปเหล่านี้ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผนังก่อด้วยอิฐ ทั้งผนังและเสามณฑปมีขนาดใหญ่หันหน้าสู่ทิศตะวันออก วัดมังกร           ตั้งอยู่บริเวณสามแยกทางไปเขตอรัญญิกและสรีดภงส์   ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้คือ กำแพงแก้วก่อด้วยอิฐ  ประดับซี่ลูกกรงด้วยเครื่องปั้นดินเผาเคลือบ  และยังพบประติมากรรม มกรดินเผาเคลือบแบบเครื่องสังคโลกด้วย  ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้    ภายในกำแพงวัดประกอบด้วยฐานโบสถ์ที่มีมุขยื่นออกมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  มีใบเสมาหินชนวนปักล้อมรอบ  เจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ส่วนยอดได้พังทลายอยู่ทางด้านทิศเหนือของอุโบสถ  มีฐานวิหาร และยังมีเจดีย์รายอีกหลายองค์   นอกจากนี้ยังมีเจดีย์รายที่ตั้งอยู่ภายนอกกำแพงด้วย วัดเขาพระบาทใหญ่           อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก ตั้งอยู่บนเขาพระบาทใหญ่ติดกับสรีดภงส์ โบราณสถานประกอบด้วย ซากวิหารก่อด้วยอิฐและหิน วัดเขาพระบาทใหญ่เคยเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๐๒ ปัจจุบันนำมาประดิษฐานที่วัดตระพังทอง ข้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง   สรีดภงส์           ทิศตะวันตกของเมืองมีเทือกเขาประทักษ์ทอดตัวยาวเป็นฉากหลังให้กับเมืองเป็นอย่างดีนั้น เป็นแหล่งที่อุดมด้วยพืชพรรณไม้ต่างๆ รวมทั้งพืชสมุนไพร และเป็นพื้นที่เปรียบเสมือนหลังคาที่สามารถรองรับน้ำฝนได้อีกด้วย จากความชาญฉลาดของคนสุโขทัยในอดีตจึงรู้จักสร้างคันดินกั้นน้ำขนาดใหญ่ในระหว่างหุบเขากิ่วอ้ายมาถึงเขาพระบาทใหญ่อันเป็นที่รวมของน้ำจากโซกต่าง ๆ ตามบริเวณเขาถึง ๑๗ โซกเป็นคันดินสำหรับผันแปรทิศทางของน้ำ ที่เชื่อกันมาแต่เดิมว่าคือสรีดภงส์ที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกที่ ๑ น้ำจาก สรีดภงส์ถูกระบายไปตามคลองเสาหอ เพื่อเข้าไปใช้อุปโภคบริโภคในเมือง โดยระบายเข้าสู่เมืองตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้ สรีดภงส์ในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ โดยกรมชลประทานร่วมกับกรมศิลปากร ให้มีความสูงและแข็งแรงกว่าเดิมสำหรับใช้กักเก็บน้ำ มีความสูงประมาณ ๑๐ เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ถึง ๔๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร             นอกจากนี้ยังมี พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงและหอพระพุทธสิริมารวิชัย  ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่  แต่ก็มีคุณค่าและความสำคัญเช่นเดียวกันกับโบราณสถานต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น


มาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัส COVID-19 ตอนที่ ๑ เทวดารู้แจ้งแห่งเภทภัย



กรมศิลปากรขอเชิญชวนเด็กและเยาวชน ร่วมกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๖ ในวันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติทั่วประเทศ เด็กๆ ที่สนใจสามารถติดต่อเข้าร่วมกิจกรรมในหน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากรใกล้บ้าน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การจัดกิจกรรมในส่วนกลาง มีดังนี้ - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กิจกรรมประกอบด้วย กิจกรรมบนเวที ดนตรีประกอบการเล่านิทาน ,การแสดงของเด็กและเยาวชน กิจกรรมด้านวิชาการ กิจกรรมตอบปัญหา, กิจกรรมแรลลี่, กิจกรรมเปิดโลกกว้างสู่อาเซียน กิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อเด็กและเยาวชน ระบายสี, งานประดิษฐ์จากดินฟีโม่, ชวนน้องปั้นดิน กิจกรรมสันทนาการ โยนห่วงยาง, ปิดลูกโปง, เก้าอี้ดนตรี และกิจกรรมต่างฯ อีกมากมาย สำหรับเด็กๆที่เข้าร่วมกิจกรรม จะได้รับของขวัญของรางวัลทุกคน - สำนักการสังคีตจัดการแสดงรายการศิลปากรคอนเสิร์ตรอบพิเศษ ชุด “Children’s Day Concert” อำนวยเพลงโดย นายสถาพร นิยมทอง การแสดงจะเป็นการบรรเลงและการขับร้องจากศิลปินกรมศิลปากรร่วมกับสถานศึกษาและสถาบันการดนตรีที่มีชื่อเสียง อาทิ โรงเรียนหลักสูตรการดนตรีกรุงเทพมหานคร โรงเรียนดนตรีวีมุส โรงเรียนราชินี โรงเรียนปราโมชวิทยา รามอินทรา โรงเรียนโพธิสารพิทยากร ตลอดจนเครือข่ายศิลปินจากสถานศึกษา เข้าร่วมฟังได้โดยไม่เก็บค่าบัตรเข้าชม - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธีกิจกรรมประกอบด้วย การบรรยายเกี่ยวกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี และตอบคำถามรับของรางวัล การตอบปัญหาเกี่ยวกับวันเด็ก เรื่องทั่วไป เรื่องอาเซียน การเล่นเกมส์เก้าอี้ดนตรี การต่อจิกซอว์ และกิจกรรมสันทนาการอื่นๆ เช่น การแข่งร้องเพลง การแข่งเต้น - สำนักหอสมุดแห่งชาติ กิจกรรมประกอบด้วย การประกวดคัดลายมือ การวาดภาพระบายสี เล่นเกมและกิจกรรมต่างๆ สร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว ลุ้นรับของรางวัลมากมาย พร้อมทั้งบริการอาหารเครื่องดื่มและรับของรางวัล ฟรีตลอดงาน - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป จัดร่วมกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ กิจกรรมประกอบด้วย การแข่งขันประกวดวาดภาพระบายสี, ซุ้มกิจกรรมศิลปะ โดยคณะจารย์ นักศึกษาจากสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ศิษย์เก่าสถาบันบัณทิตพัฒนศิลป์, การแข่งขันแรลลี่ตอบปัญหาชิงรางวัล ด้านศิลปะ กิจกรรมสันทนาการ เช่น ดนตรี ประกวดร้องเพลง เกม ฯลฯ โดยความร่วมมือกับสำนักศิลปกรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม, ฉาย DVDแนะนำ และนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ให้แก่เยาวชนและผู้ปกครองที่เข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งบริการอาหารกลางวันและเครื่องดื่ม - หอสมุดแห่งชาติเขตลาดกระบัง เฉลิมพระเกียรติ กิจกรรมประกอบด้วย การแสดงรำอวยพร การบรรเลงเพลง จากวงดนตรี “วีรพล” การแข่งขันตอบปัญหา การแสดงบนเวที ประกวดร้องเพลง การแข่งขันวาดภาพ การแข่งขันเรียงความ เกมการละเล่น พร้อมแจกของขวัญของรางวัลมากมาย กิจกรรมในส่วนภูมิภาค อาทิ - อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย กิจกรรมประกอบด้วย การละเล่น เกมต่างๆ การตอบปัญหา การประกวดร้องเพลง และแจกของรางวัล พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี กิจกรรมประกอบด้วย การประกวดวาดภาพ ระบายสี การปั้นตุ๊กตา การประกวดร้องเพลงและการแสดงออกบนเวที ฯลฯ - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ กิจกรรมประกอบด้วย การแสดงบนเวทีโดยเยาวชนจากโรงเรียนหรือชุมชนต่างๆ ในจังหวัดสุรินทร์ การละเล่นเกมต่างๆ บนเวที ฉายภาพยนตร์ตลอดทั้งวัน และจับฉลากชิงรางวัล - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น กิจกรรมประกอบด้วย กิจกรรมสันทนาการ การแสดงบนเวทีของกลุ่มเด็กนักเรียน การแสดงความสามารถ เล่นเกมตอบปัญหาชิงรางวัล รวมทั้งแจกของรางวัล อาหารและเครื่องดื่ม - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชาวนาไทย สุพรรณบุรี กิจกรรมประกอบด้วย การแนะนำพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติชาวนาไทย ด้วยวีดิทัศน์ การบรรยายความรู้เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ของพิพิธภัณฑ์/ศัพท์น่ารู้ เกมตอบคำถามและเกมที่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์/ข้าวและการทำนา - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ จัดกิจกรรม “ค่ายเยาวชนสุขสันต์ พิพิธภัณฑ์หรรษา” กิจกรรมเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ให้เยาวชนได้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ และเรียนรู้การปั้นตุ๊กตาพื้นบ้านล้านนาจากครูภูมิปัญญาล้านนา ในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ณ โรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ภายในจังหวัด สุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ฯลฯ นอกจากนี้กรมศิลปากรยังเปิดให้เด็กๆ เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และอุทยานประวัติศาสตร์ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชมอีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานที่ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติทั่วประเทศ ติดต่อ : หน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากรใกล้บ้าน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ไม่เสียค่าใช้จ่าย