ค้นหา


รายการที่พบทั้งหมด 39,660 รายการ

ชื่อเรื่อง : ทำเนียบสมณศักดิ์เชียงใหม่ พ.ศ. 2532 ผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2532 สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท. สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.



โอภาส  เสวิกุล.พรปีใหม่ที่ชาวไทยได้รับพระราชทาน.ขวัญเรือน :สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์. 48, (1079) :พฤศจิกายน.2559.  หน้า.  22-24                              ภายในเล่มกล่าวถึงวันขึ้นปีใหม่ว่าเป็นประเพณีที่ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา และทุกเผ่าพันธุ์ได้ถือปฏิบัติกันมาเป็นประจำทุกปี เพราะมีความเชื่อว่าปีใหม่เป็นการเริ่มต้นในสิ่งที่ดี สำหรับชาวไทยเราในปัจจุบันจะมีสิ่งพิเศษที่รอคอยคือ พรปีใหม่จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่ได้รับพระราชทานเป็นประจำทุกปี  ตั้งแต่วันปีใหม่ พุทธศักราช 2493ทางวิทยุกระจายเสียง รวมทั้งทางโทรทัศน์ในเวลาต่อมา   นอกจากนี้แล้วในวันขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2529   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรุแถบเทเล็กซ์หรือโทรพิมพ์ เป็นบัตร ส.ค.ส.พระราชทานพร และในปีพุทธ-ศักราช 2539ได้ทรงประดิษฐ์บัตร ส.ค.ส.ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยรูปภาพและสีสันที่สวยงามเพื่อพระราชทานแก่พสกนิกร โดยได้ทรงปฏิบัติตลอดทุกปี  และสำหรับพรปีใหม่ที่ พระองค์เจ้าทรงได้พระราชทานในโอกาสขึ้นปีใหม่ทุกครั้ง จะทรงเตือนทุกคนได้เห็นว่าความสุข ความเจริญ ที่ปรารถนานั้น จะเกิดมีขึ้นได้ต้องคิดดีทำดี มีความรักความสามัคคี คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม จึงกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ทรงใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด


สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมาจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ด้านโบราณคดีและภารกิจของกรมศิลปากรตามคำเชิญของโรงเรียนชุมพวงศึกษา่ในกิจกรรมเปิดรั้วโรงเรียน (open house)ณ โรงเรียนชุมพวงศึกษา จังหวัดนครราชสีมาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘





โครงการดูแลทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมของชาติของพระสังฆาธิการการประชุมสัมมนาถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการและฆราสาวผู้สนับสนุนวัดและทัศนศึกษาเมืองเสมา , วัดพระนอนถวายความรู้เรื่องความสำคัญและการจัดการแหล่งโบราณคดีเมืองเสมาวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ณ วัดใหญ่สูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา


ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 10 ตอนปลาย ภาคที่ 11-12)ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2507 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภา จำนวนหน้า : 420 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10 ได้รวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองน่าน อาทิ ตระกูลเมืองน่าน เจ้าครองนครเมืองน่าน การย้ายเมืองน่าน รวมถึงการศึกระหว่างไทยกับพม่า พม่าตีกรุงศรีอยุธยา พม่ายกทัพมาตีเมืองไทย เป็นต้น


เลขคณิตชั้นประถมปีที่ 4




                   ลูกปัดรูปแบบนี้นิยมเรียนว่า “ลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิค (Indo-Pacific Beads)”หรือ “ลูกปัดลมสินค้า” (Trade winds beads) เนื่องจากได้มีการค้นพบลูกปัดรูปแบบนี้กระจายตัวอยู่ในบริเวณมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิค โดยพบตามเมืองท่าโบราณต่างๆ ทั้งในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลูกปัดแก้วเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่มากับเรือเดินสมุทรซึ่งต้องอาศัยลมมรสุมในการเดินทางอันเป็นที่มาของชื่อ “ลูกปัดลมสินค้า”           ลูกปัดแก้วขนาดเล็กเหล่านี้ทำด้วยวิธีการนำแก้วมาหลอมโดยใช้ความร้อน จากนั้นจึงนำมาดึงยืดเป็นเส้นและตัดทีละลูกจึงทำให้ลูกปัดมีขนาดที่ต่างกัน           ลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิคมีแหล่งกำเนิดและแหล่งผลิตหลักในประเทศอินเดียในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๕ และได้แพร่กระจายไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งในเอเชียตะวันตกและเอเชียตะวันออก สำหรับในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๕ พบที่ประเทศอินโดนีเซียที่เกาะสุมาตรา ประเทศไทยพบในเมืองท่าโบราณของภาคใต้ และในช่วง พุทธศตวรรษที่ ๑๖ พบในมาเลเซียและเวียดนาม           ในประเทศไทยมีการพบลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิค ในหลายพื้นที่ทั้งในภาคกลางและภาคใต้ โดยพบในแหล่งโบราณคดีสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ อาทิ แหล่งโบราณคดีควนลูกปัด (คลองท่อม) จังหวัดกระบี่ เจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙ แหล่งโบราณคดีภูเขาทอง จังหวัดระนอง เจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙ และแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร เจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓ – ๙ แหล่งโบราณคดีเหล่านี้เป็นแหล่งผลิตลูกปัดแก้วของภาคใต้ ดังได้พบลูกปัดแก้วที่อยู่ในขั้นตอนการผลิต เช่น ลูกปัดแก้วที่หลอมติดกัน และก้อนแก้วสีต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าลูกปัดแก้วเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของภาคใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๖ – ๙           ลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิค ที่พบในแหล่งโบราณคดีคลองท่อม และแหล่งโบราณคดีภูเขาทอง จึงถือเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงการผลิตลูกปัดแก้วในแถบชายฝั่งทะเลอันดามัน ความนิยมของผู้คนในสมัยนั้น และยังแสดงให้เห็นถึงการติดต่อระหว่างอินเดียและดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเมืองท่าโบราณต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยอีกด้วย   ที่มาข้อมูล ผุสดี รอดเจริญ, “การวิเคราะห์ลูกปัดแก้วจากเมืองโบราณสมัยทวารวดี ในภาคกลางของประเทศไทย.” (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖. มยุรี วีระประเสริฐ. “คลองท่อม : แหล่งอุตสาหกรรมทำลูกปัดและสถานีขนถ่ายสินค้าสมัยโบราณบนชายฝั่งทะเลอันดามัน,”สารัตถะโบราณคดี บทความคัดสรรของ ๔ อาจารย์โบราณคดี.กรุงเทพ : สมาพันธ์, ๒๕๕๓: ๘๑-๑๐๑.


          อักษรพระปรมาภิไธยย่อ คืออักษรที่ย่อจากพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ให้เหลือเพียง ๓ อักษร สำหรับอักษรพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มาจากคำว่า “มหาจุฬาลงกรณ์ปรมราชาธิราช” จึงมีอักษรพระปรมาภิไธยว่า “จ.ป.ร.” เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปตามสถานที่ต่างๆ ได้ทรงจารึกอักษรพระปรมาภิไธยย่อ จปร ไว้ อันเป็นเครื่องหมายการเสด็จเยือนของพระองค์ ซึ่งได้เดินทางไปในที่นั้นๆ           ราชบุรีเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินเมืองราชบุรีถึง ๑๐ ครั้ง โดยเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเพื่อประกอบพระราชกรณียกิจและเป็นการเสด็จประพาสต้น มีการพบจารึกอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ซึ่งนับเป็นหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่จังหวัดราชบุรีนี้เช่นกัน จารึกอักษรพระปรมาภิไธยย่อ จปร ในจังหวัดราชบุรีพบทั้งหมด ๕ แห่ง ดังนี้           ๑. ถ้ำจอมพล ต.จอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๔ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๒๑ ในรัชกาลที่ ๕           ๒. ถ้ำจระเข้ ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๔ (ปัจจุบันยังสำรวจหาถ้ำไม่พบ สันนิษฐานว่าปากถ้ำได้ถูกปิดทับไปแล้ว) นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๒๒ ในรัชกาลที่ ๕           ๓. ถ้ำระฆัง(ถ้ำค้างคาว) ในเขตพื้นที่ค่ายบุรฉัตร ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๘ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๓๓ ในรัชกาลที่ ๕           ๔. เขาวังสะดึง ต.เขาแร้ง อ.เมือง จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๘ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๓๔ ในรัชกาลที่ ๕           ๕. ถ้ำสาริกา ต.ธรรมเสน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พบจารึกอักษร จปร ๑๑๘ นับเป็นอักษรพระปรมาภิไธยที่ ๓๕ ในรัชกาลที่ ๕           ในการเสด็จพระราชดำเนินแต่ละครั้งจะมีพระราชหัตถเลขาบรรยายไว้ทุกครั้ง ดังเช่น การเสด็จพระราชดำเนินประพาสมณฑลราชบุรี เมื่อพ.ศ. ๒๔๔๒ “...วันที่ ๑๒ ตุลาคม...ครั้นเสวยเครื่องว่างเวลาเช้าแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปตามทางบนเขาวังสดึง ถึงที่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้จัดการรับเสด็จได้จัดเปนที่ทรงจารึกพระบรมนามาภิไธย ได้ทรงจารึกพระบรมภิไธยโดยย่อ จ ป ร แลเลข ๑๑๘ ที่น่าผา แห่งเขาวังสดึงด้านตะวันตกแล้วเสด็จพระราชดำเนินต่อไป...”           สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงบันทึกเรื่องราวของอักษรพระปรมาภิไธยย่อที่ทรงได้พบอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ในรายงานเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรี เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ.๒๔๔๑ ร.ศ. ๑๑๗ เมื่อครั้งเสด็จถ้ำห้วยตะแคง ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเขางู ถ้ำนี้ไม่สามารถพายเรือเข้าไปได้ พระองค์ทรงพบรอยถ่านไฟ เขียนอักษรพระนาม จปร. ความว่า “... เข้าไปพบของประหลาด คือมีรอยถ่านไฟเขียนไว้บนเพดานถ้ำเปนอักษรพระนาม จ.ป.ร. รูปอย่างที่ทรงจำหลักศิลาในสถานที่ต่างๆ แลมีตัวเลข ๑๑๔ อยู่ใต้นั้นด้วย เปนที่ฉงนสนเท่ห์ใจเปนอย่างยิ่ง ด้วยเมื่อศก ๑๑๔ เสด็จประพาศเมืองราชบุรี ฉันก็ตามเสด็จในเที่ยวนั้น จำได้ว่าทรงอักษรพระนามจำหลักไว้แต่ปากถ้ำจอมพลที่เขากลางเมือง ถึงว่าเมื่อเสด็จกลับจากจอมบึงได้ทรงม้าเลียบเขางูมาทางนี้ก็ไม่ปรากฏว่าได้เสด็จประพาศถ้ำห้วยตะแคง เหตุใดจึงมีอักษรพระนามเขียนไว้ที่หลังถ้ำนี้ แลเหตุใดจึงไม่มีจำหลัก แปลไม่ออกเกิดเปนความสงไสยว่าจะเปนลายพระราชหัตถเลขาแท้หรือใครไปแลเห็นที่ปากถ้ำจอมพลแลลองเอามาเขียนไว้ที่นี้ เพื่อบูชาหรือประการใด มีความสงสัยอยู่ดังนี้ จึงยังไม่กล้าสั่งให้จำหลักรอยลงในศิลา...”           “อักษรพระปรมาภิไธยย่อ” ที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วโปรดให้จารึกไว้ในสถานที่ต่างๆ นี้ ถือเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติที่สำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงพระราชกรณียกิจทรงเยี่ยมทุกข์สุขของราษฎรถึงแม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพียงใด พร้อมกับทอดพระเนตรโบราณสถานต่างๆ ความประทับใจในความงามของธรรมชาติที่ได้เสด็จไปทั่วทุกแห่งหนบนผืนแผ่นดินของพระองค์ และแสดงให้เห็นถึงความสนพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ที่ทรงถ่ายทอดเหตุการณ์และทรงสร้างสรรค์หลักฐาน จารึกเรื่องราวให้คนรุ่นหลังได้สามารถศึกษาอดีตได้ ภาพ ๑ อักษรพระปรมาภิไธยย่อที่จารึกไว้ ณ ถ้ำจอมพล ภาพ ๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประทับบนแคร่ไม้ บริเวณถ้ำจอมพล ภาพ ๓ อักษรพระปรมาภิไธยย่อที่จารึกไว้ ณ เขาวังสะดึง ภาพ ๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเขาวังสะดึง เมื่อวันที่ ๑๒ ต.ค. พ.ศ. ๒๔๔๒ ภาพ ๕ อักษรพระปรมาภิไธยย่อ ที่จารึกไว้ ณ ถ้ำสาริกา ภาพ ๖ อักษรพระปรมาภิไธยย่อ ที่จารึกไว้ ณ ถ้ำระฆัง --------------------------------------------เรียบเรียง : นางสาวปราจิน เครือจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี --------------------------------------------อ้างอิง กรมศิลปากร, พระปรมาภิไธยที่พบในประเทศไทย, กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๔. มโน กลีบทอง,พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี,สำนักพิมพ์สมาพันธ์ จำกัด,พ.ศ.๒๕๔๔. สถาบันดำรงราชานุภาพ “รายงานการเสด็จตรวจราชการมณฑลราชบุรี เมืองราชบุรีและเมืองสมุทรสงคราม พ.ศ.๒๔๔๑ ร.ศ.๑๑๗” การเสด็จตรวจราชการหัวเมืองของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ,๒๕๕๕.




Messenger