ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,340 รายการ
ชื่อผู้แต่ง หอศิลปเพชรบุรี
ชื่อเรื่อง นิทรรศการศิลปกรรมของสมาคมศิลปสมัยใหม่แห่งสิงค์โปร์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ ธนากิจการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๘
จำนวนหน้า ๒๐ หน้า
รายละเอียด
หอศิลปเพชรบุรีและสมาคมศิลปสมัยใหม่แห่งสิงคโปร์ จัดแสดงผลงานศิลปของจิตรกรชาวสิงคโปร์ เพื่อให้ศิลปิน นักศึกษาและประชาชน ได้มีโอกาสทราบถึงวิวัฒนาการแห่งศิลปปัจจุบันของจิตรกรชาวสิงคโปร์ นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดให้มีนิทรรศการของสมาคมขึ้นในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ให้ศิลปินมีโอกาสแสดงความสามารถในการสร้างสรรค์ศิลปในระดับที่สูงขึ้น
รายชื่อบุคคล จำนวน 1 ราย ที่มียอดเงินที่ยังค้างในบัญชี KTB Corporate Online (เลขที่บัญชี 0276034260)นายอิทธิพล วิรัตนภานุกรุณาติดต่อกลับ กลุ่มคลังและพัสดุ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร โทร.02-126-6291-92 ต่อ 3043
องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง "วันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า 3
วันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ 31 มีนาคม 2330 และด้วยความสำนึกในพระเมตตาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณอันมีเป็นอเนกประการ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2535 กำหนดให้วันที่ 31 มีนาคม ของทุกปี เป็น "วันระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า" หรือ "วันเจษฎา" เพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเจ้าจอมมารดาเรียม ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็น สมเด็จพระศรีสุลาลัย ทรงพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี มีพระนามเดิมว่า พระองค์ชายทับ สวรรคตเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 รวมพระชนมายุ 63 พรรษา กับ 11 วัน เสด็จดำรงในสิริราชสมบัติ 25 ปี 7 เดือน 23 วัน
ในปี พ.ศ. 2356 เมื่อพระชนพรรษาได้ 26 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าต่างกรม ทรงพระนามว่าพระเจ้าลูกเธอกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ โดยทรงได้รับการไว้วางใจพระราชหฤทัยจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ ให้ทรงกำกับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตำรวจว่าความฎีกา
พ.ศ. 2365 พระองค์ชายทับ ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กํากับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระตํารวจว่าการฎีกา นอกจากนี้ยังได้ทรงรับพระกรุณาให้แต่งสําเภาหลวงออกไปค้าขาย ณ เมืองจีน จึงได้รับพระสามัญญานามว่า "เจ้าสัว"
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 2 ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต โดยมิได้ตรัสมอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสองค์ใด พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาเสนาบดีผู้เป็นประทานในราชการจึงปรึกษากัน เห็นควรถวายราชสมบัติแก่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ อันที่จริงแล้วราชสมบัติควรตกแก่เจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นพระราชโอรสที่ประสูติจากสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 โดยตรงส่วนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นเพียงพระราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอมเท่านั้น แต่ทรงเจิญพระชนมายุมากกว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งขณะนั้นยังทรงพระเยาว์และทรงผนวชอยู่ โดยที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งพระราชหฤทัยไว้แล้วว่าเมื่อสิ้นรัชกาลพระองค์แล้วจะคืนราชสมบัติ ให้แก่สมเด็จพระอนุชา ( เจ้าฟ้ามงกุฎ) ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงสถาปนาพระบรมราชินี คงมีแต่เจ้าจอมมารดา
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ขึ้น 7 คํ่า เดือน 9 ปีวอกฉศก มีพระชนมายุได้ 37 พรรษา
ในรัชสมัยของพระองค์ ไทยได้เกิดกรณีพิพาทกับญวน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าญวน จะมายึดจันทบุรีเป็นที่มั่นเพื่อทำการต่อสู้กับไทย จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) เป็นแม่กองออกมาสร้างป้อมค่าย และเมืองขึ้นใหม่ให้มีชัยภูมิดี เหมาะแก่การต่อสู้ข้าศึก ในปี พ.ศ. 2377 และเมืองใหม่นี้ก็คือ ค่ายเนินวง หรือปัจจุบันคือ โบราณสถานค่ายเนินวง ที่ตำบลบางกะจะนั่นเอง
พระองค์ทรงมีพระบรมราชคุณูปการแก่ประเทศและประชาชนด้านต่าง ๆ มากมาย ทั้งด้านการต่างประเทศ ด้วยพระปรีชาญาณอันสุขุมลึกซึ้ง ได้ทรงผ่อนปรนมิให้กระทบกระเทือนทั้งผลประโยชน์ของประเทศและสัมพันธไมตรีระหว่างกัน ส่งผลให้ชาติไทยคงความเป็นเอกราชตราบจนปัจจุบัน
ด้านเศรษฐกิจ บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ ด้านพระพุทธศาสนา ทรงเกื้อกูลการพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง และทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนที่สำคัญที่สุดแก่ประเทศไทย คือส่วนที่พระราชทานไว้แก่แผ่นดิน ซึ่งเก็บรักษาไว้ในถุงแดงจำนวนหลายหมื่นชั่ง ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงนำมาเป็นค่าชดใช้แลกเปลี่ยนอธิปไตยของชาติในกรณีพิพาทดินแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ร.ศ.112
ทั้งนี้ พระราชกรณียกิจตลอดเวลา 27 ปี แห่งการครองราชย์ ทรงสร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน อันเป็นรากฐานแห่งความเจริญมาจนตราบทุกวันนี้
ประชาชนชาวไทยและรัฐบาลพร้อมใจกันสร้างพระราชานุสาวรีย์ ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ หน้าวัดราชนัดดาราม เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 ทางราชการได้มีการถวายพระราชสมัญญาว่า "พระมหาเจษฎาราชเจ้า" และได้ไช้ชื่อวันว่า "วันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า"
อ้างอิง : บุญเติม แสงดิษฐ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : พัชรการพิมพ์. 2541.
ที่ระลึกในพิธีเปิดหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี : อัมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ. 2533.
ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้
นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.468/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4 x 53 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 161 (183-194) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : พิมพา--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.605/3 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 40 หน้า ; 4 x 53.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 194 (408-415) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : พระธัมมสังคิณี--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ฐานโยนีโทรณะ
“ฐานโยนิโทรณะ”หรือที่มักเรียกกันว่า “ฐานโยนี” โดยคำว่า “โยนี” หมายถึง “อวัยวะเพศหญิง” และ “โทรณะ” หมายถึง “ทางเข้าออก” ซึ่งก็คือร่องน้ำของฐานโยนีที่ยื่นออกมา โดยฐานโยนีโทรณะ เป็นสัญลักษณ์แทนพระนางปารวตี ซึ่งใช้เป็นฐานรองรับการประดิษฐานองค์ศิวลึงค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะ สวามีของพระนางปารวตี บริเวณตรงกลางของฐานโยนีโทรณะเจาะรูตรงกลางเพื่อให้เดือยขององค์ศิวลึงค์ด้านล่างเสียบเข้าไปได้ ส่วนบริเวณโดยรอบสลักเป็นร่องน้ำและรูน้ำไหลออกเพื่อให้น้ำศักดิ์สิทธิ์จากการทำพิธีไหลลงมายังร่องน้ำดังกล่าว ซึ่งคติการสร้างฐานโยนิโทรณะ คือการแสดงถึงการให้กำเนิดชีวิต ในคติความเชื่อของศาสนาฮินดู นอกจากคำว่าโยนีโทรณะแล้ว ยังมีการใช้คำว่า “ปีฐะ” ที่แปลว่า “ฐาน” ซึ่งใช้เรียก ฐานรูปเคารพทุกชนิด ทั้งที่มีร่องรองรับการทรงน้ำและที่ไม่มีร่องรองรับน้ำ โดยฐานรูปเคารพที่มีร่องรองรับน้ำน้ำยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า “สนานโทรณี”
ร่องรอยของฐานโยนีโทรณะเริ่มปรากฏขึ้นในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (2800-800 ปีก่อนพุทธกาล) โดย John Marshall เริ่มทำการขุดค้นเมืองฮารัปปา แคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน ในปี พ.ศ. 2463 และได้ค้นพบหินเจาะรูทรงกลมซึ่งเขาเสนอว่าเป็นฐานที่เสียบประติมากรรมทรงอวัยวะเพศชาย และยังพบประติมากรรมหินทรงอวัยวะเพศชายบนฐานกลมซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นฐานโยนีในยุคแรก ต่อมาหลักฐานของ ฐานโยนีจึงเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 โดยพบการสร้างฐานโยนีโทรณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม เพื่อใช้รองรับแท่นศิวะลึงค์ ซึ่งแต่เดิมถูกปักไว้ในดิน หรือตั้งไว้ในห้องครรภคฤหะโดยไม่มีฐานรองรับ หลักฐานของฐานโยนีโทรณะในยุคนี้ได้แก่ ฐานโยนีโทรณะของถ้ำเอเลฟานต้า รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย อายุราวพุทธศตวรรษที่12 โดยพบฐานโยนีโทรณะทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ต่อมาเมื่อวัฒนธรรมอินเดียหลั่งไหล่เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงปรากฏหลักฐานการใช้ฐานโยนีโทรณะ และฐานรูปเคารพในศาสนาต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศไทย เพื่อใช้วางรูปเคารพเทพเจ้าในศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ
ฐานโยนีโทรณะที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม
ที่ปราสาทสด๊กก๊อกธมมีฐานโยนีโทรณะตั้งอยู่ภายในห้องครรภคฤหะ ซึ่งฐานโยนีโทรณะดังกล่าวประกอบด้วยชิ้นส่วนที่เป็นของเดิม และชิ้นส่วนที่ทำจำลองขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานของฐานรูปเคารพซึ่งสันนิษฐานว่าใช้วางรูปเคารพของเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในศาสนาฮินดู และเป็นเทพเจ้าที่ถูกบูชาในฐานะเทพเจ้าองค์รองของปราสาทสด๊กก๊อกธม
รู้หรือไม่ ????
ปลายท่อน้ำของฐานโยนีโทรณะตั้งอยู่ทางทิศเหนือเสมอ เนื่องจากคติความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ว่า ทิศเหนือเป็นทิศที่แม่น้ำคงคาไหลลงมา ฉะนั้นน้ำที่ไหลลงมาจากการทำพิธีรดน้ำองค์ศิวลึงค์จึงเหมือนน้ำที่ไหลย้อนขึ้นไปยังสรวงสวรรค์
พระอุดรคณาภิรักษ์ (กิตติศักดิ์ กิตฺติวุฑฺโฒ). กรรมเวร และพัฒนาการทางจิต. พระนคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2509.
ที่มา: https://datasipmu.finearts.go.th/academic/70
สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร จัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๖ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
นิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โบราณวัตถุที่นำมาจัดแสดง อาทิ แผ่นไม้สลักเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และดอกพิกุลทอง ดอกพิกุลเงิน สมัยรัตนโกสินทร์ หนังสือสมุดไทย ฝาบาตรและเชิงบาตรประดับมุกที่ระลึกงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๕ นอกจากนี้ ยังมีงานศิลปกรรมในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และผลงานศิลปกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมวงศ์ ซึ่งสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรได้สร้างสรรค์ขึ้น อาทิ
- ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ (เทคนิคสลักดุนโลหะ ปิดทอง ลงยาสีและประดับคริสตัล)
- เครื่องไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ถวายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ (เทคนิคประดับมุกทึบเต็มพื้นที่ (ปูพื้นอย่างโมเสค) ประดับด้วยลายโลหะสลักดุน
- พระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (เทคนิคเขียนสีน้ำมัน) พร้อมกรอบปั้นปูนน้ำมัน
- พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ต้นแบบปูนปลาสเตอร์)
- การเขียนภาพจิตรกรรมลำดับเหตุการณ์สำคัญในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ด้วยเทคนิคเขียนสีฝุ่นบนพื้นกาวเม็ดมะขามผสมดินสอพอง โดยได้รวบรวมขั้นตอนเป็นองค์ความรู้สืบทอดกระบวนการงานช่างแบบโบราณของกลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่
ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๖ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร)
กรมศิลปากร จัดสร้างพระพุทธสิหิงค์จำลองในโอกาสครบรอบ ๑๑๒ ปี แห่งการสถาปนากรมศิลปากร พุทธศักราช ๒๕๖๖ กรมศิลปากร ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดสร้างพระพุทธสิหิงค์จำลอง และเหรียญพระพุทธสิหิงค์ เพื่อหารายได้นำเข้ากองทุนโบราณคดี ใช้ในการบูรณะโบราณสถาน และกิจการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ การจัด สร้างครั้งนี้ ออกแบบโดยสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ด้วยฝีมืออันงดงาม ถือเป็นการจัดสร้างครั้งแรก และจัดสร้างจำนวนจำกัด พิเศษคือใต้ฐานของพระพุทธสิหิงค์จำลองทุกองค์ได้บรรจุไม้ช่อฟ้าเดิมซึ่งเป็นส่วนสูงสุดของพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ สถานที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ และเทียนชัยเข้าพรรษา ซึ่งถวายองค์พระพุทธสิหิงค์เพื่อเป็นนิมิตแห่งความสว่างไสวของชีวิต
ในการนี้ กรมศิลปากรจะจัดพิธีมหาพุทธาภิเษก ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดย พระเถรานุเถระ ผู้ได้รับความเคารพนับถือจากประชาชน จำนวน ๙ รูป ในวันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๔๙ น. เป็นวันมหาสิทธิโชค และตรงกับราชาแห่งฤกษ์ โดยจะอัญเชิญวัตถุมงคลที่จัดสร้างทั้งหมดไว้ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เป็นเวลา ๑ ราตรี เพื่อซึมซับความศักดิ์สิทธิ์ จากองค์พระพุทธสิหิงค์ และถือเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
กรมศิลปากร จึงเชิญชวนพุทธศาสนิกชนและผู้สนใจสั่งจองพระพุทธสิหิงค์ พระกริ่งพระพุทธสิหิงค์ และเหรียญพระพุทธสิหิงค์ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัสดุ กลุ่มคลังและพัสดุ สำนักบริหารกลาง ชั้น ๓ อาคารกรมศิลปากร เทเวศร์ โทร. ๐ ๒๑๒๖ ๖๕๕๙ หรือ facebook page พระพิฆเนศวร ๑๐๘ ปี กรมศิลปากร (เปิดให้จองในวันจันทร์ -ศุกร์ เวลา ๐๙.๐๐ -๑๖.๐๐ น.) *ปิดวันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
จารึกที่คนสับสนกับจารึกเมืองศรีเทพ....
จารึกบ้านหนองไม้สอ เป็นเสากลมรูปสัณฐานคล้ายดอกบัวตูม มีเส้นลวดบัวรอบ ฐานมีเดือยยาวเป็นรูปหมุดหรือตะปู ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็น “หลักเมืองศรีเทพ” สับสนกับจารึกเมืองศรีเทพ ตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “ ...ศิลาจารึกพบที่เมืองศรีเทพครั้งนี้แปลกมาก สัณฐานคล้ายตะปูหัวเห็ด ข้างปลายที่เสี้ยมแหลมเป็นแต่ถากโกลน สำหรับฝังดินขัดเกลี้ยง...”
ตามประวัติระบุว่าได้มาจากเมืองศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ คณะกรมการจังหวัดเพชรบูรณ์ส่งมาให้เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๔๘๑ นำเก็บรักษาไว้ที่คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๗
อยู่ห่างจากจุดที่พบจารึกบ้านวังไผ่ไปทางทิศตะวันออก ๓ กิโลเมตร กำหนดเลขบัญชีวัตถุเป็นจารึก K.๙๗๙ ตาม Inscriptions du Cambodge โดยศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ให้ความเห็นว่าเป็นอักษรขอมสมัยเมืองพระนคร ภาษาขอม ๓ บรรทัด มีร่องรอยถูกอุด มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ กล่าวถึง เสตญ และบริวารหญิง (ไต) ๓ คน
ภายหลังผู้ช่วยศาสตราจารย์กังวล คัชชิมา ได้ศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบตัวอักษร “ร” ในจารึกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักราชกำกับไว้ว่า มีลักษณะอักษรเส้นเดียวยาว ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย มักจะเขียนไม่เป็นระเบียบ และตัวหนังสือแตกต่างจากฟูนัน-เจนละ
อีกทั้งอักษรขอมสมัยเมืองพระนคร ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ มีพัฒนามาจากอักษรหลังปัลลวะ ทำให้ถอดเนื้อความได้ใกล้เคียงกัน อาจเปรียบเทียบได้กับคาถาเยธมฺมาอักษรปัลลวะและหลังปัลลวะที่มีความแตกต่างกันสังเกตจากพัฒนาการตัวอักษร
จึงนับว่าจารึกหนองไม้สอเป็นอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ระยะแรก กำหนดอายุได้ราว พ.ศ. ๙๐๐-๑๐๐๐ กล่าวถึง ...ไวษฺณว ราม และลักษมณ... เนื้อความส่วนใหญ่ชำรุดเสียหาย แต่ยังคงแสดงให้เห็นความเชื่อและความรับรู้เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ของเมืองโบราณศรีเทพได้อย่างชัดเจน
อ้างอิงจาก :
กรมศิลปากร. “จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ อักษรปัลลวะ หลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๔”. กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, ๒๕๕๙.
กรมศิลปากร. “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ”. กรุงเทพฯ : สำนักศิลปากรที่ ๔ ลพบุรี กรมศิลปากร, ๒๕๕๐
กังวล คัชชิมา. “จารึกพระเจ้ามเหนทรวรมัน”. โครงการวิจัยจากกองทุนสนันสนุนการวิจัย นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ของคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๖๒
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. “เรื่องเที่ยวที่ต่าง ภาค ๓ เล่าเรื่องเที่ยวมณฑล เพชรบูรณ์และเรื่องความไข้ เมืองเพชรบูรณ์”. กรุงเทพฯ: วิศัลย์การพิมพ์, ๒๕๑๙.
George Cœdès, “Nouvelles inscriptions de Si T’ep (K. 978, K. 979),” in Inscriptions du Cambodge vol. VII .Hanoi : Imprimerie d'Extrême-Orient, 1964, แปลโดย ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล
๕ พฤศจิกายน วันคล้ายวันถึงแก่พิราลัย เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย ถึงแก่พิราลัย เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๖สิริชันษาได้ ๖๘ ปี เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระราชทานนามสกุล ณ ลำภูน (ปัจจุบันใช้คำว่า ณ ลำพูน) เขียนเป็นตัวอักษรโรมันว่า na Lambhun ภาพถ่ายและเครื่องแต่งกายของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าพงศ์ธาดา ณ ลำพูน โอรสองค์ใหญ่มอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ อ้างอิง จ ค นะ ลำพูน ตัวตายดีกว่าชื่อตาย. พิมพ์แจกไนงานพระราชทานเพลิงสพ พลตรี เจ้าจักรคำขจรสักดิ เจ้าผู้ครองนครลำพูน นะ เมรุสุสาน นะ บ้านหลวย ๒๔ ธันวาคม ๒๔๘๖. พระนคร: พระจันท, ๒๔๘๖.พิเชษฐ์ ตันตินามชัย. เจ้าหลวงลำพูน. เชียงใหม่: วิทอินดีไซน์, ๒๕๕๘.
//กลุ่มโบราณสถานกลางเวียงกุมกาม : สมุดบันทึกความลับใต้พิภพจากอดีต//... เย็นนี้แล้ว สำหรับงานท่องเที่ยวโบราณสถานยามราตรี "แอ่วกุมกามยามแลง" ที่จะจัดขึ้น ณ ลานกิจกรรมสาธารณะ วัดหนานช้าง - วัดอีค่าง ใจกลางเวียงกุมกาม ซึ่งมีความสวยงามคลาสสิคตามแบบฉบับของโบราณสถานยุคทองของล้านนา ซึ่งได้เก็บความลับจากอดีตผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานจนมีการค้นพบในปัจจุบัน... กลุ่มโบราณสถานใจกลางเวียงกุมกาม ประกอบด้วยโบราณสถานสำคัญ 3 แห่ง ประกอบด้วย วัดอีค่าง วัดหนานช้าง และวัดปู่เปี้ย กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษ 20 - 22 ร่วมระยะเวลายุคทอง ของอาณาจักรล้านนา หนึ่งในนั้นมีโบราณสถาน 1 แห่งที่เก็บซ่อนความลับจากอดีต เปรียบเสมือนสมุดบันทึกเล่มใหญ่ของเวียงกุมกาม... โบราณสถานที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ คือ วัดหนานช้าง กลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วยอาคารมากถึง 13 หลัง อยู่ใต้ชั้นตะกอนทรายลึกกว่า 2 เมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 3 ไร่ การขุดศึกษาทางโบราณคดี พบข้อมูลสำคัญ ดังนี้... 1) ภูมิรู้สู้วิกฤตอุทกภัย การขุดศึกษาพบลักษณะชั้นดินก่อเป็นพนังกั้นน้ำ มีวัตถุประสงค์เพื่อกั้นน้ำไม่ให้ท่วมหลากเข้ามาในพื้นที่วัด สะท้อนถึงความพยายามแก้ปัญหาน้ำท่วมของชาวเวียงกุมกามในอดีต... 2) ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับล้านนา การศึกษาทางโบราณคดี พบหลักฐานประจักษ์พยานสำคัญ คือ กลุ่มภาชนะเครื่องถ้วยจีนและเครื่อใช้อื่น ๆ รวมกว่า 50 รายการ บรรจุในใหและถูกนำมาฝังอยู่ในชั้นดินก่อนการล่มสลายของเวียงกุมกาม หนึ่งในหลักฐานกลุ่มนี้ปรากฏเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิง ที่ปรากฏจารึกอักษรจีน บ่งชี้ให้เห็นว่า เป็นของที่ผลิตขึ้นจากเตาหลวง สำหรับเป็นเป็นเครื่องต้นสำหรับจักรพรรดิ หรือพระราชทานให้แก่พระมหากษัตริย์ของดินแดนที่มีความสัมพันธ์ทางการทูต และได้รับการยอมรับในพระราชอำนาจจากจักรพรรดิจีนเท่านั้น หลักฐานกลุ่มนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและล้านนาผ่านระบบบรรณาการได้เป็นอย่างดี... 3) การล่มสลายของเวียงกุมกาม จากลักษณะการฝังไหบรรจุกลุ่มเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิงที่วัดหนานช้าง พบว่าอยู่ในชั้นดินที่ต่ำกว่าฐานรากของอาคารโบราณสถาน และมีซากปรักหักพังของโบราณสถานปะปนอยู่ชั้นดินตอนบนถัดขึ้นไปเป็นชั้นตะกอนทราย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เป็นการฝังเพื่อต้องการซุกซ่อนสมบัติเพื่อรอเวลาที่จะนำกลับขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อวิเคราะห์ร่วมกับจารึกที่ปรากฏบนเครื่องถ้วยจีน จะพบว่าในห้วงระยะเวลาดังกล่าว (พุทธศตวรรษที่ 22) เชียงใหม่อยู่ในสภาวะวุ่นวาย มีการแย่งชิงอำนาจทั้งจากภายในและภายนอก จากทั้งพม่าและกรุงศรีอยุธยา จึงอาจเป็นสาเหตุของการฝังซ่อนสมบัติ ก่อนเวียงกุมกามจะถูกทั้งร้างไปและเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นในราวปี พ.ศ.2200... สำหรับท่านที่อยากไปเสพอดีต เยือนสมุดบันทึกความลับจากใต้พิภพวัดหนานช้าง พบกันเย็นนี้ ในงานท่องเที่ยวโบราณสถานยามราตรี "แอ่วกุมกามยามแลง" ณ ลานกิจกรรมสาธารณะวัดอีค่าง- วัดหนานช้าง เวียงกุมกาม เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป