ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,777 รายการ
เลขทะเบียน : นพ.บ.72/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4.6 x 50 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 46 (35-51) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : นิปฺณปทสงฺคห (นิปุณณปทสังคหะ) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.133/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 70 หน้า ; 4 x 51.8 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 79 (315-317) ผูก 3 (2564)หัวเรื่อง : เตปทุุมกุมาร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง บุญนาค พยัคฒเดช
ชื่อเรื่อง ประวัติเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี ) สมุหนายก
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพ ฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์กรมยุทธศึกษาทหารบก
ปีที่พิมพ์ 2518
จำนวนหน้า 254 หน้า
หมายเหตุ พิมพ์ในงานกฐินพระราชทานณวัดจักรวรรดิราชาวาส ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ เจ้าพระยาบดินทร เดชา (สิงห์ สิงหเสนี ) เริ่มรับราชการเป็นมหาดเล้กในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร (ร2) และต่อมาใน (ร3 )มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชสุภาวดีและได้รับ โปรดเกล้าฯให้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพไทย ได้สร้างเกียรติประวัติเป็นที่เกรงขามของทัพต่างๆของประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว ญวน และเขมร เป็นตัวอย่างของทหารไทยในความกล้าหาญ เด็ด เดี่ยวและรักชาติ ได้รับการเลี่อนยศเป็นพระยาบดินทรเดชาเป็นตำแหน่งสุดท้าย
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.8/1-3
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มีประวัติโดยคร่าวกล่าวว่าศิลาจารึกหลักนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เมื่อครั้งทรงผนวช มีรับสั่งให้นำลงมาจากเมืองสุโขทัย เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๖ เก็บรักษาไว้ในหอพระสมุดวชิรญาณ กระทั่งวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ นายเชื้อ สาริมาน อธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้น ให้นำมาจัดแสดงในห้องสุโขทัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ส่วนความเป็นที่สุดของจารึกหลักนี้ มีจุดเริ่มต้นอยู่ในจดหมายเวร ฉบับลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๗๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระวินิจฉัยต่อพระดำริในสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ว่าด้วยเรื่องวรรณยุกต์ โดยทรงได้เทียบเคียงกับสำเนียงแต่ละภูมิภาค กระทั่งทรงพบหลักฐานชิ้นสำคัญ มีเนื้อหาระบุไว้ความว่า “...ครั้นเช้าวันนี้หม่อมฉันไปพิพิธภัณฑสถาน เรื่องปรารภที่ทูลมาติดใจไป จึงแวะไปดูหลักศิลาจารึกของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช เห็นใช้หมายกากะบาด ไม่มีโท แต่มีเอก ก็นึกว่าจะมีวิธีอ่านและออกสำเนียงเปนอย่างอื่น ไม่เหมือนเช่นเราชาวกรุงเทพฯใช้กัน จึ่งทูลมาเพื่อทรงวินิจฉัย”
ต่อมา สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงพิจารณาตรวจสอบเรื่องไม้เครื่องหมายเสียงและสำเนียงภาษาแล้ว จึงได้ถวายรายงานตอบกลับในจดหมายเวร ฉบับลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๕ ความว่า “...ไม้เอกโทนั้น ได้พบในหนังสืออันแก่ที่สุดก็ที่จารึกหลักศิลาของขุนรามคำแหงเมืองสุโขทัย ... ไม้เอกแปลว่าไม้อันเดียวขีดเดียว ไม้โทแปลว่าไม้สองอันขีดก่ายกันเป็นกากบาท ต่อมาภายหลังเขียนอย่างง่ายๆ ไม่ยกเหล็กจาร ทุกวันนี้จึ่งกลายรูปเป็นไม้สองอันต่อกันเป็นมุมฉาก ... เมื่อจารึกหนังสือไทยลงหลักศิลานั้นมีไม้เอกโทแล้ว หลักศิลานั้นเป็นหนังสือไทยที่จารึกในแผ่นดินขุนรามคำแหง และมีความปรากฏว่าขุนรามคำแหงเป็นผู้คิดหนังสือไทย ก็ต้องถือว่าไม้เอกโทมีมาพร้อมแต่แรกคิดหนังสือไทยในครั้งขุนรามกำแหงนั้น..." ดังนั้น จากพระวินิจฉัยข้างต้น จึงสรุปได้ว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ ถือเป็น “หนังสืออันแก่ที่สุด” ที่กล่าวถึงวรรณยุกต์เอกโท ทั้งยังถือว่าเป็นจารึกอักษรไทย ภาษาไทยที่เก่าที่สุดด้วย
(เผยแพร่ข้อมูลโดย นายศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ / เทคนิคภาพโดย นายอริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ / ภาพประกอบจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เรื่อง "อาณาจักรหลักคำ กฎหมายเมืองน่าน"
เป็น ๑ ใน "๑๓ โบราณวัตถุต้องห้ามพลาด พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน" ซึ่งเป็นบทความที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วในครั้งก่อนหน้า
--- อาณาจักรหลักคำ หรือกฎหมายเมืองน่าน สร้างขึ้นและใช้ในพุทธศักราช ๒๓๙๖ - ๒๔๕๑ ลักษณะเป็นพับสา มีไม้ประกับสองด้าน จำนวน ๑ เล่ม ๖๑ หน้า ขนาด กว้าง ๑๑.๘ เซนติเมตร ยาว ๓๖.๕ เซนติเมตร หนา ๕ เซนติเมตร ต้นฉบับเป็นอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยยวน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ได้รับมอบจาก นางสุภาพ สองเมืองแก่น เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๐
--- อาณาจักรหลักคำหรือกฎหมายเมืองน่าน นอกจากจะมีความสำคัญในเมืองน่านเมื่อครั้งอดีต ในปัจจุบันยังนับเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่มีคุณค่าความสำคัญจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "เอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลก" ของประเทศไทย ส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๙
--- คำว่า "อาณาจักรหลักคำ" มีความหมายว่า "อาณาจักร" ในที่นี้หมายถึง "กฎหมาย" ดังปรากฎข้อความตอนหนึ่งในอาณาจักรหลักคำว่า "จึ่งได้หาเอาเจ้านายพี่น้องขัตติยราชวงสา ลูกหลานและท้าวพญาเสนาอามาตย์ ขึ้นเปิกสาพร้อมกันยังหน้าโรงไชย เจ้าพระยาหอหน้าเปิกสากันพิจารณา ด้วยจักตั้งพระราชอาณาจักรนั้นตกลงแล้ว” และในอีกนัยหนึ่ง กล่าวว่า อาณา เป็นคำบาลีตรงกับ อาชญา ซึ่งเป็นคำสันสกฤต แปลว่า อำนาจการปกครอง จักร แปลว่า ล้อ แว่นแคว้น รวมความแล้วจึงหมายถึง อำนาจปกครองของบ้านเมือง ส่วนคำว่า “หลักคำ” หมายถึง หลักอันมีค่าประดุจทองคำ คำว่า อาณาจักรหลักคำ จึงอาจหมายถึง “กฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองอันมีคุณค่าประดุจดั่งทองคำ”
--- อาณาจักรหลักคำ เขียนขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๖ โดยเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๖๒ (ครองเมือง พ.ศ. ๒๓๙๕ - ๒๔๓๔) กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ใช้เฉพาะในเมืองน่าน และเมืองต่างๆที่ขึ้นกับเมืองน่าน เหตุที่ต้องมีการออกกฎหมายได้มีการกล่าวไว้ในตอนต้นของกฎหมายอาณาจักรหลักคำว่า บ้านเมืองในขณะนั้นเกิดความวุ่นวาย มีการลักขโมย การเล่นการพนัน ตลอดจนปัญหาต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนในเมือง เพื่อให้บ้านเมืองเป็นไปด้วยความสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงได้กำหนดกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา โดยอาณาจักรหลักคำเป็นกฎหมายใช้เรื่อยมาในเมืองน่านและเมืองต่างๆที่ขึ้นกับเมืองน่านมาจนถึงพุทธศักราช ๒๔๕๑ ในสมัยเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ ๖๓ (ครองเมือง พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๖๑) ได้ยกเลิกการใช้อาณาจักรหลักคำ และเปลี่ยนมาใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ของกรุงรัตนโกสินทร์แทน เนื่องด้วยในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีนโยบายในการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง จึงทรงปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพและส่งข้าหลวงจากส่วนกลางมาเป็นส่วนหนึ่งของเค้าสนามหลวงประจำอยู่ที่เมืองน่าน
--- อาณาจักรหลักคำ มีลักษณะเป็นกฎหมายท้องถิ่น ซึ่งออกโดยเจ้าเมืองน่าน เจ้านายบุตรหลาน ขุนนาง และพ่อเมืองต่างๆร่วมกันออกตัวบทกฎหมายเพื่อใช้ภายในบ้านเมืองของตน โดยในการใช้กฎหมายนอกจากใช้ในเขตเวียงน่านโดยมีเค้าสนามหลวงดำเนินการแล้ว ยังมีการกระจายอำนาจให้กับหัวเมืองต่างๆที่ขึ้นอยู่กับเมืองน่านให้มีอำนาจตัดสินคดีความ แต่หากคดีนั้นพิจารณาในหัวเมืองน้อยแล้วยังไม่ยอมความ สามารถที่จะฟ้องร้องต่อเค้าสนามในเวียงเพื่อพิจารณาคดีใหม่ได้
--- ในส่วนของเนื้อหากฎหมายในอาณาจักรหลักคำ อาจแบ่งออกเป็น ๒ ช่วง ได้แก่ กฎหมายในช่วงตอนต้นที่ออกใน พ.ศ. ๒๓๙๕ และกฎหมายในช่วงตอนหลังที่ออกใน พ.ศ. ๒๔๑๘
๑. กฎหมายที่ออกใน พ.ศ. ๒๓๙๕ มีสาระสำคัญอยู่หลายมาตรา แต่ละมาตราจะมีรายละเอียดตัวบทกฎหมายและบทลงโทษผู้กระทำความผิดแตกต่างกันไป การทำความผิดในกรณีเดียวกันอาจรับโทษหนักเบาไม่เท่ากัน เนื่องจากมีการกำหนดระดับชนชั้นของผู้ที่กระทำความผิด คือ เจ้านาย ขุนนาง หรือไพร่ ชนชั้นสูงจะเสียค่าปรับมากกว่าสามัญชน กฎหมายที่สำคัญที่ลงโทษหนัก คือ การลักควาย ซึ่งในสมัยนั้นอาจมีการลักขโมยควายไปฆ่ากินอยู่บ่อยครั้ง จึงระบุโทษว่า ผู้ลักควายไปฆ่ากินจะมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต เนื้อหาของกฎหมายในช่วงนี้มีเพียงตัวบทกฎหมายซึ่งมีการกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน แต่ไม่มีตัวอย่างคดีความที่เกิดขึ้นจริงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายปรากฏอยู่ แต่อย่างไรก็ตามเนื้อความในกฎหมายก็ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงการเมืองการปกครอง สภาพสังคมและเศรษฐกิจของเมืองน่านในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งกฎหมายส่วนใหญ่ในช่วงตอนต้นนี้มักจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองน่านในด้านต่างๆ ได้แก่ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การเก็บของป่า การแลกเปลี่ยนสินค้า การประมง การแบ่งชนชั้น ตลอดจนความเชื่อค่านิยมและประเพณี ดังเนื้อความที่ปรากฏในอาณาจักรหลักคำ เช่น การทำเครื่องมือจับปลาในแม่น้ำจะต้องเว้นช่องไว้ให้เรือผ่านได้สะดวก, การห้ามฟันไร่บริเวณต้นน้ำและริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดน้ำและนำน้ำเข้าสู่ไร่นา หากฝ่าฝืนมีโทษ เฆี่ยนหลัง ๓๐ แส้ และปรับเงิน ๓๓๐ น้ำผ่า นอกจากนั้นยังมีกฎหมายห้ามฆ่าค้างคาวในถ้ำ ห้ามเบื่อปลาในน้ำ และห้ามตัดต้นไม้บางชนิด , กฎหมายห้ามปลอมแปลงเงินตรา โดยมีโทษต้องเข้าคุก ปรับไหมและเฆี่ยนตี ความว่า “...คันว่าบุคคลผู้ใดเบ้าเงินแปลกปลอมและจ่ายเงินแปลกปลอมเงินดำคำเส้านั้น คันรู้จับตัวไว้จักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตร ไว้แล้ว...จักไหม ๓๓๐ น้ำผ่า เฆี่ยน ๓๐ แส้...” เป็นต้น
๒. กฎหมายในช่วงตอนหลัง มีลักษณะแตกต่างจากช่วงตอนแรก ประกอบด้วย กฎหมายที่ออกเพิ่มเติมขึ้นใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๑๘, พ.ศ. ๒๔๒๓ และบันทึกการตัดสินคดี พ.ศ. ๒๔๑๙ และบันทึกกฎหมายเก่าที่ออกใน พ.ศ. ๒๓๘๗ นอกจากนี้ยังมีบันทึกเหตุการณ์ที่จดแทรกเข้ามา ได้แก่ บันทึกเหตุการณ์เจ้าเมืองล้าส่งบรรณาการมาให้เจ้าเมืองน่าน (พ.ศ. ๒๔๒๑) และจดบันทึกนาสักดิ์เจ้านาย ขุนนางและไพร่ แสดงให้เห็นว่าในช่วงตอนหลังการบันทึกในอาณาจักรหลักคำนอกจากกฎหมายที่ประกาศใช้แล้ว ยังมีการจดแทรกเพิ่มเติมเรื่องอื่นไว้ด้วยโดยไม่ได้ลำดับศักราชและเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่ออกในช่วง พ.ศ. ๒๔๑๘ ก็มีความสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม จึงต้องออกกฎหมายใหม่เพิ่มเติมให้ทันกับสถานการณ์บ้านเมือง คือ เรื่องห้ามสูบฝิ่น ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ๓ ปี และกฎหมายห้ามจับควายละเลิง (ควายป่า, ควายไม่มีเจ้าของ) ที่มาของกฎหมายห้ามสูบฝิ่น แสดงให้เห็นถึงคนจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานค้าขายในเมืองน่านมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว สิ่งที่คนจีนนำเข้ามาคือการสูบฝิ่น สืบเนื่องมาจากมีเจ้านายบุตรหลานเมืองน่านผู้หนึ่งติดฝิ่น สร้างปัญหาให้กับบิดา จึงได้มีการเสนอเรื่องนี้พิจารณาในระดับชั้นเจ้า ในที่สุดเจ้าเมืองน่านจึงพิจารณาโทษเจ้านายบุตรหลาน และต่อมาก็ออกกฎหมายประกาศใช้ทั่วไป และมีหนังสือบันทึกกฎหมายใหม่ส่งไปยังหัวเมืองต่างๆในการปกครองของเมืองน่านได้รับรู้ด้วย
--- ปัจจุบัน อาณาจักรหลักคำ ซึ่งถูกจัดเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ได้มีโครงการศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งจัดทำโครงการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน ได้บันทึกภาพอาณาจักรหลักคําไว้ในรูปไมโครฟิล์ม เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ และต่อมาจึงได้มีการปริวรรตโดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ สรัสวดี อ๋องสกุล ซึ่งผู้ที่สนใจศึกษาเนื้อหารายละเอียดทั้งหมดในอาณาจักรหลักคำ สามารถหาอ่านเพิ่มเติมตามเอกสารอ้างอิงได้ค่ะ
เอกสารอ้างอิง
- กรมศิลปากร. เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ, ๒๕๓๗.
- ชฎาพร จีนชาวนา. การวิเคราะห์สังคมเมืองน่านจากกฎหมายอาณาจักรหลักคำ (พ.ศ. ๒๓๙๕ – ๒๔๕๑). ปริญญานิพนธ์ ศศ.ม. (ประวัติศาสตร์). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๔๙.
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน. มรดกท้องถิ่นน่านเล่มที่ ๔ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน และโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ. น่าน: องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน, ๒๕๔๗.
- สรัสวดี อ๋องสกุล. หลักฐานประวัติศาสตร์ล้านนาจากเอกสารคัมภีร์ใบลานและพับหนังสา. เชียงใหม่: สถาบันราชภัฏเชียงใหม่, ๒๕๓๔.
ในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ยังคงมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง อาจจะทำให้ไม่สะดวกในการเดินทาง แต่ทุกท่านยังคงสามารถติดตามรับชมสาระความรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆจากทั่วทุกภูมิภาคของกรมศิลปากร ซึ่งได้นำเสนอองค์ความรู้ให้ทุกท่านได้รับชม ตลอดจนสามารถติดตามข่าวสารด้านการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของกรมศิลปากร โดยสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทาง PAGE FACEBOOK: กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร >> https://www.facebook.com/prfinearts/
ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของค่ำคืนทั้ง 10 ของเดือนรอมาฏอน ความพิเศษในค่ำคืน (ลัยละตุลก็อดรฺ)
เรามาทำความรู้จัก ที่มาและความสำคัญของเดือนรอมาฏอน
จัดทำโดย
นางสาวฤทัยรัตน์ เส้งสุวรรณ์
เอกปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
นักศึกษาฝึกงาน
องค์ความรู้ทางวิชาการ
เรื่อง ๑๔ เมืองโบราณ ในจังหวัดขอนแก่น
หลักฐานจากภาพถ่ายทางอากาศ
โดย นางสาวทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์
นักโบราณคดีชำนาญการ
สำนักศิลปากรที่ ๘ ขอนแก่น
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เจ้านายพระองค์สำคัญในพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นที่รู้จักของอนุชนรุ่นหลัง ด้วยพระเกียรติคุณมากมาย ในทางศิลปะ ทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ดนตรี ตลอดจนประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ปรากฏผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์จนถึงปัจจุบันนี้ อย่างเช่น พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร พระอุโบสถ และภาพจิตรกรรมภายในพระวิหาร วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ฯลฯ ผลงานต่างๆ ที่ทรงสร้างสรรค์มากมายหลายด้าน ทำให้บรรดาศิษย์ และอนุชนรุ่นหลังขนานนามยกย่องว่า เป็น “สมเด็จครู” นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม
ผลงานที่ยังคงเหลืออยู่เป็นประจักษ์พยานในความสามารถทางศิลปะของพระองค์อย่างหนึ่ง คือ ตาลปัตร และพัดรอง ซึ่งทำขึ้นในโอกาสต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยพิธีสงฆ์ โดยมีความนิยมมาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ออกแบบพัดรองที่ระลึก สำหรับงานพระราชพิธีต่างๆ หลายโอกาส ด้วยความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ และสื่อความถึงวาระโอกาสนั้นๆ การออกแบบพัดรองถวายพระสงฆ์ จึงได้ขยายออกไปสู่บรรดาพระราชวงศานุวงศ์ และบุคคลสำคัญอื่นๆ ด้วย
ผลงานพัดรองที่ระลึกของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นอกจากเป็นของที่ทำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และ ยังทรงรับออกแบบให้กับเจ้านายพระองค์ต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ กระทั่งมาจนถึงรัชกาลที่ ๘
ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฯ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ในรัชกาลที่ ๘ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ขณะพระชนม์ได้ ๕๔ พรรษา โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง พระศพไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก่อนจะมีงานพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพ ในพุทธศักราช ๒๔๘๔ ซึ่งในงานพระเมรุครั้งนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงออกแบบ พัดรองสังเค็ด สำหรับงานพระเมรุคราวนั้นอีกครั้ง แม้จะทรงมีพระชนมายุมากถึง ๗๐ กว่าพรรษาแล้ว ก็ยังทรงพระอุตสาหะร่างแบบพัดรองขึ้น ก่อนจะให้ผู้รับผิดชอบนำไปเพิ่มเติมรายละเอียดแก้ไขต่อไป ซึ่งน่าสนใจว่า พัดรองคราวนั้น ได้ทรงออกแบบมาให้เกี่ยวข้องกับเมืองเพชรบุรีด้วย
รูปพัดรองดังกล่าว มีลักษณะ เป็นพัดผ้าแพรสีเขียวอ่อน อันเป็นสีวันประสูติ คือวันพุธ ขอบสีเขียวตองอ่อน ส่วนของนมพัดส่วนบน เขียนเป็นรูปพระเจดีย์ทรงลังกาสีขาวอยู่ตรงกลาง ตั้งอยู่บนเนินเขาสีเขียวตองอ่อน ซึ่งมีใบตาลเป็นแฉกประดับอยู่ ถัดลงมาใต้เนินเป็นอักษรโลหะ ที่ออกแบบเพื่อให้เป็นรูป ว.อ. อันย่อมาจากพระนาม “วไลยอลงกรณ์” ประดับอยู่ โดยมีตัวเลขไทย ๒๔๒๗ และ ๒๔๘๑ อยู่ถัดมาทางซ้ายและขวาของอักษรย่อนั้น อันหมายถึงปีประสูติ และสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยองกรณ์ฯ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร
พระเจดีย์ทรงระฆังสีขาว ซึ่งเป็นภาพหลักในพัดรองดังกล่าว มีรูปลักษณะเดียวกันกับ พระธาตุจอมเพชร ปูชนียสถานสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเพชรบุรี ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนยอดเขามหาสวรรค์ ในเวลาเดียวกันกับที่โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระราชวังขึ้น บนเขาลูกเดียวกันนี้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๒ ที่มาของพระเจดีย์องค์นี้ ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค) ความตอนหนึ่งระบุว่า “.... เขาอีกยอด ๑ โปรดให้ก่อหุ้มพระเจดีย์เก่าขึ้นอีกองค์ ๑ ฐาน ๑๐ วา สูง ๑ เส้นให้ชื่อพระธาตุจอมเพ็ชร์....” ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระเจดีย์ทรงระฆัง เป็นเจดีย์ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจ กล่าวคือ เป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บานประทักษิณ ๒ ชั้น และภายในองค์เจดีย์ เป็นโถง ที่มีเสาก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่รองรับน้ำหนักองค์เจดีย์ส่วนยอดไว้
พระธาตุจอมเพชร นับว่าเป็นลักษณะที่นิยมสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า เจดีย์ในลักษณะดังกล่าว เป็นเจดีย์ที่มีการถ่ายทอดรูปแบบมาแต่ครั้งโบราณ ดังปรากฏกระแสพระราชดำริว่าด้วยการสร้างพระเจดีย์ทรงระฆังที่ทรงถือว่าเจดีย์ทรงดังกล่าวเป็นทรงที่ถูกต้องและเป็นรูปแบบที่ได้รับการพัฒนาสืบต่อมาจากลังกา ซึ่งแสดงให้เห็นความเก่าแก่สืบเนื่องมาแต่ครั้งพุทธศาสนาตั้งอยู่ในอินเดีย ก่อนจะเข้ามาสู่ลังกาและสยามประเทศ
พระธาตุจอมเพชร เป็นพระเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่ ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล และด้วยนามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานว่า “จอมเพชร” อันจะมาจากพระราชประสงค์ ที่จะให้เป็นปูชนียสถานอันยิ่งใหญ่ของเมืองเพชรบุรีนั้น คล้องกันกับพระนามกรมของสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฯ ซึ่งทรงกรมที่ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร นั่นเอง จึงทำให้สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเลือกมาเป็นภาพประกอบพัดรองในงานพระศพเจ้าฟ้าพระองค์นั้น
พัดรองงานพระเมรุ สมเด็จฯเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฯ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า นั้นยังเป็นพัดรอง ๑ ใน ๓ เล่มสุดท้าย ที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ โดยนอกจากพัดรองดังกล่าว ยังมีพัดรองงานพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุษบัณบัวผัน และงานศพหม่อมเชื้อ วัฒนวงศ์ ณ อยุธยา
ดังได้กล่าวข้างต้นว่า ขณะที่ทรงออกแบบพัดรองนั้น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีพระชนมายุถึง ๗๗ พรรษาแล้ว หม่อมเจ้าดวงจิตร จิตรพงศ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“...ในชั้นหลังนี้ไม่สามารถจะทรงเขียนอย่างวิจิตรได้ดังแต่ก่อน ด้วยพระเนตรไม่ดีเสียแล้ว จึงต้องทรงเขียนลัดให้เป็นแบบง่ายๆ เสียเป็นพื้น ...ขณะนั้น มีพระชันษาได้ ๗๗ ปีแล้ว เมื่อทรงเขียนสองเล่มแรก ก็ไม่สู้เดือดร้อน ด้วยเป็นลายง่ายๆ และไม่ใช่สำคัญ แต่พัดเล่มสุดท้ายนั้นเป็นพัดสำหรับใช้ในงานใหญ่ จึงอยากจะทรงเขียนถวายสนองพระเดชพระคุณให้ดีที่สุด ดังเช่นที่ได้เคยเขียนทูลเกล้าฯ ถวายแล้วมาแต่ก่อน แต่ก็ไม่สามารถเขียนได้ดังพระทัยปรารถนา ด้วยเวลาที่ทรงเขียนนั้น ทอดพระเนตรเส้นไม่เห็นเลย ต้องใช้แว่นขยายส่องขีดทีละเส้นด้วยความลำบาก เมื่อทรงเขียนเสร็จแล้วก็ไม่ดีสมพระทัย รู้สึกพระองค์ว่าเสื่อมความสามารถเสียแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่ทรงรับเขียนประทานผู้ใดอีก คงแต่ประทานแนวความคิดแก่ผู้ที่ทูลปรึกษาเท่านั้น...”
อ้างอิง
ศิลปากร, กรม. ตาลปัตร ฝีพระหัตถ์สมเดจฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติ
วงศ์. ๒๕๕๓, กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊ค.
สุรศักดิ์ เจริญวงศ์. สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ “สมเด็จครู”
นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม. ๒๕๔๙,กรุงเทพฯ : มติชน.
วรรณกรรมและประวัติศาสตร์, สำนัก. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. ๒๕๕๔,
กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร .
ศิลปากร, กรม. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ของ
เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ ฯ (ขำ บุนนาค). ๒๕๖๑, กรุงเทพฯ :
อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
พัสวีสิริ เปรมกุลนันท์. วัด – วัง ในพระราชประสงค์พระจอมเกล้าฯ. ๒๕๖๐,
กรุงเทพฯ : มติชน.
วสันต์ ญาติพัฒ
ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี : เรียบเรียง
-ขอบคุณภาพประกอบจาก
๑.รูปพัดวไลย จากเพจ "สมเด็จครู" https://www.facebook.com/HRHPrinceNaris
๒.รูปพระธาตุจอมเพชร ของพิพิธภัณพสถานแห่งชาติ พระนครคีรี
ชื่อเรื่อง ธรรมวิสุทธิยา (หนังสือธัมวิสุทธิยา)
สพ.บ. 243/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 18 หน้า กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 55 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี