ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,868 รายการ
ความเชื่อของ “พรหมลิขิต”
พรหมลิขิต แปลโดยรูปศัพท์ได้ว่า ข้อความหรือลวดลายที่พระพรหมเขียนไว้ ถือเป็นคติความเชื่อที่ว่า ชะตาชีวิตของมนุษย์ได้ถูกกำหนดไว้โดยพระพรหม เทพสำคัญในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อาจสืบเนื่องมาจาก การที่พระพรหมอยู่ในฐานะพระผู้สร้าง จึงเกี่ยวพันกับมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิด คติเรื่องพรหมลิขิตปรากฏมาตั้งแต่อินเดียและคงเผยแพร่เข้ามาในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คติเรื่องพรหมลิขิตนี้ ชาวมอญรุ่นเก่าเชื่อกันว่า เมื่อทารกใกล้คลอดจะต้องนำผ้าขาวมาปูตั้งแต่ประตูหัวกระไดบ้าน จนมาถึงสถานที่อันจะทำคลอด และจัดหาเครื่องประกอบพิธีประกอบด้วย มะพร้าวหนึ่งผล กล้วยหนึ่งหวี เครื่องหอมจำพวกแป้งและน้ำมันต่าง ๆ ดินสอและสมุดเตรียมไว้ข้างที่นอนทารกให้พร้อม เมื่อทารกกำเนิดขึ้นพระพรหมจะดำเนินบนผ้าขาว มาทำการลิขิตขีดเขียนที่หน้าผากของทารก
ส่วนคติไทยโบราณก็ใกล้เคียงกับทางมอญ กล่าวคือ เมื่อเด็กเกิดมาได้ ๖ วัน พระพรหมจะเสด็จลงมาเขียนเส้นไว้ที่หน้าผาก เพื่อกำหนดหมายว่าเด็กผู้นั้นจะมีความเป็นอยู่วิถีชีวิตอย่างไรตราบจนวันตาย อนึ่ง สิ่งที่พระพรหมกำหนดไว้กล่าวกันว่ามีอยู่ ๕ ประเภท คือ
๑. อายุขัย คือ บุคคลนั้นจะมีอายุยืนยาวหรือสั้นเพียงใด
๒. ภาวะจิตใจหรืออารมณ์
๓. สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด
๔. ฐานะความเป็นอยู่
๕. ความรู้สึกสำนึกในบาปบุญคุณโทษ
เรื่อง พรหมลิขิต มีพื้นฐานจากทางพราหมณ์-ฮินดูอย่างชัดเจน แต่ได้กลมกลืนอยู่ในวัฒนธรรมความเชื่อในสังคมไทยเสมอมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งความเชื่อเรื่องพระพรหมมีอำนาจบันดาลโชคชะตาของมนุษย์ ยังสะท้อนออกมาในตำราพรหมชาติ ที่เกี่ยวข้องไปกับเรื่องราวทางโหราศาสตร์ ว่าด้วยอิทธิพลของวันเดือนปีเกิด อาจรวมถึงลายมือ ลายเท้า และลักษณะสัดส่วนของร่างกายอีกด้วย
สำหรับภาพโบราณวัตถุที่นำมาประกอบเรื่องราวนี้ เป็นพระพรหมองค์เดิมที่เคยประดิษฐาน ณ สี่แยกราชประสงค์ ที่สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างโรงแรม เพื่อขอพรให้เกิดความราบรื่น บัลดาลสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี
ตามคำแนะนำของ พล.ร.ต. หลวงสุวิชานแพทย์ โดยการก่อสร้างศาลพระพรหม มีนายเจือระวี ชมเสรี และ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล แห่งกรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบศาล ส่วนผู้ออกแบบและปั้นพระพรหมคือ นายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ เป็นการปั้นตามแบบแผนกรมศิลปากร โดยปั้นด้วยปูนปลาสเตอร์ปิดทอง ซึ่งการสร้างพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างศาลพระพรหมไว้บูชาตามบ้านเรือน หรืออาคารใหญ่ ๆ อย่างแพร่หลายในสังคมไทย ก่อนที่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙ พระพรหมจะถูกทุบทำลายโดยชายผู้หนึ่ง เป็นเหตุให้มีการซ่อมแซมโดยกรมศิลปากร แล้วนำกลับไปประดิษฐาน ณ ที่เดิม ขณะเดียวกันได้ถอดพิมพ์องค์เดิมเพื่อหล่อองค์ใหม่เป็นโลหะ ซึ่งก็คือองค์ในภาพนั่นเอง ปัจจุบันเก็บรักษา ณ คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อ้างอิง
- กรมศิลปากร. นามานุกรมขนบประเพณีไทย หมวดประเพณีราษฎร์ เล่ม ๓. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๔๙.
- กรมศิลปากร. พระมหาพรหมองค์เดิม ที่บูรณปฏิสังขรณ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๕๑.
- ธนิต อยู่โพธิ์ และคนอื่น ๆ. พรหมสี่หน้า. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, ๒๕๔๙.
- เสมียนอารีย์. “กำเนิดศาลพระพรหม” ณ โรงแรมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์.” ใน ศิลปวัฒนธรรม [ออนไลน์]. เข้าถึงได้http://xn--www-dkl8ayt.silpa-mag.com/history/article_89966
- ไทยรัฐ. “ครบรอบ 61 ปี วันตั้งศาลท้าวมหาพรหม ชาวไทย-ต่างชาติแห่สักการะแน่น.” ใน ไทยรัฐออนไลน์. เข้าถึงได้http://xn--www-dkl8ayt.thairath.co.th/news/crime/1121557
ชื่อเรื่อง สมโภชพระนครครบร้อยปีผู้แต่ง กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ประเพณี ขนบธรรมเนียม คติชนวิทยาเลขหมู่ 394.4 ส272วสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์ปีที่พิมพ์ 2503ลักษณะวัสดุ 132 หน้าหัวเรื่อง ไทย – ความเป็นอยู่และประเพณี พระราชพิธีภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเรื่องสมโภชพระนครครบร้อยปี เป็นหนังสือที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับโบราณวัตถุสถานบางแห่งและขนบประเพณีในการทำพิธี
วันนี้เมื่อ ๔๕ ปีที่แล้ว ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๑
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ไปยังสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงเปิดอาคารโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารนม และทรงเจิมป้ายชื่อ 'สหกรณ์โคนมหนองโพ จำกัด'
ท่านผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับจังหวัดราชบุรี ได้ที่ #ห้องราชบุรีราชสดุดี ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
เปิดที่มา "มกรคายมังกร" หนึ่งเดียวในล้านนา ศิลปกรรมโบราณจาก "เวียงกุมกาม" นครโบราณใต้พิภพ . เวียงกุมกาม นครโบราณที่ถือได้ว่าเป็นต้นทางของประวัติศาสตร์ของล้านนา เดิมทีเป็นเมืองในตำนานที่ปรากฏเพียงชื่อในเอกสารประวัติศาสตร์ ในฐานะเมืองที่พญามังรายทรงสร้างขึ้นก่อนการสถาปนาเมืองเชียงใหม่ . ชื่อ "เวียงกุมกาม" ยังคงเป็นปริศนานับศตวรรษ จนกระทั่งเมื่อ ปี พ.ศ.2527 กรมศิลปากรได้ค้นพบเวียงกุมกาม และมีการขุดศึกษาทางโบราณคดีต่อเนื่องนานกว่า 3 ทศวรรษ. ผลการศึกษาทางโบราณคดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้พบว่า เวียงกุมกาม เป็นเมืองที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานชุมชนดั้งเดิมในวัฒนธรรมสมัยหริภุญชัย และมีการใช้งานพื้นที่ต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 17 - 22 จนกระทั่งสุดท้ายเมืองก็ถูกทับถมด้วยชั้นตะกอนทราย และหายไปจากความทรงจำ เก็บซ่อนความงามของศิลปกรรมเชิงช่างล้านนามากมายไว้ใต้พื้นพิภพ เรื่อยมา. หนึ่งในการค้นพบงานศิลปกรรมโบราณของเวียงกุมกามที่มีความโดดเด่น คือ ประติมากรรมปูนปั้นประดับราวบันไดของอุโบสถและวิหาร ซึ่งการศึกษาที่ผ่านมาสามารถจำแนกได้ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ประกอบด้วย 1) ลายม้วนแบบก้นหอย 2) ลายกนก ตัวเหงาหรือหางวัน และ 3) ลายมกรคายนาค ซึ่งยังคงสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นตะกอนทราย. นอกจากลวดลาย 3 กลุ่มข้างต้นที่มีความโดดเด่นแล้ว ทีมนักโบราณคดียังค้นพบ ประติมากรรมปูปั้นประดับราวบันไดที่มีความพิเศษยิ่งกว่า คือ "ลายมกรคายมังกร" ซึ่งมีความสำคัญยิ่ง ที่มีการค้นพบในดินแดนล้านนาเป็นครั้งแรก และยังคงเป็นหนึ่งเดียวของล้านนาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน. ประติมากรรมปูปั้นประดับราวบันไดรูป "มกรคายมังกร" ชิ้นนี้ พบจากการขุดแต่งอุโบสถวัดกู่ป้าด้อม ซึ่งอยู่ใต้ชั้นตะกอนทรายลึกมากกว่า 2 เมตร สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะจีน โดยประยุกต์คติความเชื่อดั้งเดิมผสมผสานกับศิลปะจากดินแดนภายนอก จนเกิดเป็นงานสร้างสรรค์ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว จึงถือเป็นอีกหนึ่งที่สุดของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของช่างล้านนาสมัยโบราณ. ในปี 2566 นี้ นับเป็นโอกาสดี ที่กรมศิลปากร ได้นำลวดลายที่สุดแห่งการสร้างสรรค์ของช่างล้านนาสมัยโบราณ มาประยุกต์ต่อยอดสร้างเป็นของที่ระลึกที่เปี่ยมไปด้วยความงามและทรงคุณค่า มอบให้แก่ผู้ที่มาร่วมงาน "แอ่วกุมกามยามแลง" ระหว่างวันที่ 1 - 2 ธันวาคม 2566 นี้ เพื่อร่วมชื่นชมและภาคภูมิใจกับงานศิลปกรรมโบราณฝีมือบรรพชนเวียงกุมกามไปด้วยกัน
หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช ขอเชิญร่วมกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน “ศิลปะการทำลูกโป่งประดิษฐ์ ให้เป็นรูปต่างๆ” วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2567 เวลา 10.00 น. ณ ห้องเด็กและเยาวชน หอสมุดแห่งนครศรีธรรมราช
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ "ฟรี" ไม่เสียค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัด สมัครได้ตั้งแต่วันที่เป็นต้นไป สอบถามเพิ่มเติมได้ทาง Facebook หอสมุดแห่งชาติ นครศรีธรรมราช หรือ โทร. 0 7532 4137
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “การพัฒนาแก้วสีโบราณเพื่อผลิตเป็นกระจกเกรียบและแก้วประดับ” วิทยากร นางสุภาภรณ์ สายประสิทธิ์ นายช่างศิลปกรรมทักษะพิเศษ สำนักช่างสิบหมู่ ผู้ดำเนินรายการ นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
เนื่องในโอกาสมงคลสมัยที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชนมายุ ๘ รอบ ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ รัฐบาลและประชนชาวไทยต่างมีความปลื้มปีติและสำนึกในพระคุณูปการที่ทรงมีต่อการพระพุทธศาสนาและประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์ รัฐบาลในนามคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงได้มอบหมายให้คณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือจดหมายเหตุและหนังสือที่ระลึกงานฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พิจารณาคัดสรรและดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือเพื่อเป็นสิ่งอนุสรณ์รำลึกถึงพระเมตตาคุณและเชิดชูพระเกียรติคุณให้ปรากฏสืบไป
คณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือจดหมายเหตุและหนังสือที่ระลึกงานฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้พิจารณาดำเนินการจัดพิมพ์หนังสือจดหมายเหตุและหนังสือที่ระลึกที่มีความสำคัญอันเนื่องด้วยการพระศาสนา ทั้งยังเป็นบันทึกสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ จำนวน ๓ รายการ โดยมอบหมายกรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการ ประกอบด้วย
๑ หนังสือจดหมายเหตุงานฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
๒ หนังสือเรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์
๓ หนังสืออัมพโรวาท : ประมวลพระธรรมเทศนา พระดำรัส พระโอวาท พระสัมโมทนียกถา พระสังเวชนียธรรม และพระปรารภของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
นอกจากนี้ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติยังได้รับมอบหมายให้รวบรวมเอกสารและบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวเนื่องในงานดังกล่าว ไว้เป็นข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาค้นคว้าอ้างอิงต่อไปในอนาคต อาทิ
๑ พิธีพุทธาภิเษกพระกริ่งและพระชัยวัฒน์ “อายุวัฒน์” และมังคลาภิเษกเหรียญพระรูป สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ในวันจันทร์ ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๒ คณะสงฆ์ธรรมยุตจัดพิธีเจริญนวัคคหายุสมธัมม์ สลับโหรหลวงบูชาเทพยดานพเคราะห์ ถวายพระกุศลฉลองพระกรุณาคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ในวันพุธ ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๖ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๓ พิธีที่เกี่ยวเนื่องในโครงการบรรพชาอุปสมบท ๙๗ รูป ถวายพระกุศลแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันศุกร์ที่ ๑๖ และวันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
๔ คณะสงฆ์อนัมนิกายแห่งประเทศไทยจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์อายุวัฒนะมงคลสูตร บูชาเทพยดานพเคราะห์ น้อมถวายพระกุศลฉลองพระกรุณาคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในมงคลสมัยฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ในวันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ ณ อุโบสถวัดสมณานัมบริหาร
๕ พิธีทำบุญตักบาตร ถวายพระกุศลงานฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ในวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
๖ งานบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ และวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “วันอนุรักษ์มรดกไทย 2 เมษายน”
วันอนุรักษ์มรดกไทย ตรงกับวันที่ 2 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงในงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ
คณะกรรมการอำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทย ได้มีมติเห็นชอบคำจำกัดความคำว่ามรดกไทย คือ "มรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ ซึ่งได้แก่ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ โบราณสถาน วรรณกรรม ศิลปหัตถกรรม นาฏศิลป์และดนตรี ตลอดจนถึงการดำเนินชีวิตและคุณค่าประเพณีต่างๆ อันเป็นผลผลิตร่วมกันของผู้คนในผืนแผ่นดินในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา"
คณะรัฐมนตรีซึ่งมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ประกาศให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น "วันอนุรักษ์มรดกไทย"
ทั้งนี้ เพื่อรณรงค์สร้างความเข้าใจ ความสำนึกรัก และหวงแหนในมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิทักษ์รักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งกิจกรรมเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นราชสักการะแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ในฐานะมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงในงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติตลอดมา
โดยแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทย เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโดยมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการฯ อธิบดีกรมศิลปากรเป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและเอกชนรวม 28 คน ได้มีการจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์มรดกไทยขึ้นทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งหลายได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมไทย เนื่องจากงบประมาณของรัฐมีไม่เพียงพอ
การจัดงานวันอนุรักษ์มรดกไทยได้ดำเนินการผ่านมาแล้วหลายปี โดยได้รับความร่วมมือจากจังหวัด หน่วยงานเอกชน หน่วยงานของรัฐบาลและประชาชนในการจัดกิจกรรมวันอนุรักษ์มรดกไทยในช่วง สัปดาห์อนุรักษ์มรดกไทย 2 - 8 เมษายน ของทุกปี บางจังหวัด บางหน่วยงานก็จัดกิจกรรมสนับสนุนตลอดทั้งปี ซึ่งนับว่าประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง
นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2535 เป็นต้นมา คณะกรรมการอำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทย ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดงานใหม่โดยให้มีทิศทางในการจัดงานแน่นอน คือการกำหนดหัวเรื่องของการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งในปีพุทธศักราช 2535 คณะกรรมการอำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทยได้กำหนดให้เป็นปีอนุรักษ์การดนตรีไทย ปีพุทธศักราช 2536 เป็นปีอนุรักษ์การช่างศิลป์ไทย
การจัดกิจกรรมที่เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม เช่น การจัดนิทรรศการ การจัดการแสดง การฉายภาพยนตร์ ทัศนศึกษาโบราณสถาน และสถานที่สำคัญทางศาสนา กิจกรรมเสริมสร้างและสนับสนุนให้เกิดทัศนคติที่จะยังประโยชน์ต่อการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมไทย ได้การรณรงค์ให้มีการพัฒนา บูรณะและทำความสะอาดโบราณสถานศาสนสถาน ตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมอื่น ๆ พิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล พิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม
กรมศิลปากรในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบงานด้านมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ ดำเนินการจัดกิจกรรมเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย เพื่อเป็นแนวทางในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อันเนื่องด้วยการอนุรักษ์มรดกไทยให้แพร่หลายกว้างขวาง และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตื่นตัวในการร่วมกันดูแลรักษาศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ การจัดนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย เป็นกิจกรรมหลักที่กรมศิลปากรและหน่วยงานในสังกัดดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
อ้างอิง : ประชิด สกุณะพัฒน์, อุดม เชยกีวงศ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2549.
ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้
นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
ชื่อเรื่อง ตำราโหราศาสตร์ (หนังสือหุรา)สพ.บ. 459/1กหมวดหมู่ ปรัชญาภาษา บาลี/ไทยอีสานหัวเรื่อง โหราศาสตร์ จักรราศีประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 50 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 30 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ไม่มีไม้ประกับ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เกวียน (ระแทะ)
ลักษณะ : เกวียน หรือ ระแทะ เป็นยานพาหนะเทียมวัว/ควาย สำหรับเดินทางไกลของของคนในอดีต ทั้งยังเป็นยานพาหนะสำหรับขนสิ่งของ ที่จะนำไปขายค้า หรือย้ายถิ่นฐาน เกวียนสองเล่มนี้เป็นของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เจ้าเมืองพระตะบอง ที่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ส่วนประกอบต่าง ๆ ของเกวียนมีการแกะสลักลวดลายให้มีความวิจิตรมากกว่าเกวียนทั่วไป เกวียนเล่มที่ ๑ เป็นเกวียนสำหรับบรรทุกสิ่งของ ส่วนเกวียนเล่มที่ ๒ เป็นเกวียนสำหรับคนนั่ง มีหลังคาทรงประทุน คลุมเพื่อกันแดดกันฝน ท้ายของประทุนทำเป็นบานหน้าต่างเปิดปิด
ขนาด : ๒. สูง ๑๗๑.๗ เซนติเมตร กว้าง ๒๓๔ เซนติเมตร ยาว ๔๔๓ เซนติเมตร
ชนิด : ไม้ แกะสลัก
อายุ/สมัย : รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๕
ประวัติ : ระแทะเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้มาจากเมืองพระตะบอง ในสมัยรัชกาลที่ ๕
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=52919
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th
ชื่อเรื่อง : คร่าวเรื่องมนุษย์คนเรา เมื่อจักมาตั้งปฏิสนธิเป็นคนผู้แต่ง : มณฑา ขันธปราบปีที่พิมพ์ : ๒๔๗๕สถานที่พิมพ์ : เชียงใหม่ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์อุปะติพงษ์จำนวนหน้า : ๒๐ หน้า เนื้อหา : หนังสือเล่มนี้ชื่อ “มนุษย์คนเรา เมื่อจักมาตั้งปฏิสนธิเป็นคน” พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์อักษร ที่โรงพิมพ์อุปติพงษ์ ถนนช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2475 นายมณฑา ขันธปราบ ผู้แต่ง อักษรล้านนา ภาษาล้านนา หนังสือ “มนุษย์คนเรา เมื่อจักมาตั้งปฏิสนธิเป็นคน” ปรากฏเนื้อหา 3 บท กล่าวถึงการตั้งครรภ์ การเลี้ยงลูกและความกตัญญู โดยเชื่อมโยงเข้ากับพุทธประวัติ หลักธรรมะของพระพุทธเจ้า ตัวอย่างข้อความ หน้าที่ 1 ดังนี้ บท 1นมัสการ สารสากราบนบ จอมเชื่องเจ้าโพธิสัตถา พระธรรมสังฆะ พ่อแม่บิดา ที่มีคุณณา เหนือหัวแห่งข้า ขอยกโทษปัน ยังกรรมบาปกล้า ปัจจุบันพิภพ ข้าเจ้าแปงก่อน ด้วยความเคารพ หื้อฝูงหนุ่ม หน้อยชายหญิง ขอทรงจำไว้ แม่นมั่นเป็นจริง มนุษย์ชายหญิง จักมาก่อตั้ง เอาปฏิสน เป็นคนยามหั้น ในปัจจุบันโลกนี้ เป็นที่ยากเข็ญ ตามธรรมกล่าวชื่อ หากรู้ทั่วเสี้ยงคนๆเลขทะเบียนหนังสือหายาก : ๑๗๔๐เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : E-book_๒๕๖๗_๐๐๒๐หมายเหตุ : โครงการจัดเก็บและอนุรักษ์หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗