ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,765 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.313/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 70 หน้า ; 5 x 56.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 128  (317-320) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม(สงฺคิณี - กถาวตฺถุ)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม




ชื่อเรื่อง : ละครพูด เรื่อง กลแตก หมายน้ำบ่อหน้าชื่อผู้แต่ง : มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบามสมเด็จพระ, 2423-2468 ปีที่พิมพ์ : 2513 สถานที่พิมพ์ : พระนครสำนักพิมพ์ : คุรุสภาพระสุเมรุจำนวนหน้า : 324 หน้าสาระสังเขป : บทละครพูดเรื่องกลแตกนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ ทรงใช้พระนามแฝงว่า “ศรีอยุธยา” เป็นละครพูด 4 องค์จบ ทรงพระราชดำริเนื้อเรื่อง ตลอดจนแบบฉากในการแสดง และทรงแสดงบทของพระเทพราชเสวีด้วยพระองค์เอง


รายการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง ผลการศึกษาแนวชายฝั่งทะเลโบราณสมัยทวารวดีในบริเวณอ่าวปัตตานี


ตอน ศาลเจ้าปุงเถ่ากง ประชากรในจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากชาวล้านนาแล้ว ยังมีเชื้อชาติอื่นเข้ามาอาศัยและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ชาวเชื้อสายจีน โดยตั้งแต่ช่วงที่มีการค้าแบบม้าต่างวัวต่าง และพัฒนามาจนถึงการค้าแบบการล่องเรือ เริ่มมีผู้ค้าขายที่มีเชื้อสายจีนล่องเรือมาอาศัยและทำการค้าบริเวณย่านวัดเกตที่เป็นท่าเรือเก่า บริเวณตลาดต้นลำไย แถวถนนช้างม่อย ทำให้เกิดความคึกคักในย่านนี้มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อมีผู้คนชาวจีนอาศัยมากขึ้น จึงทำให้เกิดการสร้างศาลเจ้าแห่งแรกของเชียงใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวจีน คือ ศาลเจ้าปุงเถ่ากงหรือปุนเถ่ากง ชื่อนี้เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว มีความหมายว่า “ชุมชนดั้งเดิม” ตั้งอยู่บริเวณติดริมน้ำปิง ซึ่งเป็นย่านการค้าทางเรือ โดยเชื่อว่ามีอายุเก่าแก่มากกว่า ๑๔๐ ปี เนื่องจากพบตัวเลข ๒๔๑๖ บริเวณไม้อกไก่ของหลังคา ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และในอดีตบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวัดเณรจิ๋ว มีเจดีย์รูปร่างคล้ายกับเจดีย์วัดเกต บรรจุอัฐิพระพุทธเจ้าไว้ ต่อมาทางการได้รื้อซากปรักหักพังของเจดีย์ออกไป ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าพระธาตุเจดีย์ที่ถูกรื้อนั้นมีความเชื่อมโยงกับวัดเกต ซึ่งเป็นชุมชนชาวจีนเหมือนกัน สถาปัตยกรรมของศาลเจ้าปุงเถ่ากง เป็นแบบศิลปะจีนโบราณ ด้านในของศาลนอกจากเทพเจ้าปุนเถ่ากง-ม่า (เจ้าปู่ เจ้าย่า) ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ได้แก่ ทีตี่แป่ป้อ (เทพยดาฟ้าดิน) กวนอิมเนี่ยเนี้ย (เจ้าแม่กวนอิม) ไช้ซิ้งเหล่าเอี้ย (เทพเจ้าโชคลาภ) ฮั้วท้อเซียนซือ (เทพเจ้าโอสถ) เฮี้ยงเทียนเซียงตี่ หรือตั้วเล่าเอี้ย (เจ้าพ่อเสือ) เล้งซิ้ง (เจ้ามังกร) โฮ้วเอี้ย (เจ้าพยัคฆ์)  ตี่จู้ (เจ้าที่) หมึงซิ้ง (เจ้ารักษาประตู) จึงมีการทำพิธีทางศาสนาเบิกเนตร (ไคกวง) และอัญเชิญเจ้าสู่ที่ประทับ (เซ่งเต่ย) เทพเจ้ากวนอู ฮกลกซิ่ว แปดเซียนสิบแปดอรหันต์ ฯลฯ  ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งตรงกับงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และวาระสมโภช ๗๐๐ ปี นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ได้มีการบูรณะศาลเจ้าโดยคณะกรรมการและสมาชิกได้พิจารณาก่อสร้างอาคารหลังใหม่เพื่อทดแทนหลังเก่า เป็นทรงอาคารรูปแบบปัจจุบัน ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๔๑เรียบเรียงโดย นางสาวอริสรา คงประเสริฐ นักจดหมายเหตุภาพ : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เชียงใหม่.อ้างอิง :๑. อรรคพล สาตุ้ม. ๒๕๖๓. ความสัมพันธ์ “ชาวจีน” กับผู้ปกครองเชียงใหม่ผ่านความเชื่อและพิธีกรรมในศาลเจ้าจีน. ศิลปวัฒนธรรม(Online). https://www.silpa-mag.com/culture/article_35144 . สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๕.๒. เชียงใหม่นิวส์. ๒๕๖๒. เสริมสิริมงคลสักการะ ๓ ศาลเจ้าจีนในเชียงใหม่. เชียงใหม่นิวส์ (Online). https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/906850/ . สืบค้นเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๕.


         วันอังคารที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงานวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๖๕ พร้อมมอบโล่นายกรัฐมนตรีแก่ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น สถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่น ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่น ผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย เยาวชนผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นที่มีความสามารถด้านการพูด การอ่าน การเขียน พุทธศักราช ๒๕๖๕ และมอบรางวัลเพชรในเพลง ประจำปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕ มอบรางวัลประกวดคำขวัญวันภาษาไทยแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ มอบรางวัลประกวดเพลงแรป “รักนะจ๊ะ ภาษาไทย” และประกวดการอ่านทำนองเสนาะ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสถานทูตประเทศต่าง ๆ นักเรียน นักศึกษา ศิลปินนักร้อง และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ


          เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๘ รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ ๑๙ กันยายนของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย เนื่องด้วยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานหลวงขึ้นที่หอคองคอเดีย (ศาลาสหทัยสมาคม) หรือที่เรียกว่า “มิวเซียม” เพื่อจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุต่างๆ ให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๑๗            สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทยมาเป็นระยะเวลานาน เพื่อเป็นเฉลิมฉลองครบรอบวันพิพิธภัณฑ์ไทย อันเป็นสถาบันการเรียนรู้ในการศึกษาด้านต่างๆ และเป็นแหล่งต้นทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ผ่านโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ สิ่งของอันล้ำค่า และเทคโนโลยี ที่สั่งสมเรื่องราว วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ตกทอดมาสู่คนยุคปัจจุบันได้รับชมกันอย่างเพลิดเพลินควบคู่ไปกับการเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด            สำหรับปีนี้ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ จะร่วมกันจัดกิจกรรมวันพิพิธภัณฑ์ไทย ๒๕๖๕ (Thai Museum Day 2022) ภายใต้หัวข้อ “The Power of Thai Museums” โดยมีรูปแบบกิจกรรมมากมายที่พร้อมบริการให้กับทุกคนในช่วงเดือนกันยายนนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ และบรรยากาศของงานวันพิพิธภัณฑ์ไทย ๒๕๖๕ ได้ทางช่องทางเพจเฟสบุ๊ก Thai Museum Day 2022           โปรดกดไลค์กดแชร์เพจ Thai Museum Day 2022 เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ตลอดระยะเวลาของกิจกรรมไว้ด้วยนะ จะได้ไม่พลาดกิจกรรมดีๆ จากชาวพิพิธภัณฑ์ไทย 


       พระพิมพ์รูปพระโพธิ์สัตว์ (นางตารา)        สมัยพุกาม พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙        กองตำรวจรักษาของโบราณประเทศพม่า ส่งมาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔        ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        ดินเผากลมรูปพระโพธิสัตว์ทรงยืนตริภังค์* แสดงวรทมุทรา (ปางประทานพร) พระเกศารวบขึ้นเป็นพระเมาลี รอบพระเศียรแสดงศิรประภา หรือรัศมี (สื่อถึงเป็นผู้มีพระธรรมเป็นแสงสว่าง) พระพรหาขวาแนบพระวรกาย ยกพระกรหันฝ่าพระหัตถ์ขวาออก พระหัตถ์ซ้ายทรงก้านดอกบัวอุตปละ (utpala) หรือ บัวสาย พระวรกายท่อนล่างแสดงการทรงพระภูษายาวจรดข้อพระบาท ด้านข้างของพระโพธิ์สัตว์มีจารึกอักษรเทวนาครี และสถูป       พระพิมพ์ชิ้นนี้เป็นหนึ่งในรายการพระพิมพ์ที่กองแผนกตรวจรักษาของโบราณประเทศพม่าส่งมาแลกเปลี่ยนกับราชบัณฑิตยสภาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ โดยส่งพระพิมพ์มาแลกเปลี่ยนทั้งหมด ๑๖ รายการ (ประกอบด้วยพระพิมพ์ที่พบจากเมือง PAGAN จำนวน ๔ รายการ และพระพิมพ์ที่พบจากเมือง HMAWZA จำนวน ๑๒ รายการ) ทั้งนี้ราชบัณฑิตยสภาได้ส่งพระพิมพ์ไปยังประเทศพม่า จำนวน ๒๗ รายการ       สำหรับพระพิมพ์ชิ้นนี้ Charles Duroiselle ระบุว่าเป็นพระพิมพ์ที่ขุดค้นพบในบริเวณเมือง HMAWZA (ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีอาณาจักรศรีเกษตร) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยตีความว่าเป็นรูปพระโพธิ์สัตว์ตาราซึ่งสอดคล้องกับแสดงการถือดอกบัวอุตปละ และจารึกที่ปรากฏคือจารึกคาถา “เยธฺมา เหตุปฺปภวา” และกำหนดอายุไว้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ จากรูปแบบของพระพิมพ์ชิ้นนี้แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียเหนือ (แบบปาละ) ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยพุกาม (ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙) เช่น การยืนตริภังค์ การแสดงพระกรสองข้างตรงข้ามกัน เป็นต้น       พระโพธิ์สัตว์ตาราเป็นพระโพธิ์สัตว์เพศหญิง เป็นเทพีองค์สำคัญในพุทธศาสนามหายาน กล่าวคือ เป็นเทพีแห่งความกรุณา และเป็นผู้ปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่มนุษย์ โดยพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นศักติของพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร ภาคปรากฏของพระนางตารานั้น มีหลายวรรณะและหลายลักษณะ (บางตำรากล่าวว่ามีทั้งหมด ๒๑ วรรณะ) แต่ที่รู้จักอย่างแพร่หลายนั้นได้แก่ ตาราวรรณขาว (สิตตารา) และตาราวรรณเขียว (ศยามตารา)       *ตริภังค์ หมายถึง ท่ายืนเอียงกายสามส่วน อันได้แก่ ส่วนที่หนึ่งเอียงจากเท้าถึงสะโพก ส่วนที่สองเอียงจากสะโพกถึงไหล่ ส่วนที่สามเอียงจากไหล่ถึงศีรษะส่วนใหญ่พบในศิลปะอินเดีย (อ้างอิงจาก กรมศิลปากร. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๐ หน้า ๒๐๐)     อ้างอิง กรมศิลปากร. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๐. เชษฐ์ ติงสัญชลี. มุทรา ท่าทาง เครื่องทรง สิ่งของรูปเคารพในศาสนาพุทธ เชน ฮินดู. นนทบุรี: มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๕. ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมามหายาน. กรุงเทพฯ: อักษรสมัย, ๒๕๔๓. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะพม่า. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๗. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (๔)ศธ ๒.๑.๑/๑๘๐. เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร. เรื่อง แลกเปลี่ยนพระพิมพ์ดินเผาระหว่างกองตำรวจรักษาของโบราณประเทศพม่ากับราชบัณฑิตยสภา (๒๒ เมษายน ๒๔๗๔-๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๕). H. Hargreaves, editor. Annual Report of the Archaeological Survey of India for the year 1927-1928. Calcutta: Government of India Central Publication Branch, 1931.


       พระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย        ศิลปะทิเบต พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐        ของหลวงพระราชทานยืม เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ ๒๔๗๐         ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร        ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย (Usnīsa vijaya) พระโพธิสัตว์เพศหญิง ส่วนพระเศียรทรงอุณหิศ (กระบังหน้า) ประดับตาบสามเหลี่ยม มีสามพระพักตร์ แต่ละพระพักตร์มีสามพระเนตร พระกรรณทรงกุณฑลเป็นห่วงกลม ทรงพระภูษาพาดคลุมพระพาหาทั้งสองข้าง และทรงเครื่องประดับ อาทิ กรองศอ สร้อยสังวาล พระโพธิ์สัตว์มีแปดพระกร สองพระกรด้านหน้าสุดแสดงธรรมจักรมุทรา ประทับขัดสมาธิเพชรบนฐานปัทม์        พระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย หรือในทิเบตเรียกนามพระโพธิสัตว์องค์นี้ว่า “นัมจัลมา” (Namgyelma) เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์เพศหญิงตามความเชื่อของพุทธศาสนา นิกายตันตระ ซึ่งพระองค์เป็นเทพแห่งความอายุยืนนาน ทรงมีพระกายสีขาว พระเศียรมีสามพระพักตร์ พระพักตร์ขวาผิวสีน้ำเงิน พระพักตร์กลางผิวสีขาว และพระพักตร์ซ้ายผิวสีเหลือง ทรงมีแปดพระกร สองพระกรด้านหน้าแสดงปางธรรมจักรมุทรา ส่วนพระกรอื่นทรงวัตถุต่างกันออกไป ได้แก่ ลูกศร คันธนู รูปพระพุทธรูป วิศววัชระ และแจกันที่บรรุจน้ำทิพย์เพื่อความเป็นอมตะ         ส่วนในประเทศไทย แม้จะนับถือพุทธศาสนาเถรวาทเป็นหลัก แต่มีบทสวดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนามหายาน และน่าจะสัมพันธ์กับพระโพธิสัตว์อุษณีษวิชัย ด้วยเช่นกันเนื่องจากมีความหมายเกี่ยวข้องกับ “การมีอายุยืนนาน” กล่าวคือ “อุณหิสวิชัยสูตร” เป็นคาถาภาษาบาลี โดยเชื่อว่าน่าจะคลี่คลายมาจาก “อุษณีษวิชยธารณี” ในภาษาสันสฤต สำหรับอุณหิสวิชัยสูตรมีเนื้อความกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงกล่าวคาถาอุณหิสวิชัยแก่สุปดิศเทพ ซึ่งเป็นเทวดาองค์หนึ่งที่กำลังจะสิ้นผลบุญและต้องไปเกิดยังนรกภูมิ ใจความของคาถานี้คือ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ด้วยอานุภาพแห่งศีลและพระธรรมอันสุจริต และการเจริญพระคาถาอุณหิสวิชัย จะทำให้มีอายุยืนยาว เมื่อสุปดิศเทพได้ฟังคาถานี้ ได้ทำตามเนื้อความพระคาถา จึงมีอายุยืนยาวถึง ๒ พุทธันดร*         ทั้งนี้อุณหิสวิชัยสูตร เป็นมนต์คาถาที่เก่าแก่บทหนึ่งในสังคมไทย ในคำนำการจัดพิมพ์ขึ้นเป็นหนังสือครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพอำมาตย์โท พระยาอรรคนิธิ์นิยม (สมุย อาภรณ์ศิริ) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า ได้ต้นฉบับมนต์เหล่านี้เป็นฝีมือเขียนขึ้นเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา มีทั้งหมด ๕ บท ได้แก่ มหาทิพมนต์ ชัยมงคล มหาชัย อุณหิสวิชัย และมหาสวํ (มหาสาวัง) การสวดมนต์เหล่านี้มีตัวอย่างคือ ในงานวันฉลองวันประสูติ เจ้านายจะตั้งเตียงในท้องพระโรง มีนักสวด ๔ คนสวดคาถามหาชัย และอุณหิสวิชัยตามทำนองโบราณ นอกจากนี้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงประทานความเห็นเกี่ยวกับอุณหิสวิชัยสูตรไว้ในลายพระหัตถ์ทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๘๒ ความตอนหนึ่งกล่าวว่า    “...ได้อ่านตรวจหนังสือมหาทิพมนต์โดยถี่ถ้วนตลอดแล้ว ในหนังสือนั้นมีมนต์ ๕ บท คือ ๑ มหาทิพมนต์ ๒ ชัยมงคล ๓ มหาชัย ๔ อุณหิสวิชัย ๕ มหาสาวัง สี่บทอันออกชื่อก่อนนั้นแต่งเป็นฉันท์ แต่บทที่สุดนั้นแต่งเป็นปาฐ มีคำแปลเป็นภาษาไทย แต่บทต้นบทเดียวแต่งเป็นกลอนสวด ใน ๕ บทนั้น เห็นอุณหิสวิชัยดีกว่าเพื่อน เป็นของผู้รู้แต่ง แต่งเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งเอาอะไรมาประกอบก็ดีด้วย...”         *คำว่า “พุทธันดร” หมายถึง ช่วงเวลาที่โลกว่างพระพุทธศาสนา คือ ช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสูญสิ้นไป และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ  (อ้างอิงจาก ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖. หน้า ๘๕๙ )   อ้างอิง กรมศิลปากร. มหาทิพมนต์ : ความสืบเนื่องของบทพระพุทธมนต์ในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๖๒. ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมามหายาน. กรุงเทพฯ: อักษรสมัย, ๒๕๔๓. เสถียร โพธินันทะ. กระแสพุทธธรรมมหายาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑. องค์การค้าของคุรุสภา. สาสน์สมเด็จเล่ม ๖ ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. พระนคร: คุรุสภา, ๒๕๐๕. Trilok Chandra & Rohit Kumar. Gods, Goddesses & Religious symbols of Hinduism, Buddhism & Tantrism. Lashkar: M.Devi, 2014.


          วันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๗.๓๐ น. นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงรายการ “เหมันต์เบิกบาน  สุขสราญสังคีต” โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ ณ สังคีตศาลา เวทีกลางแจ้ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร            โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ “เหมันต์เบิกบาน สุขสราญสังคีต” นี้ เป็นการแสดงประจำปีของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม โดยมีการจัดรายการแสดงและการบรรเลงหลากหลายรูปแบบทั้งการแสดงโขน ละคร วิพิธทัศนา การบรรเลงดนตรีไทยและการบรรเลงดนตรีสากล อาทิ การบรรเลงดนตรีสากล “ฟังดนตรีเถิดชื่นใจ เถลิงศกใหม่ต้อนรับวันเด็ก” การแสดงละคร เรื่องสาวิตรี ชุด “อมตะเสน่หา” การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “ทศกัณฐ์พรหมพงศ์ลงกา” การแสดงละครเสภา เรื่องกากี ตอนเสน่ห์เล่ห์คนธรรพ์ กำหนดจัดแสดงทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา ๑๗.๓๐ น. ถึง ๑๙.๓๐ น. ระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๖ (งดการแสดงในวันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม และวันอาทิตย์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) ค่าเข้าชมคนละ ๒๐ บาท โดยกรมศิลปากรจะนำเงินรายได้ดังกล่าวส่งเป็นเงินรายได้แผ่นดิน           ทั้งนี้ กรมศิลปากรได้จัดรายการพิเศษ “นาฏกรรมสุขศรี สุนทรีย์ปีใหม่” มอบเป็นของขวัญกับประชาชน เนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๖ โดยงดเก็บค่าเข้าชมการแสดงในวันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๕ รายการแสดงประกอบด้วย การแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ และการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “สุครีพสุริโยโอรส”            ขอเชิญชวนผู้สนใจชมการแสดงรายการ “เหมันต์เบิกบาน  สุขสราญสังคีต” โครงการดนตรีสำหรับประชาชน ปีที่ ๖๖ ตั้งแต่เวลา ๑๗.๓๐ น. ถึง ๑๙.๓๐ น. ระหว่างวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๖ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมศิลปากร finearts.go.th และเฟสบุ๊ก เพจ สำนักการสังคีต กรมศิลปากร 


#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ในสมัยก่อนมีสิ่งประดิษฐ์หนึ่งที่ให้ความบันเทิงและเป็นที่นิยมของผู้คนในช่วงคริสตวรรษที่ 19 คือ “กล้อง 3 มิติ” (Stereoscope) หรือมีอีกชื่อคือ กล้องถ้ำมอง .กล้อง 3 มิติแรกถูกคิดค้นและประดิษฐ์โดย ‘Sir Charles Wheatstone’ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี 1832 เป็นกล้องแบบกระจกสะท้อน โดยใช้กระจก 2 บาน วางทำมุม 45 องศา เพื่อให้สายตาคนดูมองเห็นภาพสะท้อนในแต่ละด้าน และได้ถูกปรับปรุงโดย ‘David Brewster’ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี 1849 ให้เป็นแบบกล้อง 2 เลนส์ที่ใช้ส่องและมองเห็นภาพ โดยเขาเรียกว่า “lenticular stereo scope” จนกลายเป็นกล้อง 3 มิติแรกที่สามารถพกพาได้ ต่อมา ‘Oliver Wendell Holmes’ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันได้พัฒนารูปแบบกล้องให้เพรียวบาง สามารถพกพาถือด้วยมือได้ง่ายขึ้น แถมราคาประหยัด จนกลายเป็นความบันเทิงชิ้นโปรดประจำบ้านและห้องเรียนในยุคนั้น.การใช้งานกล้อง 3 มิติ เราจะใช้แผ่นภาพคู่ 2 มิติ (ภาพหนึ่งสำหรับดวงตาข้างซ้าย และอีกภาพสำหรับดวงตาข้างขวา) ซึ่งเป็นภาพถ่ายจากสถานที่หรือสิ่งเดียวกัน แต่ถูกถ่ายโดยองศาที่ต่างกันเล็กน้อย เมื่อนำมาวางด้านหน้าเลนส์ มองผ่านกล้อง 3 มิติ และเลื่อนปรับระดับระยะห่างให้โฟกัสอย่างเหมาะสมแล้ว สมองจะรวมภาพคู่ 2 มิตินั้นให้เป็นภาพเดียวจนเกิดมิติความลึกเป็นภาพ 3 มิติขึ้นมา .กล้อง 3 มิติและแผ่นภาพคู่ ที่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ เป็นของยี่ห้อ Underwood & Underwood ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแผ่นภาพ 3 มิติที่ได้รับความนิยม ก่อตั้งบริษัทในปี 1882 โดยสองพี่น้องชาวอเมริกัน ชื่อ Elmer และ Bert Elias Underwood และได้เติบโตขยับขยายสาขาไปในหลายเมือง ทั้งใน อเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร กล้องยี่ห้อนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานของกล้อง 3 มิติ โดยเป็นกล้องแบบ Holmes (Holmes type stereoscope) ที่ใช้มือถือได้ แต่พวกเขาได้เน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ให้ดูทันสมัย โดยทำเป็นดีไซน์อลูมิเนียม ความโดดเด่นนี้ส่งผลให้โรงงานผลิตอื่น ๆ เริ่มทำตามแบบในไม่ช้า.ลักษณะกล้อง 3 มิติที่จัดแสดงนี้ มีลักษณะดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของยี่ห้อ Underwood & Underwood คือเป็นแบบกล้อง 2 เลนส์ที่ทำที่ครอบลูกตาห่อหุ้มด้วยอลูมิเนียม ประดับลวดลายใบไม้อย่างฝรั่ง พร้อมสลักชื่อยี่ห้อการค้า “Sun Sculpture U&U Trademark” ด้านหน้าเลนส์กล้อง ทำเป็นไม้ยื่นยาวออกไป เพื่อใช้เลื่อนขึ้น-ลงปรับระดับโฟกัสในการมอง พร้อมกับแท่นวางแผ่นภาพคู่ มีด้ามไม้จับ 1 ด้ามไว้สำหรับถือ ข้างใต้กล้องใกล้ด้ามจับมีข้อความสลักไว้ว่า “Man'f'd by Underwood & Underwood New York Patented June 11.1901 Foreign Patents Applied For” ส่วนแผ่นภาพคู่ 2 มิติ โดยส่วนใหญ่จะเป็นภาพถ่ายสถานที่และผู้คน บรรจุอยู่ในกล่องกระดาษที่สันกล่องทำคล้ายปกหนังสือ ระบุชื่อสถานที่ของภาพถ่ายและยี่ห้อไว้.โดยกล้อง 3 มิติพร้อมแผ่นภาพตัวนี้ มี 'ความสำคัญ' คือ เป็นของที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงซื้อมาจากพ่อค้าชาวยุโรป และพระราชทานแก่เจ้าดารารัศมี พระราชชายา เมื่อครั้งกราบบังคมลากลับไปเยี่ยมเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. 2451 เนื่องจากทรงเกรงว่าระหว่างทาง หากพระราชชายาอ่านหนังสือจนตาลาย เผื่อจะใช้กล้อง 3 มิติส่องดูเล่นไปได้ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ที่ https://www.facebook.com/chiangmai.../posts/2626660764234660).>> หากผู้อ่านทุกท่านสนใจ สามารถเข้ามาย้อนเวลา ร่วมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงของผู้คนในอดีต ส่องผ่านกล้อง 3 มิติได้ที่อาคารจัดแสดงชั้น 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ >> พร้อมสามารถเข้าชม นิทรรศการพิเศษ “คน (เริง) เมือง ย้อนมองเมืองเชียงใหม่ยุคโมเดิร์นไนซ์ ผ่านสถานที่ ผู้คน และวัตถุเริงรมย์” ที่จัดแสดงอยู่บริเวณใกล้กันได้เช่นกันค่ะ >> เปิดทำการทุกวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 09:00 – 16:00 น. (หมายเหตุ: ขณะนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ งดเว้นค่าเข้าชม เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงห้องจัดแสดงนิทรรศการบางส่วน ทำให้ไม่สามารถจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นสำคัญบางชิ้นได้ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ)---------------------------------------------------------------------แหล่งอ้างอิง- John Plunkett. (2008). “Selling stereoscopy, 1890–1915: Penny arcades, automatic machines and American salesmen”, Early Popular Visual Culture Vol. 6, No. 3, November 2008, p.239–242.- Kansas Historical Society. “Stereoscopic photographs and marketing of photographs”. [Online].  เข้าถึงเมื่อ 21 มิถุนายน 2565, จาก: https://www.kshs.org/kansa.../elmer-and-bert-underwood/12227- The Guardian. “Stereographic New York: animated 3D images from the 1850s to the 1930s”. [Online]. เข้าถึงเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565, จาก : https://www.theguardian.com/.../stereographic-new-york...- Museum of Teaching and Learning. “Stereoscope”. [Online]. เข้าถึงเมื่อ 23 มิถุนายน 2565, จาก: https://www.motal.org/stereoscope.html- Britannica. “Development of stereoscopic photography”. [Online]. เข้าถึงเมื่อ 23 มิถุนายน 2565, จาก: https://www.britannica.com/.../Development-of...- Cove. “Wheatstone invents mirror stereoscope”. [Online]. เข้าถึงเมื่อ 23 มิถุนายน 2565, จาก: https://editions.covecollective.org/.../wheatstone...ที่มารูปภาพ- Wheatstone Stereoscope ที่มา : https://commons.wikimedia.org/.../File:Charles_Wheatstone...- Brewster Stereoscope ที่มา : https://commons.wikimedia.org/.../File:PSM_V21_D055_The...- Holmes Stereoscope ที่มา : https://www.flickr.com/photos/zcopley/91299034


          ในโอกาสที่ “นาค” ได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์เอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์ในตำนาน กรมศิลปากร โดยสำนักช่างสิบหมู่ จัดทำภาพต้นแบบของนาค ๔ ตระกูล วิรูปักษ์ เอราปถ ฉัพพยาปุตตะ กัณหาโคตมะ พิมพ์เป็นโปสเตอร์ สี่สีสวยงาม ด้วยกระดาษอย่างดี เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พิมพ์จำนวนจำกัด ๑,๐๐๐ ภาพ ทุกภาพมีหมายเลขกำกับ และผ่านการทำพิธีเพิ่มความเป็นสิริมงคล ณ พระอุโบสถวัดนาคปรก กรุงเทพฯ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ และ“วังนาคินทร์” คำชะโนด จังหวัดอุดรธานี จำหน่ายราคาภาพละ  ๖๙๙ บาท เงินรายได้ไม่หักค่าใช้จ่ายสมทบเงินกองทุนโบราณคดี เพื่อบูรณะโบราณสถานและพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ            ผู้ที่สนใจสามารถซื้อโปสเตอร์ได้ที่กลุ่มคลังและพัสดุ (ฝ่ายพัสดุ) กรมศิลปากร (อาคารเทเวศร์) ชั้น ๓  โทรศัพท์ ๐-๒๑๒๖-๖๕๕๙ , ๐-๒๑๖๔-๒๕๐๑-๒ ต่อ ๓๐๒๓ (ในวันและเวลาราชการ)


ปทฺวาทสปริตฺต (ทฺวาทสปริตฺต-ตติยภาณวาร-ภาณปลาย) ชบ.บ 124/1ฆ เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 162/5 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


black ribbon.