ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,783 รายการ
ปทฺวาทสปริตฺต (ทฺวาทสปริตฺต-ตติยภาณวาร-ภาณปลาย) ชบ.บ 124/1ฅ
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 162/4เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
พระแท่นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
สมัยธนบุรี ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔
ได้มาจากเมืองแกลง (อำเภอแกลง) จังหวัดระยอง
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องกรุงธนบุรี-รัตนโกสินทร์ตอนต้น อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
พระแท่นไม้จำหลักลายปิดทอง ลักษณะเป็นตั่งไม้ฐานสิงห์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่มีพนัก ส่วนฐานตั่งทั้งสี่ด้านตกแต่งลักษณะคล้ายขาสิงห์ กล่าวคือ ส่วนแข้งสิงห์จำหลักลายค้างคาว (สัญลักษณ์มงคลจีนแทนคำว่า “ฮก” มีความหมายถึงอายุยืนยาว) กาบเท้าสิงห์จำหลักรูปช่อพรรณพฤกษา ขาตั่งรองรับด้วยรูปจำหลักสิงโตหมอบเชิดหน้าขึ้น (บางตัวแสดงการคาบลูกแก้วอยู่ในปาก) บริเวณกึ่งกลางท้องสิงห์ด้านหน้าตั่งจำหลักรูปมังกรคู่หันหน้าเข้าหากัน คั่นด้วยดาบมีอักษรจีนคำว่า “หวัง” (王) หมายถึงกษัตริย์ ด้านข้างจำหลักลายพรรณพฤกษารูปดอกไม้และส้มมือ* มีสัญลักษณ์มงคลแทรกรวมอยู่ด้วย อาทิ รูปหนังสือ หรือคัมภีร์สองเล่มร้อยด้วยริบบิ้น และ รูปน้ำเต้าประดับด้วยริบบิ้น ถัดขึ้นมาส่วนท้องไม้แบ่งออกเป็นสามช่อง สลักเป็นลายพรรณพฤกษารูปดอกไม้ชนิดต่าง ๆ อาทิ ดอกโบตั๋น ดอกบ๊วย และดอกเบญจมาศ (ดอกไม้ทั้งสามเป็นสัญลักษณ์มงคลในศิลปะจีนมีความหมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ความมีโชคลาภและความมีอายุยืนยาว) อีกทั้งจำหลักรูปนกแทรกอยู่ตามกิ่งไม้ ด้านข้างพระแท่นบริเวณท้องสิงห์จำหลักลายพรรณพฤกษา มีรูปดอกไม้ต่าง ๆ เช่น ดอกพุดตาน ดอกบัว ถัดขึ้นมาเป็นลายหงส์คู่ท่ามกลางลายพรรณพฤกษา
พระแท่นองค์นี้ตามประวัติกล่าวว่าได้มาจากเมืองแกลง (อำเภอแกลง) จังหวัดระยอง เมื่อคราวเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสำหรับพระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ มีประวัติว่าตั้งจัดแสดงอยู่ที่ พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ พระที่นั่งองค์กลางในหมู่พระวิมาน โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงว่าเป็นพระแท่นของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ดังความว่า
“...ตรงช่องผนังสกัดข้างหลัง ข้างเหนือ (คือ) พระแท่นพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้มาจากเมืองแกลง...”
ต่อมาในลายพระหัตถ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงพระแท่นองค์นี้ว่า
“...ถึงรัชกาลที่ ๗ สมเด็จพระสังฆราชกรมหลวงชินวรฯ เสด็จลงไปทางหัวเมืองชายทะเล ไปพบพระแท่นขุนหลวงตากอยู่ที่วัดในเมืองแกลง อันเป็นวัดถิ่นเดิมของพระสังฆราชชื่น**ตรัสสั่งให้ส่งมายังพิพิธภัณฑสถาน เป็นเตียงจีนมีรูปสิงโตจำหลักปิดทองรองขาเตียงที่ต่อกับพื้นทั้ง ๔ ขา…”
ในหนังสือ “สมุดมัคคเทศนำเที่ยวหอพระสมุดวชิรญาณและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” (พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑) ได้เพิ่มเติมคำบรรยายพระแท่นองค์นี้ว่า “...พระแท่นกระบวรจีนของพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้มาจากเมืองแกลง...”
ทั้งนี้การพบพระแท่นองค์นี้ที่เมืองแกลงนั้น มีข้อสันนิษฐานอยู่สองแนวทาง กล่าวคือ ข้อสันนิษฐานแรก พระโพธิวงษ์ (ชื่น) เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร ธนบุรี เดิมเป็นชาวเมืองแกลงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๔*** ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ถูกลดพระยศลงมาดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมธิราชมหามุนี (ว่าที่พนรัตน์)**** และภายหลังในคราวทำสังคายนาพระไตรปิฎก พศ. ๒๓๓๒ มีสมณศักดิ์เป็นพระธรรมไตรโลก สันนิษฐานว่าท่านได้นำพระแท่นองค์นี้กลับไปยังภูมิลำเนาเดิมที่เมืองแกลง
ข้อสันนิษฐานที่สอง คือ พระธรรมเจดีย์ (อยู่) เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร (พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๒๙) เดิมเป็นชาวเมืองแกลง ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “พระธรรมเจดีย์” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ เล่ากันอีกทางว่าท่านเป็นผู้ที่ย้ายพระแท่นองค์นี้พร้อมด้วยตู้พระธรรมเขียนภาพลงสีและพระพุทธรูปหวายฉาบปูน ๑ องค์ ไปไว้ที่วัดราชบัลลังก์ประดิษฐาราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ กรมศิลปากรได้ปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการ ประวัติศาสตร์ชาติไทยภายในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ได้นำพระแท่นองค์นี้จัดแสดงรวมไว้ด้วยเช่นกัน กระทั่งใน พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ย้ายพระแท่นองค์นี้มาจัดแสดงอยู่ที่ห้องกรุงธนบุรี-รัตนโกสินทร์ตอนต้น อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์
*ส้มมือ หมายถึง “ฮก” สัญลักษณ์มงคลสื่อถึงวาสนา หรือยศถาบรรดาศักดิ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน https://www.facebook.com/media/set/?set=a.429446087107623...
**สมเด็จพระสังฆราชชื่น ทรงเป็นพระสังฆราชองค์ที่ ๓ ในสมัยกรุงธนบุรี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในพระนิพน์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง ตำนานคณะสงฆ์
***เรื่องการสถาปนาพระโพธิวงศ์ (ชื่น) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชในสมัยกรุงธนบุรี อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ตอน แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี
****เรื่องการลดพระยศสมเด็จพระสังฆราชชื่น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)
อ้างอิง
กรมศิลปากร. สมุดมัคคเทศนำเที่ยวหอพระสมุดวชิรญาณและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. พระนคร: ไทยพิทยา, ๒๔๙๑.
ดำรงราชานุภาพ. สมเด็จฯ กรมพระยา. อธิบายว่าด้วยหอพระสมุดวชิรญาณ แล พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร. พระนครฯ: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๙.
ดำรงราชานุภาพ. สมเด็จฯ กรมพระยา. สาส์นสมเด็จ พุทธศักราช ๒๔๘๔. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๔, จาก: https://vajirayana.org/สาส์นสมเด็จ-พุทธศักราช-๒๔๘๔/สิงหาคม/วันที่-๒๔-สิงหาคม-พศ-๒๔๘๔-ดร
วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร. ลำดับเจ้าอาวาส. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๔, จาก: https://www.watmoli.org/index.php?url=about&code=admin&cat=A
สิรินทร์ ย้วนใยดี. “พระแท่นประทับ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช.” นิตยสารศิลปากร ๖๑, ๑ (มกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑): ๑๑๗-๑๒๗.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 16/7ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 40 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
แนะนำ E-book หนังสือหายาก เรื่อง
1.ฆ่าบุคคลสำคัญ
คทาดำ. ฆ่าบุคคลสำคัญ. พระนคร: โรงพิมพ์โอเดียนการพิมพ์, 2503.
2. อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา กับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์
โบราณราชธานินทร์, พระยา. อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา กับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2469.
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง อนุสรณ์งานฌาปนกิจศพ นางวงเดือน แสวงศักดิ์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๑
จำนวนหน้า ๑๒๕ หน้า
ประวัตินางวงเดือน แสวงศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2461 ตรงกับวันจันทร์ปีมะเมีย นางลำภู ถนนจักรพงษ์ เป็นบุตรของนายสุขและนางสนธิ์ ประชุมผล มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน ในชั้นต้นได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเนยนุกล หน้าวัดชนะสงคราม ต่อมาได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนราชชินีบน บางกระบือ ได้สมรมกับ ร.ต. ชลิต แสวงศักดิ์ ร.น. มีบุตร 2 คน
ชื่อผู้แต่ง พระยาสุนทรภาพกิจวารักษ์ ( ทองจันทรางศุ)
ชื่อเรื่อง รวมข้อเขียนของพระยาสุนทรภาพ กิจจารักษ์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงพิมพ์ชวนพิมพ์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๕
จำนวนหน้า ๙๕ หน้า
หมายเหตุ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงแม้นสุนทรเทพกิจจารักษ์
รายละเอียด
หนังสือที่ระลึกงานศพ คุณหญิงแม้น สุนทรเทพกิจจารักษ์ (แม่น จันทรรางศุ) โดยจัดพิมพ์ผลงานการนิพนธ์ของพระยาสุนทรเทพกิจจาลักษณ์ (ทอง จันทรางศุ ) 3เรื่องประกอบด้วย 1.หนังสือเรื่องรายงานนายทอง 2.หนังสือเรื่องระยะทางไปมณฑลภาคพายัพ พ.ศ.2465 และ 3.หนังสือเรื่องความเห็นจันทราภา (บางบทความ )
เลขทะเบียน : นพ.บ.434/1ขห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 16 หน้า ; 5 x 60 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 156 (131-140) ผูก 1ข (2566)หัวเรื่อง : ลำวิสุทธิยา--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.582/ข/3 ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 188 (365-371) ผูก ข3 (2566)หัวเรื่อง : ทศชาติ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
วันปากปี--- วันลำดับที่ ๔ ในเทศกาลสงกรานต์คือวันปากปี ซึ่งถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ ในวันนี้ชาวบ้านจะพากันไปดำหัววัด คือไปทำพิธีคารวะเจ้าอาวาสวัดที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน—-ชาวบ้านนิยมทำแกงบะหนุน หรือแกงขนุน กินกันในครอบครัว หรือทำปริมาณที่เยอะเพื่อแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้าน ญาติมิตร หรือถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสามเณร ซึ่งมีความเชื่อว่า คำว่า ขนุน พ้องเสียงกับ อุดหนุน หนุนหนำ หนุดส่ง หนุนหลัง กินแกงขนุนแล้วจะเกื้อหนุนให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไปตลอดทั้งปี ซึ่งในเดือนเมษายน-พฤษภาคม เป็นช่วงที่ผลผลิตหรือขนุนกำลังออกผลพอดี ---ในแง่ของพิธีกรรมพื้นบ้านนั้น ในวันนี้จะมีพิธีทั้งที่วัดและที่บริเวณใจบ้าน เรียกว่าเป็นการส่งเคราะห์บ้านหรือเป็นวันสระพระเคราะห์ มีการปูชาเข้าลดเคราะห์ ปูชาเข้ายกเคราะห์ ปูชาเคราะห์ปีใหม่ ปูชาสระพระเคราะห์ เป็นต้นที่วัดเชื่อว่าผู้ที่บูชาดังว่าในวันปากปี จะได้รับความคุ้มครองไปตลอดปี---ในตอนสายของวันนี้ชาวบ้านจะไปชุมนุมกันที่ใจบ้านซึ่งเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน เพื่อจัดทำพิธีแปลงบ้านและส่งเคราะห์บ้าน เริ่มต้นด้วยการขึ้นท้าวทั้สี่คือบูชาท้าวจตุโลกบาลเสียก่อนแล้วจึงนิมนต์พระจำนวน ๕, ๗ หรือ ๙ รูปมาเจริญพระพุทธมนต์ โดยที่เมื่อพระสงฆ์มาถึงแล้วก็ให้พระสงฆ์นั่งพักเสียก่อน แต่ชาวบ้านจะหามแห่เครื่องพิธีในการส่งเคราะห์ไปทางทิศตะวันออกของใจบ้านเป็นอันดับแรก ซึ่งอาจารย์ก็จะทำพิธีส่งในทิศนั้น แล้วจึงแห่แตะเครื่องบูชาในพิธีอันที่สองอันที่สาม ฯลฯ เวียนไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศใต้ตะวันตกเฉียงใต้ ตามลำดับจนครบทั้งแปดทิศ แล้วจึงจะนำแตะเครื่องบูชาอันที่เก้าไปกล่าวคำโอกาสเวนทานในท่ามกลางบริเวณพิธีอีกเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งนี้เมื่ออาจารย์กล่าวส่งในแต่ละทิศจบแล้วก็จะมีการจุดประทัดยิงปืนโห่ร้องเพื่อขับไล่เสนียดจัญไร เมื่อเสร็จการส่งแล้วจึงให้หามเอาแตะเครื่องบูชาไปส่งตามทิศให้พ้นจากเขตของหมู่บ้านในแต่ละทิศ ในการส่งนี้อาจารย์อาจใช้คำโอกาสส่งนพเคราะห์ทั้งเก้า ก็ได้ บางแห่งอาจใช้วิธีกล่าวคำโอกาสรวมในครั้งเดียว โดยยกร่างร้านให้สูงประมาณ ๗๐-๔๐ เซนติเมตร แล้วยกแตะเครื่องบูชาทั้งเก้าแตะวางเรียงเป็นแถวแล้วกล่าวคำโอกาส เมื่อเสร็จแล้วก็จะจุดประทัดยิงปืนโห่ร้องกัน แล้วจึงหามเครื่องบูชานั้นไปส่งตามทิศให้พ้นจากเขตของหมู่บ้าน ถัดจากนั้นจึงเริ่มพิธีไหว้พระรับศีลพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้วอาจารย์โอกาสเวนทานถวายเครื่องไทยทาน พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ประชาชนแล้วจึงเป็นอันเสร็จพิธี ตกดอนค่ำก็ให้แต่ละบ้านปูชาเทียนคือการนำเทียนซึ่งมีไส้ทำด้วยกระดาษสาที่เขียนเลขยันต์มาจุดบูชาพระพุทธรูปอีกด้วย---วันในลำดับที่ ๕ ของเทศกาลนี้คือ วันปากเดือน ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นของเดือนใหม่ ในวันนี้นิยมมีการส่งเคราะห์ต่างๆ ตามแบบที่นิยมนับถือกันมาแต่โบราณ การส่งเคราะห์ที่ว่านี้มีหลายอย่าง เช่น ส่งชน ส่งแถน ส่งเคราะห์นรา เป็นต้นส่วนการดำหัวนั้นก็จะดำเนินต่อไปจนครบตามต้องการที่มา อุดม รุ่งเรืองศรี. เรียบเรียงจาก ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย ของ มณีพยอมยงค์ และข้อมูลของ บำรุง บารมี. "ปีใหม่ (สงกรานต์)." สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 8. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, 2542: 3834-3841.
เรื่อง วันพืชมงคล
พระราชพิธีเดือนหก พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล การพระราชพิธีดังกล่าวเป็น ๒ ชื่อ แต่เป็นพิธีเดียวกัน คือในวันแรกเป็นวันพระราชพิธีพืชมงคล ทำขวัญพืชพรรณต่างๆ มีข้าวเปลือก เป็นต้น จรดพระนังคัลเป็นพิธีเวลาเช้าคือลงมือไถ ถ้าจะแบ่งเป็นคนละพิธีก็ได้ ด้วยพิธีพืชมงคลไม่ได้ทำแต่ในเวลาค่ำวันสวดมนต์ รุ่งขึ้นเช้าก็ยังมีการเลี้ยงพระต่อไปอีก การจรดพระนังคัลก็ไม่ได้ทำแต่วันซึ่งลงมือแรกนา กล่าวคือ พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีสงฆ์ ทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร พระราชพิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีพราหมณ์ ทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร พิธีทั้งสองนั้นก็นับว่าทำพร้อมกันในคืนวันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่า พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล
ฤกษ์การพระราชพิธีนี้ ต้องหาฤกษ์วิเศษกว่าฤกษ์อื่นๆ คือ
(๑) ฤกษ์นั้นอย่าให้ต้องวันผีเพลียอย่างหนึ่ง ดิถีซึ่งนับผีเพลียนั้นข้างขึ้นคือ ๑ ๕ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๕ ข้างแรม ๑ ๕ ๖ ๗ ๘ ๑๓ ๑๔ เป็นใช้ไม่ได้
(๒) ให้ได้ศุภดิถีอย่างหนึ่ง คือ ดิถีตาว่างซึ่งไม่เป็นผีเพลียนั่นเอง
(๓) ให้บุรณฤกษ์อย่างหนึ่ง คือ ๒ ๔ ๕ ๖ ๘ ๑๑ ๑๔ ๑๗ ๒๒ ๒๔ ๒๖ ๒๗
(๔) ให้ได้วันสมภเคราะห์อย่างหนึ่ง คือ วันจันทร์ วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์
การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณ สำหรับในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งเป็นผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์พระนครทั้งปวง
ที่มา: จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. พระนคร: คลังวิทยา, ๒๕๐๗.
ฐานพระพุทธรูป
เลขทะเบียน ๗๔ / ๒๕๔๑
แบบศิลปะ / สมัย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒
วัสดุ (ชนิด) สำริดลงรักปิดทอง
ขนาด ฐานกว้าง ๑๒ เซนติเมตร สูง ๑๓ เซนติเมตร
ประวัติความเป็นมา ได้จากแก่งสร้อย บริเวณแม่น้ำปิง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ความสำคัญ ลักษณะและสภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ
ฐานพระพุทธรูปสำริดลงรักปิดทอง ลักษณะฐานรูปช้างแปดตัวเทินชั้นฐานกลมมีขยัก ด้านบนทำเป็นแผ่นกลมแบนขนาดใหญ่ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป
กรมศิลปากรส่งนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบปืนใหญ่ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช พบจารึกอักษรยาวี ระบุปีที่สร้างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ ได้มอบหมายให้นักวิทยาศาสตร์ กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ร่วมกันตรวจสอบสภาพความชำรุดของปืนใหญ่ทั้ง ๙ กระบอก ที่วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รื้อย้ายจากบริเวณโดยรอบวิหารพระกัจจายนะ (วิหารพระแอด) มาเก็บรักษาไว้ภายในพิพิธภัณฑ์วัด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าปืนใหญ่ที่เก็บรักษาไว้ที่วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารนี้ บางกระบอกมีลักษณะพิเศษ เช่น มีจารึกอักษรยาวี ระบุปีที่สร้างซึ่งตรงกับสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือปืนใหญ่ของฮอลันดาที่มีตราสัญลักษณ์ VOC Rรวมทั้งยังได้ตรวจสอบสภาพความชำรุดของพระพุทธรูปโบราณ ภายในวิหารทับเกษตร และวิหารโพธิ์ลังกาเพื่อเตรียมการอนุรักษ์ตามหลักวิชาการ ซึ่งจะเป็นการปกป้องคุ้มครองโบราณวัตถุดังกล่าวให้ยั่งยืนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบไป
อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า ปืนใหญ่เหล่านี้ รวมทั้งโบราณวัตถุ และโบราณสถาน ภายในวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ล้วนเป็นหลักฐานแสดงถึงประวัติศาสตร์ และความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนครศรีธรรมราชที่มีมาแต่ครั้งอดีต
ชื่อผู้แต่ง พระยาบริรักษเวชชการ
ชื่อเรื่อง ความรู้บางเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อรุณการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ 2511
จำนวนหน้า 132 หน้า
หมายเหตุ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระยาบริรักษ์เวชชการ
รายละเอียด
หนังสือที่ระลึกงานศพพระยาบริรักษเวชชการ เนื้อหาเป็ฯเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์ เนื้อหาประกอบด้วย หลักฐานและประโยชน์ของการศึกษาโหราศาสตร์ ปัญหาเรื่องอธิกวาร การพยากรณ์โดยใช้ดวงจร เรื่องวันเดือนปีและปฏิทิน การใช้ทางจรในการพญากรณ์ แบบหาลักณา และหลักการวางอธิกมาส และอธิกวาร