ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,794 รายการ
ชื่อเรื่อง เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐานสพ.บ. 197/4ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 4.9 ซ.ม. ยาว 56.9 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทสวดมนต์บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดพยัคฆาราม ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทสนา (เทสนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)สพ.บ. 125/2ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 53 ซ.ม. หัวเรื่อง พระอภิธรรม
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดประสพสุข ต.ทับตีเหล็ก อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี
เทวดาหมายถึง ผู้ที่อยู่ต่างภพกับมนุษย์และมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ดลบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นได้ทั้งร้ายและดี ในประเทศไทยคำว่า “เทวดา” เป็นคำยืมจากภาษาบาลี ซึ่งโดยความหมายแล้วกินความตั้งแต่เทวดาหรือเทพเจ้าในศาสนาฮินดู (พราหมณ์) พุทธศาสนา รวมไปถึงเทวดาประจำถิ่นตามความเชื่อพื้นเมืองด้วย
ในดินแดนไทย คำว่าเทวดาหรือเทพยดาปรากฏในจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชความว่า “... มีพระขะพุงผี เทพยดาในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้...” ซึ่งในศิลาจารึกนี้ คำว่าเทวดาและผีจะถูกใช้ปะปนกันไป โดยเชื่อว่า คำว่า ผี น่าจะมีใช้มาก่อนคำว่า เทวดา อันเป็นคำในอารยธรรมอินเดียซึ่งแพร่เข้ามาในชั้นหลัง ต่อมาในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ หรือจารึกวัดศรีชุมปรากฏว่ามีคำว่า ผีฟ้าเพิ่มเข้ามา ดังข้อความในจารึกว่า “... เมื่อก่อนผีฟ้าเจ้าเมืองสรีโสธรปุระ ...” จะเห็นได้ว่า คำว่าผีฟ้าในที่นี้มีความหมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคติการนับถือพระเจ้าแผ่นดินในฐานะสมมติเทพมีอย่างน้อยตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว
การเกิดขึ้นของความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาในชั้นเดิมนั้น คงเริ่มจากการที่มนุษย์พิจารณาความเป็นไปของธรรมชาติแล้วเห็นว่า อาจจะมีสิ่งใดบันดาลเหตุการณ์ต่างๆ ดังนั้น เทวดาในระยะแรกจึงสะท้อนลักษณะของธรรมชาติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เทวดาในลักษณะนี้เป็นบุคลาธิษฐานของอำนาจแห่งธรรมชาตินั่นเอง เช่น พระอัคนี (ไฟ) พระวรุณ (ฝน) เป็นต้น ในระยะแรกนี้ พิธีพลีกรรมหรือบวงสรวงต่อเทวดายังไม่มีความซับซ้อน ดังเช่น อาจตั้งสำรับอาหารไว้กับพื้นดินแล้วเชิญเทวดาลงมาเสวยเพียงเท่านั้น ต่อเมื่อชาวอารยันได้เข้ามาตั้งรกรากในเขตประเทศอินเดียแถบลุ่มแม่น้ำสินธุตอนบนราว ๖๕๐ ปีก่อนคริสตกาล จึงได้พัฒนาความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาจนกลายเป็นศาสนาพราหมณ์ขึ้น ซึ่งความเชื่อนี้ได้แพร่เข้ามาในดินแดนไทยในกาลต่อมา ความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาเนื่องในศาสนาพราหมณ์นี้เองที่ทำให้พิธีพลีกรรมหรือการบวงสรวงมีขั้นตอนและหลักการที่พิสดารซับซ้อนมากขึ้น
จากเดิมที่เทวดามีลักษณะพื้นฐานเกี่ยวพันกับธรรมชาติ ต่อมาในสมัยหลังโดยเฉพาะในศาสนาพราหมณ์ เทวดาบางองค์ได้ปรากฏขึ้นในลักษณะเฉพาะตน โดยที่เทวดาแต่ละองค์จะมีหน้าที่หรือลักษณะที่สำคัญแตกต่างกันไปด้วย เช่น พระพรหมได้รับการนับถือในฐานะเทพผู้สร้าง พระสุรัสวดีได้รับการนับถือว่าเป็นเทพแห่งสรรพวิทยา เป็นต้น โดยนัยนี้ ลักษณะที่เป็นสภาวะธรรมชาติที่เคยมีอยู่ได้ค่อยๆเลือนไป และภาวะที่แสดงถึงความเป็นเทพเช่น ความศักดิ์สิทธิ์จะโดดเด่นขึ้นมาแทน อย่างไรก็ดี ลักษณะที่เทวดาหรือเทพทั้งหลายมีร่วมกันไม่ว่าจะเป็นเทวดาในฝ่ายร้ายหรือดีคือ ทรงไว้ซึ่งพลังอำนาจเหนือมนุษย์
ทั้งนี้ ในการนับถือเทวดาว่าองค์ใดมีสถานะเหนือองค์ใดหรือองค์ใดเป็นใหญ่ที่สุดนั้นจะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นหรือกลุ่มชน เช่น ในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายจะนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด ส่วนลัทธิไวษณพนิกายจะนับถือพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นต้น
ในวัฒนธรรมไทย สามารถจำแนกได้ว่า ความเชื่อเกี่ยวกับเทวดามีอยู่ด้วยกัน ๓ กลุ่มคือ
๑. เทวดาในพุทธศาสนา
๒. เทวดาในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู
๓. เทวดาประจำถิ่นหรือประจำท้องถิ่น
๑. เทวดาในพุทธศาสนา คัมภีร์และอรรถกถาในพุทธศาสนาหลายเรื่องระบุว่ามีเทวดาหรือเทพต่างๆเป็นอันมากและจัดแยกเป็นกลุ่มไว้ชัดเจนดังปรากฏใน ไตรภูมิพระร่วง อันเป็นวรรณคดีสำคัญทางพุทธศาสนาของไทย แม้ในพระไตรปิฎกก็มีเนื้อความเกี่ยวกับเทวดาอยู่หลายเรื่อง เช่น ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค สิกขาบทที่ ๑ แห่งภูตคามวรรค ทั้งนี้เทวดาในพุทธศาสนามีกำเนิดที่แตกต่างจากเทวดาในศาสนาพราหมณ์ (กล่าวคือ เทวดาในศาสนาพราหมณ์บางส่วนเกิดโดยสยมภูหรือกำเนิดขึ้นมาเอง) ทว่า การกำเนิดเป็นเทวดาในพุทธศาสนานั้นเนื่องมาจากผลแห่งกุศลกรรม คือการจะถือกำเนิดเป็นเทวดาได้จะต้องกระทำความดีประการต่างๆ เช่น ทำบุญรักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ ข้อสำคัญคือเทวดาในพุทธศาสนาย่อมอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
เทวดาในพุทธศาสนาอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ กลุ่มคือ ๑. สมมติเทพ คือ กษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดิน หรือพระราชา ซึ่งทรงมีอำนาจเปรียบประดุจเทวดา ๒. อุปปัตติเทพ คือ เทวดาผู้อยู่อีกภพหนึ่งโดยนับตั้งแต่เทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกภูมิขึ้นไปจนตลอด ๒๖ ชั้น ๓. วิสุทธิเทพ คือ พระขีณาสพซึ่งแบ่งได้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์
ในพระพุทธศาสนา ทวยเทพย่อมมาน้อมนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อสดับฟังพระธรรมเทศนา บางครั้งก็จะเข้าเฝ้าทูลถามข้อธรรมะ ในแง่นี้ วิสุทธิเทพจึงทรงไว้ซึ่งสถานะที่เด่นกว่าเทพทั้งหลาย บทบาทของเทวดาในพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์จึงแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย เช่น พระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราชเป็นผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา กระทั่งในตำนานการสร้างพระพุทธชินราชก็มีการกล่าวว่าพระอินทร์ลงมาช่วยหล่อจนสำเร็จ หรือท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นราชาของพรหมก็มีบทบาทในการผดุงพระธรรมในพุทธศาสนา เหล่านี้เป็นต้น
๒. เทวดาในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู คติจักรวาลวิทยาในคัมภีร์พระเวทได้ปรากฏความคิดหลายประการว่าด้วยการสร้างโลกและกำเนิดของเทวดา ซึ่งจุดร่วมของความเชื่อในพระเวทนี้ถือว่า มีเทพสูงสุดเพียงองค์เดียวซึ่งทรงสร้างทุกสิ่งทั้งเทพและอสูร และเทวดาต่างๆเหล่านี้เป็นอมตะ คือไม่มีวันสิ้นชีวิต ซึ่งแตกต่างจากเทวดาในพุทธศาสนาที่ยังคงอยู่ในวัฏสังสาร ทั้งนี้เทวดาในศาสนาพราหมณ์ยังมีอำนาจอันถาวรอีกด้วย
ตามพระเวทนั้น เทวดาเป็นที่มาของความมั่งคั่ง อำนาจ และคุณธรรม โดยคุณสมบัติที่สำคัญของเทวดาแต่ละองค์จะต่างกันไป และในแง่หนึ่งเทวดาในพระเวทคือ วิถีทางที่องค์เทพสูงสุดจะสำแดงองค์ให้มนุษย์ได้ประสบกับอำนาจที่เทวดาหรือเทพทั้งหลายมีอยู่ และอำนาจนั้นจะสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับอำนาจที่ปกครองสกลจักรวาล๓. เทวดาประจำถิ่นหรือประจำท้องถิ่น ในประเพณีไทยเทวดาประจำท้องถิ่นนี้มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ได้แก่ เทวดาที่คอยดูแลรักษาประจำถิ่นที่ เช่น พระภูมิเจ้าที่ เจ้าทุ่ง เจ้าป่า เจ้าเขา ซึ่งเป็นใหญ่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ บ้างก็เรียกว่า เทพารักษ์ หากเป็นกรณีเทวดาที่สถิตอยู่ตามต้นไม้เรียกว่า รุกขเทวดา นอกจากนี้ ในหลายกรณี เมื่อบรรพบุรุษของครอบครัวหรือชุมชนเสียชีวิตลงก็อาจมีการยกย่องให้เป็นผีบรรพบุรุษ ซึ่งอาจรวมได้เป็นเทวดาประจำท้องถิ่นประเภทหนึ่งด้วย
นอกจากเทวดาประจำถิ่นที่ คติความเชื่อของไทยยังมีการนับถือเทวดาประจำเมืองอีกด้วย โดยเมื่อสถาปนาบ้านเมืองขึ้นครั้งแรกก็ต้องตั้งศาลหรือหอขึ้นไว้เพื่อเป็นที่สถิตของผีบ้านผีเมือง บางครั้งเราก็เรียกขานเทวดาประเภทนี้ว่า ผีเสื้อเมืองหรือ พระเสื้อเมือง บ้างก็เรียกว่า ผีหลวง ทั้งนี้ ยังมีเทวดาอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับการนับถือด้วยว่าเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของผู้คนเป็นอย่างมาก เช่น พระแม่คงคา พระแม่โพสพ เป็นต้น
สำหรับคติในการบูชาบวงสรวงเทวดานั้นสามารถพบได้ในพิธีและประเพณีหลายอย่างของไทย นัยว่าหากเราต้องดำเนินชีวิตสัมพันธ์กับพื้นที่หรือสิ่งใด รวมถึงถ้าจะทำกิจการงานใดเป็นพิเศษ ก็จำต้องสังเวยบอกกล่าวให้เทวดาทราบ เพื่อความสุขสวัสดีหรือบันดาลการบรรลุผลสำเร็จตามแต่กรณี มิฉะนั้นหากมิได้บวงสรวงสังเวยหรือปฏิบัติผิดจารีตธรรมเนียม เทวดาอาจจะบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ร้ายต่างๆได้ การบวงสรวงสังเวยนี้ มีอาทิ การตั้งศาลหรือหอ ในกรณีของเทวดาพระภูมิเจ้าที่ การไหว้ครู ในกรณีของเทวดาแห่งศิลปวิทยาต่างๆ การบวงสรวงเมื่อจะทำการตัดโค่นไม้ใหญ่ ในกรณีของรุกขเทวดา หรือหากคนไทยสมัยก่อนจะปลูกเรือนก็ต้องบวงสรวงทำบัตรพลีไหว้พระภูมิเจ้าที่เพื่อขอที่ดินต่อผู้รักษาพื้นดินก่อน บัตรพลีดังกล่าวมีหมากพลู มะพร้าวอ่อน ขนมต้ม กล้วยน้ำว้า เป็นต้น
อย่างไรก็ดี คติในการบูชาบวงสรวงเทวดานั้นจะพบเห็นโดยมากในความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์และความเชื่อท้องถิ่น ในพุทธศาสนานั้น การบูชาเทวดามิได้มีระบุไว้ในพระบาลีแต่อย่างใด และแม้ชาวพุทธจะทำการบูชาเทวดาหรือเทพ ก็จะให้สถานะด้อยกว่าพระพุทธรูป เช่นในบ้านเรือนทั่วไป หิ้งบูชาพระจะอยู่เหนือแท่นบูชาทวยเทพต่างๆ โดยที่ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ การบูชาเทวดามีหลักการปฏิบัติกำหนดไว้อย่างชัดเจน ซึ่งพิธีจำนวนมากต้องให้พราหมณ์เป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างผู้บวงสรวงกับเทพเจ้า แม้ในสังคมไทยปัจจุบันคติการบูชาเทวดาก็มิได้เสื่อมถอยลงไปแม้แต่น้อย ดังจะเห็นได้จากศาลเทพเจ้าขนาดใหญ่ที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าไปสักการะกราบไหว้
กล่าวโดยสรุป คติความเชื่อเรื่องเทวดาหรือเทพเจ้าในสังคมไทยนี้มีมาแต่ครั้งก่อนสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย โดยในชั้นต้นความเชื่อเรื่องเทวดาน่าจะมีอยู่ในรูปของเทวดาประจำถิ่น หรือเทวดาที่เกี่ยวพันกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันของผู้คนอยู่แล้วครั้นเมื่อชาวไทยยอมรับนับถือพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ความเชื่อเรื่องเทวดาจึงได้พัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบที่ชัดเจนโดยเฉพาะในคติทางศาสนาพราหมณ์อย่างไรก็ตาม คติความเชื่อเรื่องเทวดาก็ได้ผสมผสานกันในพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ และความเชื่อท้องถิ่น โดยจะมีสัดส่วนแตกต่างกันไปตามกลุ่มชนหรือพิธีกรรมต่างๆ และยังคงเป็นความเชื่อที่ดำเนินคู่ไปกับหลักการทางศาสนามาตราบจนปัจจุบัน
บรรณานุกรม
พลูหลวง (นามแฝง). เทวโลก. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๓๐.
ส. พลายน้อย (นามแฝง). เทวนิยาย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: บำรุงสาส์น, ๒๕๓๔.
สัจจาภิรมย์, พระยา (สรวง ศรีเพ็ญ). เทวกำเนิด. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๑๖ (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางสุด สุทเธนทร์ ณ วัดบางขวาง อ. เมือง จ.นนทบุรี วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๖).
เสฐียรโกเศศ (นามแฝง). การศึกษาเรื่องประเพณีไทย. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๐๒.
เสฐียรโกเศศ (นามแฝง). เรื่องผีสางเทวดา. ม.ป.ท., ๒๕๐๒ (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางสาย ปิณฑะสุต ณ วัดหิรัญรูจีวรวิหาร (วัดน้อย) วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๒).
อุดม รุ่งเรืองศรี. เทวดาพระเวท. ม.ป.ท.,๒๕๒๓.
นายชญานิน นุ้ยสินธุ์นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มจารีตประเพณีสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ค้นคว้าเรียบเรียง
เลขทะเบียน : นพ.บ.72/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 78 หน้า ; 4.6 x 50 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 46 (35-51) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : นิปฺณปทสงฺคห (นิปุณณปทสังคหะ) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
อาคารเก่าริมฝั่งโขงเมืองนครพนม (ตอนที่ ๒) อาคารจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) ซึ่งเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครพนม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเลียบถนนชยางกูร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับคนที่เดินทางมายังจังหวัดนครพนมต้องมาเชคอิน แต่อาคารหลังนี้ก็มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับจังหวัดนครพนมที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยในปีพ.ศ.๒๔๕๕ พระวิจิตรคุณสาร (อุ้ย นาครทรรภ) นายอำเภอเมืองหนองคาย ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาพนมนครานุรักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองนครพนม จนกระทั่งปี ๒๔๕๙ ประกาศกระทรวงมหาดไทยเปลี่ยนคำว่า “เมือง” เป็น “จังหวัด” ให้เหมือนกันทั่วราชอาณาจักร เมืองนครพนมจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดนครพนม และคำว่าผู้ว่าราชการเมืองก็เปลี่ยนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) นี้ ก็สร้างในสมัยของพระยาพนมนครานุรักษ์ (อุ้ย นาครทรรภ) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมคนแรก โดยว่าจ้างช่างชาวญวนชื่อ นายกูบา เจริญ เป็นผู้ก่อสร้าง และต่อมาเมื่อท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระยาอดุลย์เดชเดชาสยามเมศวรภัคดีพิริยพาหนะ ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร จึงได้ขายอาคารหลังนี้ให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อใช้เป็นที่พักของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ ตามเอกสารหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ฉบับที่ ๕๓๑๗ ออกโดยกรมที่ดิน เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ กำหนดเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ ๔๒.๔๐ ตารางวา ระบุว่าได้ซื้อมาจากพระยาอดุลย์เดชาฯ ตามหนังสือซื้อขายลงวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท สิ่งก่อสร้างสำคัญประกอบด้วย ๑) อาคาร คอนกรีตเสริมเหล็ก ทรงจั่ว ๒ ชั้น (จวนผู้ว่าราชการจังหวัด) ๑หลัง หลัง ๒) อาคารไม้ชั้นเดียวเรือน แถว ทรงจั่ว (บ้านพักเจ้าหน้าที่) ๑ หลัง และ ๓) อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว ทรงเพิง (โรงครัว) ๑ หลัง ลักษณะของอาคารหลังนี้อาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น หลังคาทรงจั่ว มุงด้วยกระเบื้องว่าว ออกแบบโดยใช้ผนังรับน้ำหนักแทนการใช้เสา ตัวอาคารทาด้วยสีเหลือง ประตูและหน้าต่างทาด้วยสีเขียว พื้นชั้นล่างปูกระเบื้องซีเมนต์ลาย ชั้นบนปูไม้กระดานเข้าลิ้น การตกแต่งประดับพบที่การสร้างประตูโค้งครึ่งวงกลมและหน้าต่างโค้ง เหนือประตูหน้าต่างเป็นลายปูนปั้นรูปซุ้มโค้งระยะเวลาก่อสร้างอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๕๘ ประกาศกรมศิลปากร เรื่อง ขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน “จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมหลังเก่า” พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๔ ไร่ ๔๒.๔ ตารางวา ในกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒ ตอนพิเศษ ๖๙ ง หน้า ๑ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๘ /ปัจจุบันอาคารจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) แห่งนี้ ได้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) แบ่งเป็น ๕ ส่วน อยู่ในบริเวณชั้นล่าง ๓ ส่วน และชั้นบนอีก ๒ ส่วน ท่านใดที่เดินทางมาจังหวัดนครพนม สามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้นะคะ นอกจากจะสามารถถ่ายรูปกับสถาปัตยกรรมสวยๆแล้ว รับรองว่าจะได้รับสาระความรู้ดีๆกลับบ้านไปอย่างแน่นอนค่ะ ------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวเมริกา สงวนวงษ์ สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล - คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ.๒๕๔๒.วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดนครพนม.กรุงเทพฯ:คุรุสภาลาดพร้าว. - สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี.รายงานผลการตรวจสอบโบราณสถานขึ้นทะเบียน.โบราณสถานจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม(หลังเก่า) ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม.
เลขทะเบียน : นพ.บ.133/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 5 x 51.8 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 79 (315-317) ผูก 2 (2564)หัวเรื่อง : เตปทุุมกุมาร--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ได้รวบรวมบทความ เรื่อง ร่องรอยคติความเชื่อเรื่อง “วงศ์พระเจ้ามหาสมมุติ” ของกษัตริย์ลังกาและไทย และบทความเฉพาะที่เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและพระราชพิธีพระบรมศพนำมาพิมพ์
รวมไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า โดยมีการแก้ไขปรับปรุงเนื้อหา
และภาพประกอบให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ใช้ชื่อหนังสือว่า “อันเนื่องมาจากประวัติศาสตร์และโบราณราชประเพณี”
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.8/1-2
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ลักษณะเป็นแผ่นทอง จารอักษร ๔ บรรทัด กล่าวถึงการบุญของเจ้านาย(หลานลุง?)สายวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถุมแห่งสุโขทัย ขุดได้ที่ฐานพระประธานของพระอุโบสถวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย เมื่อ ๗๙ ปีก่อน (พ.ศ. ๒๔๘๔) โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงส่งคำอ่านที่แปลโดยมหาฉ่ำ พร้อมทั้งภาพถ่ายที่ฉายโดยหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ถวายสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระวินิจฉัยลงจดหมายเวร ฉบับลงวันที่ ๘ กันยายน ๒๔๘๔ ความว่า “...ที่พบจารึกแผ่นทองของพระมหาเถรจุฬามณี ณ เมืองสุโขทัย...พิจารณาดูตัวอักษรที่จารึกนั้นก็เก่าถึงสมัยพระธรรมราชาพระยาลิไทย ตรงกับศักราชที่ลงไว้ในนั้น อันร่วมสมัยพระเจ้าอู่ทองครองกรุงศรีอยุธยา...ที่ได้จารึกแผ่นทอง ทำให้ความรู้แน่นอนขึ้น จึงนับว่าดีมาก...” ลานทองแผ่นนี้จึงสามารถกำหนดอายุได้ตามศักราชที่ปรากฏในจารึก คือ ปีจุลศักราช ๗๓๘ (ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๙๑๙)
ทั้งนี้ นอกจากความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์-โบราณคดี จารึกหลักนี้ยังมีความพิเศษในแง่อักษรศาสตร์-ภาษาศาสตร์ ด้วยมีการใช้รูปอักษรไทยสุโขทัยจารภาษาไทย และรูปอักษรธรรมล้านนาจารภาษาบาลี ซึ่งจากการศึกษาในปัจจุบัน พบว่าอักษรธรรมล้านนาที่ปรากฏในจารึกหลักนี้เป็นรูปอักษรที่เก่าที่สุด ดังนั้น ลานทองพระมหาเถรจุฬามณี จึงถือว่ามีความสำคัญในฐานะหลักฐานที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสุโขทัยกับล้านนา รวมถึงเป็นหมุดหมายในการกำหนดช่วงเวลาการใช้รูปอักษรธรรมล้านนาในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐
อนึ่ง ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับจารึกหลักนี้ อยู่ในบทความของก่องแก้ว วีระประจักษ์ (ว.ศิลปากรปีที่ ๒๗, ๓) ว่าเมื่อคราวที่ได้จารึกหลักนี้มาเส้นจารอักษรน่าจะบางมากจนหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ถ่ายภาพไม่ติด จึงได้มีการเขียนเส้นหมึกดำทับลงไปบนเส้นอักษร ต่อมาจึงมีการลบรอยเส้นหมึกนั้นออกไปเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทุกท่านสามารถรับชมของจริงได้ในนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “ศิลปวิทยาการจากสาส์นสมเด็จ” ที่จะเปิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
(เผยแพร่ข้อมูลโดย นายศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ / เทคนิคภาพโดย นายอริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ / ภาพประกอบจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
---เรื่อง “ตราประทับงาช้างรูปโคอุสุภราช : ดวงตราประจำเมืองน่าน”
-----ตราประทับรูปโคอุสุภราช เป็นตราประทับรูปทรงกลม ทำจากงาช้าง กลึงเป็นทรงกระบอกกลม ส่วนด้ามจับ หรือส่วนยอดกลมมน (สันนิษฐานว่าในอดีตเป็นยอดหัวเม็ดซึ่งสามารถถอดประกอบได้) ส่วนที่เป็นเครื่องหมาย หรือบริเวณด้านหน้าของตราเป็นรูปวงกลมแกะสลักเป็นลวดลายเส้นนูนรูปโคอุสุภราชทรงเครื่องยืนบนแท่น ล้อมรอบด้วยลายช่อกนกเปลวประกอบพื้นช่องไฟ ด้านล่างแท่นตกแต่งด้วยลายเมฆ ดวงตรานี้เป็นตราที่พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๓๖ – ๒๔๖๑ ทรงใช้เป็นตราเมืองสำหรับประทับในหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงานข้อราชการแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และประทับในหนังสือราชการงานเมืองต่างๆ
-----นอกจากนี้รูปโคอุสุภราชยังปรากฏที่หน้าบันของหอคำนครน่าน โดยหน้าบันหอคำทั้ง ๓ ด้าน ประดับไม้สลักลวดลายลายรูปพญานาคสองตัว หันหน้าตรงข้ามกัน ส่วนหางเกี้ยวรัดกันขึ้นไปตรงกลาง ล้อมรอบด้วยลายช่อกนกประกอบพื้นช่องไฟ ส่วนตรงกลางระหว่างพญานาคเป็นรูปโคอุสุภราชในกรอบวงกลมซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ประจำนครน่าน หอคำเมืองน่าน สร้างขึ้นเมือปี พ.ศ. ๒๔๔๖ หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ขึ้นเป็น พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้าน่าน จึงสร้างหอคำสำหรับประดับเกียรติยศ ขึ้นแทนหอคำเดิม โดยหอคำหลังนี้ในปัจจุบันคืออาคารจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ซึ่งหน้าบันหอคำนี้สัมพันธ์กับตราประทับรูปโคอุสุภราช
-----ตราประจำจังหวัดน่าน ตราประจำจังหวัดน่านเป็นภาพโคอุสุภราชยืนแท่น มีพระธาตุเจดีย์แช่แห้งประดิษฐานอยู่บนหลัง ขอบตราเป็นลายกระหนก พระธาตุบนหลังโคอุสุภราช หมายถึง พระธาตุแช่แห้ง ซึ่งเป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตราประจำจังหวัดน่าน ความหมายของตราเมือง มีตำนานเล่าว่า สมัยพญาผากอง มีดำริจะสร้างเมืองน่านยังสถานที่ใหม่ ครั้งราตรีหนึ่งพระองค์ทรงสุบินนิมิตเห็นโคอุสุภราชวิ่งมาจากป่าทางตะวันออก ข้ามแม่น้ำน่านไปทางทิศตะวันตก แล้วถ่ายมูลไว้รอบบริเวณแห่งนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากนั้นก็อันตธานลับไป เมื่อพระองค์ตื่นบรรทมปรากฏว่า มีเหตุการณ์ตามที่ได้สุบินดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นศุภนิมิตหมายอันสำคัญ ประกอบกับพระองค์จะย้ายเมืองมายังที่ตั้งจังหวัดน่านปัจจุบันด้วย พระองค์จึงให้ก่อกำแพงเมืองทอดตามรอยมูลโคอุสุภราชที่ถ่ายไว้ และจึงใช้โคอุสุภราชเป็นตราประจำเมือง
----คำว่า อุสุภ มีความหมายถึง วัวตัวผู้ คำว่า อุสุภราช มีความหมายถึง พญาวัว หรือราชาแห่งโคทั้งปวง (เป็นเครื่องหมายแสดงความสามารถของบุรุษผู้นักรบ) ซึ่งทำให้โคอุสุภราชถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ หรือสิ่งแทนในความหมายต่างๆ ดังจะกล่าวต่อไป
-----โคอุสุภราช ปรากฏในตำราวัวความว่า มีกายสีดำทั้งตัว มีส่วนด่าง ๗ ตำแหน่ง ได้แก่ หน้า หนอก หาง และเท้าทั้ง ๔ วัวที่มีลักษณะดังกล่าวมีความเชื่อว่าเป็นยอดของวัวทั้งปวง หรือพญาของวัวทั้งปวง เป็นตระกูลใหญ่เหนือวัวในตระกูลอื่น
-----คำว่าอุสุภราชปรากฏใน ในตำนาน หรือเทวปกรณ์ต่างๆ ดังเช่น กล่าวถึงโคอุศุภราช เป็นชื่อของพญาวัวที่เป็นพาหนะของพระศิวะ หรือพระอิศวร และยังเป็นพาหนะของพระศุกร์ ในตำนานเทวกำเนิดพระศุกร์เองเกิดจากโคอุสุภราช
-----บนดวงตราสัญลักษณ์รูปโคอุสุภราชถูกนำไปใช้ด้วย กล่าวคือ ดวงตราพระยาพลเทพ (เกษตราธิการ) ซึ่งเป็นดวงตราพระโคอุศุภราช หรือตราไพศุภราช ใช้ในการพระราชทานที่ดิน หรือสิ่งก่อสร้างที่พระมหากษัตริย์พระราชทานอุทิศผลประโยชน์แก่วัด หรือศาสนา (กัลปนา) (สำหรับใช้ไปด้วยพระราชทานที่กัลปนา) และตรากรมปศุสัตว์ เป็นรูปวงกลม ล้อมรอบกึ่งกลางมีรูปโคอสุภราช (เผือกคู่) มีนามว่า พระนนทิ ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสัตว์จตุบาท และม้าฉันท์ เป็นม้าขาวคู่บารมีของพระพุทธเจ้า
-----นอกจากนี้ยังปรากฏในงานวรรณกรรม วรรณคดี เช่น พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ ๑ เป็นต้น ทั้งนี้ยังปรากฏในงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญอีกด้วย
-----โคอุสุภราชปรากฏในลายมงคล ๑๐๘ ประการบนรอยพระพุทธบาท ชื่อ อุสภราช ซึ่งเป็นพระยาในหมู่โคจำนวนร้อย โดยคุณสมบัติของโคอุสุภราชเปรียบดังโลกุตรธรรม ๙
-----โคอุสุภราชกับสระอโนดาต ในวรรณกรรมกลุ่มโลกศาสตร์มีการกล่าวถึงสระอโนดาต ถือเป็นสระศักดิ์สิทธิ์ประจำชมพูทวีป เป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำสำคัญผ่านทางมุขปากสัตว์ทั้งสี่ คือ ช้าง สิงห์ โค (อุสุภมุข) และม้า
-----โคอุสุภราชใน “อัฏฐพิธมงคล” หรือมงคล ๘ ประการ ได้แก่ ๑. อุณหิส หรือ กรอบหน้า ๒. คทา หรือ กระบอง ๓. สังข์ ๔. จักร ๕. ธงชัย ๖. อังกุศ หรือ ขอช้าง ๗. โคอุสภ ๘. กุมภ์ หรือ หม้อน้ำ สัญลักษณ์ของมงคล ๘ ประการนี้เป็นความเชื่อที่คนไทยแต่โบราณได้รับคติมาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยสิ่งที่เป็นมงคลทั้งแปดนี้ มีความสัมพันธ์เนื่องในพระเป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์
-----รูปโคอุสุภราช ที่ปรากฏบนตราประทับงาช้างที่พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน ใช้เป็นตราเมืองสำหรับประทับในหนังสือราชการงานเมืองต่างๆ นั้นสันนิษฐานว่ามาจากประวัติ หรือตำนานเมือง ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับปฐมเหตุของการสร้างบ้านแปงเมืองน่าน ซึ่งรูปโคอุสุภราชนั้นยังปรากฏที่หน้าบันหอคำที่พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ได้สร้างขึ้นเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครน่าน ทั้งนี้เมื่อมีการออกแบบดวงตราประจำจังหวัดน่านรูปโคอุสุภราชยังถูกนำไปใช้เป็น สัญลักษณ์ หรือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นจังหวัดน่านอีกด้วย
-----คำว่าอุสุภราช มีความหมายถึงพญาวัว หรือราชาแห่งโคทั้งปวง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับการเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ และเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิริมงคล หรือสัตว์มงคล จากหลักฐานทาประวัติศาสตร์โบราณคดีพบว่า วัวเป็นสัตว์ที่มนุษย์ใช้แรงงานทั้งภาคเกษตรกรรม เป็นพาหนะ เลี้ยงเพื่อการบริโภคเนื้อ และนม นอกจากนี้ยังเลี้ยงเพื่อความสวยงาม และการแข่งขันในเกมกีฬา นอกจากนี้วัวยังมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา และพิธีกรรม ซึ่งยังปรากฏในงานวรรณกรรม วรรณคดี นิทานพื้นบ้าน บทละคร การแสดง นาฏศิลป์ การเปรียบเทียบในสำนวนสุภาษิต รวมทั้งสร้างสรรค์เป็นงานศิลปกรรมอันหลากหลาย ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับวัวมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
-----เอกสารอ้างอิง
จตุพร บุญประเสริฐ. การวิเคราะห์ตำราวัว. อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๕๖.
ผาสุก อินทราวุธ, ทวารวดี : การศึกษาเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี. กรุงเทพ : โรงพิมพ์อักษรสมัย. ๒๕๔๒.
วรรณกวี โพธะ.“รอยพระพุทธบาทในศิลปะร่วมสมัยไทย : กรณีศึกษาพิชัย นิรันต์ และพัดยศ พุทธเจริญ”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปะมหาบัณฑิต สาขาทฤษฎีศิลป์ ภาควิชาทฤษฎีศิลป์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๕๖.
ศิลปากร, กรม. ตราประจำจังหวัด. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๔๒.
สุพร ประเสริฐราชกิจ. รวมประวัติสัญลักษณ์จังหวัดของประเทศและตราประจำสถาบันต่างๆ ที่น่ารู้. กรุงเทพฯ : บำรุงสาสน์. ๒๕๓๒.
อิสรกุล คงธนะ. อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ที่ปรากฏบนตราลัญจกร สมัยอยุธยาถึงสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๕๕.
เอกสารออนไลน์
สาคร พิพวนนอก. ตราประจำจังหวัด. กรุงเทพฯ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เข้าถึงได้โดย https://www.nat.go.th/.../-1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11-12-13...