ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,814 รายการ
ตามรอยเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการหัวเมืองมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน พุทธศักราช 2449 ผ่านภาพถ่ายเก่าสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ตามรอยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการหัวเมืองมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน พุทธศักราช 2449
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จออกตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ และดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยระหว่าง พ.ศ. 2435-2458 เพื่อจัดระบบการปกครองหัวเมืองให้เป็นแบบเดียวกันภายใต้กระทรวงมหาดไทยและสร้างความเข้าใจในการปกครองแก่หัวเมืองให้มีเอกภาพและบรรเทาทุกข์ของราษฎร อีกทั้งยังเป็นกลวิธีรับมือจากการรุกล้ำจากประเทศมหาอำนาจ
พุทธศักราช 2449 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตั้งพระทัยจะเสด็จไปตรวจราชการหัวเมืองมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร มณฑลอีสาน และมณฑลบูรพา แต่เมื่อคำนวณระยะเวลาการเดินทางแล้ว ทรงกังวลว่าจะไม่ทันตามกำหนดการเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงทรงงดเสด็จไปมณฑลบูรพา แล้วทรงปรับเส้นทางการเสด็จตรวจราชการหัวเมืองมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ดังนี้
เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2449 ด้วยขบวนรถไฟพิเศษ ถึงเมืองนครราชสีมา ทรงพักเตรียมการเดินทางอยู่ 2 วัน จากนั้น เสด็จออกจากเมืองนครราชสีมาไปมณฑลอุดร ผ่านเมืองชนบท เมืองขอนแก่น เมืองกุมภวาปี บ้านหมากแข้ง เมืองหนองคาย เมืองโพนพิสัย เมืองไชยบุรีและท่าอุเทน เมืองนครพนม เมืองกุสุมาลย์มณฑล เมืองสกลนคร เมืองเรณูนคร เมืองมุกดาหาร เข้ามณฑลอีสาน ผ่านเมืองยโสธร จากนั้นเสด็จผ่านเมืองเสลภูมิ เมืองร้อยเอ็ด เมืองสารคาม เมืองพยัคฆภูมิ แล้วเสด็จกลับมณฑลนครราชสีมา ผ่านเมืองไผทสงฆ์ เมืองพิมาย แล้วเสด็จไปสถานีรถไฟ โดยไม่ได้ทรงแวะพักค้างคืนที่เมืองนครราชสีมา เนื่องจากกำลังเกิดกาฬโรค เสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449
การเสด็จออกตรวจราชการครั้งนี้ ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในรายงานเสด็จตรวจราชการมณฑลนครราชสีมา มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ร.ศ. 125 (พุทธศักราช 2449) ทรงบรรยายถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ทำให้เห็นบรรยากาศของชาวบ้านที่พึ่งพาตนเอง โดยนิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรม กสิกรรม อาทิ การทำนา การเลี้ยงไหม มีตลาดค้าขายอย่างอิสระและให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อีกทั้งยังเห็นถึงสภาพบ้านเมือง ประเพณี วัฒนธรรมในแต่ละเมือง อาทิ
วันที่ 1 มกราคม “เวลาบ่าย 4 โมงเศษ ทรงเสด็จถึงหนองนาเกลือ เป็นหนองใหญ่ เพราะปิดน้ำไว้คล้ายทุ่งสร้างที่เมืองขอนแก่น ได้ขนานนามว่า “หนองประจักษ์”...” ทำให้เห็นถึงแหล่งน้ำสำคัญขนาดใหญ่ในเมืองขอนแก่น
วันที่ 18 มกราคม “เวลาบ่าย 4 โมง ราษฎรแห่ปราสาทผึ้งและบ้องไฟเป็นกระบวนใหญ่ เข้าประตูชาลาพระเจดีย์ด้านตะวันตก แห่ประทักษิณองค์พระธาตุ สามรอบ กระบวนแห่นั้น คือ ผู้ชายและเด็กเดินข้างหน้าหมู่หนึ่งแล้ว มีพิณพาทย์ ต่อไปถึงบุษบกมีเทียนขี้ผึ้งใหญ่ 4 เล่มในบุษบก แล้วมีรถ บ้องไฟ ต่อมามีปราสาทผึ้ง คือแต่งหยวกกล้วยเป็นรูปปราสาท แล้วมีดอกไม้ทำด้วยขี้ผึ้งเป็นเครื่องประดับ มีพิณพาทย์ ฆ้อง กลองแวดล้อม แห่มา และมีชายหญิงเดินตามเป็นตอน ๆ กันหลายหมู่ และมีกระจาดประดับประดาอย่างกระจาดผ้าป่า ห้อยด้ายไส้เทียนและไหมเข็ด...” แสดงให้เห็นถึงประเพณีและวัฒนธรรมในการแห่ปราสาทผึ้งและบ้องไฟ อันเป็นประเพณีที่สืบทอดมาถึงปัจจุบันของชาวอีสาน
ดังนั้น รายงานเสด็จตรวจราชการของพระองค์ในครั้งนี้ ทรงบันทึกรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงสภาพพื้นที่ ความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของราษฎร ประเพณี วัฒนธรรม ที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการจัดระบบการปกครอง การพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบคมนาคมและการชลประทานที่ช่วยยังชีพราษฎร ตลอดจนเห็นถึงความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และการให้ความสำคัญต่อราชการในพระองค์ ด้วยการจัดการต้อนรับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และคณะอย่างสมพระเกียรติ
หมายเหตุ : การสะกดคำยึดตามอักขรวิธีปัจจุบัน ยกเว้นชื่อเรื่องรายการ คำศัพท์เฉพาะ หรือการคัดลอกข้อความจะคงสะกดตามที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุรายการนั้น ๆ
ผู้เรียบเรียง : นางสาวอาทิพรรษ์ ผาจันดา นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ
-------------------------------------
อ้างอิง
กรมศิลปากร. เอกสารตรวจราชการเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ร.ศ.119-131 (พ.ศ. 2443-2455). กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2564.
สถาบันดำรงราชานุภาพ. การเสด็จตรวจราชการหัวเมืองของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. กรุงเทพฯ : สถาบันดำรงราชานุภาพ, 2555.
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5 กระทรวงมหาดไทย ร.5 ม.2.14/17 เรื่อง กรมหลวงดำรงราชานุภาพไปตรวจราชการมณฑลนครราชสีมา และมณฑลอุดรอิสาน (21 มกราคม ร.ศ.121 – 7 กุมภาพันธ์ ร.ศ.125)
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 27/5 ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 34 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.4 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ประติมากรรมนาค ๗ เศียร
สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔
เดิมอยู่ที่วัดราชโอรสาราม เขตจอมทอง กรุงเทพฯ
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ทางเข้าหน้าอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ประติมากรรมนาค ๗ เศียร สลักจากศิลาแบ่งออกเป็นสองส่วนตั้งซ้อนกัน ท่อนบนสลักรูปนาค ๗ เศียร มองตรงมาข้างหน้า จมูกนาคยื่นออกมาเป็นสามเหลี่ยม เศียรนาคตรงกลางแสดงเคราใต้คาง พังพานนาครูปทรงคล้ายใบโพธิ์ ขอบพังพานสลักลายกระหนกซ้อนกันสองชั้น คอนาคด้านหน้าสลักรูปดอกไม้แปดกลีบประดับอยู่กึ่งกลาง ส่วนล่างสลักรูปดอกบัวบาน หินท่อนล่างสลักหินเป็นลำตัวนาคที่มีเกล็ดรูปทรงโค้งมน บริเวณส่วนต้นของลำตัวที่ติดกับพังพานสลักลายเกลียวกระหนก* ประติมากรรมนาค ๗ เศียร นี้มีสองชิ้นตั้งคู่กัน
ในหนังสือ “อธิบายว่าด้วยหอพระสมุดวชิรญาณ แล พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร” (พ.ศ. ๒๔๗๐) ระบุว่าเดิมประติมากรรมศิลานาค ๗ เศียร คู่นี้ ตั้งอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ดังข้อความว่า “...ที่เฉลียงหน้ามีศีร์ษะนาคราชคู่ ๑ ฝีมือช่างครั้งสมัยสุโขทัย ได้มาจากวัดราชโอรส สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงได้มาจากเมืองสุโขทัย แต่เมื่อยังทรงผนวชแล้วถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว...” แต่อย่างไรก็ดีจากวิธีการสลักและบากลายกระหนกรวมถึงวัสดุที่ใช้แกะสลักมีรูปแบบที่ต่างไปจากฝีมือช่างสมัยสุโขทัย จึงน่าจะสลักขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั่นเอง
ประติมากรรมนาคนิยมใช้ประดับศาสนสถาน โดยมีคติที่เกี่ยวข้องกับการเป็น “ทวารบาล” หรือผู้ปกปักรักษาศาสนสถาน หลายพื้นที่ในประเทศไทยมีตำนานว่านาคเป็นเจ้าของผู้ครอบครองดินแดนนั้นมาแต่เดิมก่อนการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ดังตัวอย่างในนิทานอุรังคธาตุ เนื้อหากล่าวถึงพระพุทธเจ้าประทับอยู่ภูกูเวียน ระหว่างนั้นมีบรรดานาคเข้ามาจะทำร้ายพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าจึงแสดงปาฏิหาริย์ปราบนาค พร้อมทั้งแสดงธรรมจนนาคยอมอยู่ภายใต้พุทธศาสนา จากนั้นพระพุทธองค์ทรงประทับรอยพระพุทธบาทให้แก่เหล่านาคไว้สักการะบูชาแทนพระองค์ เช่น ประดิษฐานไว้บนแผ่นหินภูกูเวียนใกล้ปากถ้ำที่สุวรรณนาคอาศัยอยู่ และที่หนองบัวบานสำหรับพุทโธธปาปนาค เป็นต้น จากนั้นพระองค์ได้กำชับเหล่านาคไม่ให้ไปทำร้ายผู้ใดและตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์**
นอกจากนี้พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทยังมีความเชื่อว่านาคเป็นบริวารของท้าววิรูฬปักษ์ โลกบาลผู้รักษาทิศตะวันตก ดังปรากฏคตินี้ใน สมบัติอมรินทร์คำกลอน ของเจ้าพระยาคลัง (หน) ความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“นั่นองค์วิรุฬปักษ์เทเวศ อยู่ประเทศปราจิมทิศา
เป็นปิ่นมงกุฎแห่งนาคา ทรงศักดาฤทธิราญรอน”
และในวรรณกรรมทางพุทธศาสนา เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ฉบับที่แต่งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ยังระบุด้วยว่า นาคเป็นสัตว์ที่อยู่รักษาด่านแรกของทางขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น
*ลายเกลียวกระหนก หมายถึง ลายที่ผูกลายกระหนกเรียงกันคล้ายเชือกฟั่นเป็นเกลียว
**ไตรสรณคมน์ หมายถึง การยึดถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกโดยการน้อมนำเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาเป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติ
อ้างอิง
ราชบัณฑิตยสภา. อธิบายว่าด้วยหอพระสมุดวชิรญาณ แลพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๐.
ศานติ ภักดีคำ. นาค. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๕๖.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. นาคมาจากไหน ?. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: นาตาแฮก, ๒๕๖๕.
สมชาย ณ นครพนม และคณะ. ทวารบาล ผู้รักษาศาสนสถาน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๖. (หนังสือประกอบนิทรรศการพิเศษเนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช ๒๕๔๖).
สำนักงานราชบัณฑิตสภา. พจนานุกรมศัพท์ลายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๖๑.
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 36/3ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 131/3เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 167/2เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
#องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่านเรื่อง "พระสุพรรณบัฏ" สถาปนาเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เป็นพระเจ้าน่านการผลิตสื่อเพื่อสื่อความหมายทางวัฒนธรรมจัดทำโดย นายกชกร เรืองทับนิสิตฝึกสหกิจ คณะสังคมศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 20/5ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 5.2 ซม. ยาว 56.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
องค์ความรู้ เรื่อง “ตาเถรกินแกงหอยจุ๊บแจง” นิทานชวนหัวที่ซ้อนอยู่ในบทละครเรื่องไกรทอง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๒ โดย นายพิรชัช สถิตยุทธการ นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
#องค์ความรู้ #สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ #กลุ่มภาษาและวรรณกรรม #กรมศิลปากร #วรรณคดี #วรรณกรรม #ไกรทอง #กลอน #บทละคร #ละครนอก #พระราชนิพนธ์ #รัชกาลที่๒ #พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ชื่อเรื่อง : วรรณคดีไทย เรื่อง พระอภัยมณี ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2505 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : ศึกษาภัรฑ์พาณิชย์ จำนวนหน้า : 1,328 หน้า สาระสังเขป : เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ เริ่มต้นด้วยประวัติสุนทรภู่ ตั้งแต่ก่อนรับราชการ ตอนรับราชการ ตอนออกบวช ตอนตกยาก ตอนสิ้นเคราะห์ ว่าด้วยหนังสือที่สุนทรภู่แต่ง ว่าด้วยเกียรติคุณของสุนทรภู่ บันทึกเรื่องผู้แต่ง นิราศพระแท่นดงรัง อธิบายว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ทั้งหมด 64 ตอน มีนิทานเรื่องพระอภัยมณีต่อจากคำกลอน
ชื่อผู้แต่ง วิเชียร วงศ์วิเศษ
ชื่อเรื่อง ไทยพวน
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ -
สำนักพิมพ์ -
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๕
จำนวนหน้า ๑๖๔ หน้า
หนังสือเล่มนี้ รวบรวมประวัติบรรพบุรุษและความเป็นมาของคนไทยเชื้อชาติพวน หรือเรียกอย่างง่ายว่า “ไทยพวน” คุณอาวิเชียรฯ ได้วิริยะอุตสาหะรวบรวมขึ้น ว่ากันว่าก่อนนี้ก็มีกลุ่มชนอาศัยอยู่ในประเทศของเรานี้ พยานเรื่องนี้ คือ จากวัตถุโบราณที่เราขุดพบที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดอุดรธานี และที่อื่น ๆ แสดงว่ามีชนกลุ่มหนึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ครั้นต่อมาเมื่อชนชาติไทยที่อาศัยอยู่ตอนใต้ของประเทศจีนได้อพยพลงมาและแยกเป็น 2 สาย คือ สายไทยน้อยลงมาตามลุ่มแม่น้ำโขง อีกสายหนึ่งเรียกว่าไทยใหญ่ ลงมาตามลุ่มแม่น้ำสาละวิน ถ้อยคำสำนวนไทยพวกนี้เป็นของผู้ไทยไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะคำผู้ไทยจะมีสัญลักษณ์ต่างกับภาษาไทยเผ่าอื่น ๆ คือในภาษาผู้ไทย สระอัวเปลี่ยนเป็นสระเออ เช่น เสือ เสื้อ เกลือ มะเขือ เป็น เสอ เซ้อ เก๋อ มะเขอ เป็นต้น
เลขทะเบียน : นพ.บ.452/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 58 หน้า ; 4 x 50 ซ.ม. : ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 159 (163-173) ผูก 1 (2566)หัวเรื่อง : ลำชมพูบัตติ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
การเสวนาทางวิชาการ เรื่อง วัฒนธรรมเสมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 3 เมษายน 2566
วิทยากร 1.นายนภสินธุ์ บุญล้อม
นักโบราณคดีชำนาญการ
หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท สศก.ที่ 8 ขอนแก่น
2.นายสมเดช ลีลามโนธรรม
นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ
ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สศก.ที่ 9 อุบลราชธานี
3.นายกิตติพงษ์ สนเล็ก
นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ
ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สศก.ที่ ๑๐ นครราชสีมา
ผู้ดำเนินรายการ นายวรรณพงษ์ ปาละกวงษ์
นักโบราณคดีปฏิบัติการ สศก.ที่ ๑๐ นครราชสีมา
ผู้สนใจสามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=e_UZEcAbu60
ภัยเงียบของศิลปวัตถุ บานไม้ประดับมุกศิลปะญี่ปุ่นในประเทศไทย พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
ภาพเขียนกระเบื้องดินเผาที่แสดงถึงอารยธรรมและวัฒนธรรมการค้าขายของทั้งสองชาติ การเชื่อมโยงสายสัมพันธ์กันเป็นเวลากว่า 600 ปีระหว่างไทยและญี่ปุ่น ภาพกระเบื้องชุดนี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของแต่ละชาติในการทำเครื่องปั้นดินเผาในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ การกรองดิน การนวดดิน การขึ้นรูปภาชนะ การเขียนลาย การเคลือบ การบรรจุภาชนะเข้าเตา และการเผา ในรูปแบบการผลิตเครื่องปั้นดินเผาของทั้งสองชาติ ลวดลายกระเบื้องที่ออกแบบได้รับการวาดอย่างประณีตบรรจงด้วยสี ครามหลากหลายเฉดลงบนแผ่นกระเบื้องพอร์ชเลนสีขาว และเคลือบใสเผาที่อุณหภูมิ 1,200 องศาเซลเซียส กระเบื้องทั้ง 48 แผ่น แต่ละแผ่นมีขนาด 28 x 28 เซนติเมตร และมีความหนา 12 มิลลิเมตร ที่มา: https://datasipmu.finearts.go.th/academic/82