ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 40,814 รายการ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ขอเผยแพร่ องค์ความรู้ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ เรื่อง "ตามรอยรัชกาลที่ ๙ เสด็จฯ เมืองศรีสัชนาลัย”     ตลอดช่วงระยะเวลาแห่งการครองราชย์ ๖๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร  มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระวิริยอุตสาหะ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในทุกพื้นที่ที่ทุรกันดารและทุกพื้นที่ที่ห่างไกล  ในอดีตเมืองศรีสัชนาลัยถือว่าเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลและเดินทางยากลำบาก แต่ความยากลำบากเหล่านี้มิได้เป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรของพระองค์ ทั้งนี้จึงได้รวบรวมพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงเสด็จฯ เมืองศรีสัชนาลัย ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๕ เพื่อน้อมรำลึกและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการในการอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบทอด และพัฒนามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของแผ่นดิน เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร      เสด็จพระราชดำเนินครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๑     วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จประพาสภาคเหนือทรงเยี่ยมประชาชนจังหวัดต่างๆ รวมทั้งจังหวัดสุโขทัย เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังเมืองศรีสัชนาลัยในเวลาบ่ายและได้เสด็จพระราชดำเนินโดยพระบาท เสด็จเข้าทอดพระเนตรวัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เชลียง      เสด็จพระราชดำเนินครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๐๙      วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๙พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง ถึงเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. หลังประกอบพระราชพิธีแล้ว ได้เสด็จไปยังบ้านรับรองหน่วยศิลปากรที่ ๓ เมืองศรีสัชนาลัย ทอดพระเนตรรูปจำลองเมืองศรีสัชนาลัย และเสวยพระกระยาหารกลางวัน แล้วจึงได้เสด็จทอดพระเนตรโบราณสถาน วัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว วัดสวนแก้วอุทยานใหญ่ วัดนางพญา หลักเมือง พระราชวัง และวัดสวนแก้วอุทยานน้อย โดยมีนายมะลิ โคกสันเทียะ หัวหน้าหน่วยศิลปากรที่ ๓ กราบบังคมทูลถวายคำบรรยายสรุปการปรับปรุงขุดแต่งและบูรณะที่เมืองศรีสัชนาลัย  ซึ่งในครั้งนั้นได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรว่า     “โบราณสถานเมืองศรีสัชนาลัยนี้ เมื่อได้บูรณะเสร็จแล้วให้จัดการดูแลรักษาไว้ให้เป็นอย่างดี อย่าให้กลับชำรุดทรุดโทรมลงอีก โดยเฉพาะบริเวณพระราชวังที่ได้ขุดพบรากฐานนั้น ควรจะได้ขุดดูให้ทั่วถึง เพราะอาจพบจารึกหรือหลักฐานอันจะเป็นประโยชน์แก่ประวัติศาสตร์”      กระแสพระดำรัสนี้ได้เป็นการพระราชทานแนวทางการบริหารจัดการโบราณสถานและแนวทางการศึกษาทางวิชาการโบราณคดี ซึ่งกรมศิลปากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น้อมนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานจวบจนประทั่งปัจจุบัน      เสด็จพระราชดำเนินครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๑๕     วันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมด้วย  พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๑๐) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ทอดพระเนตรเมืองโบราณศรีสัชนาลัย  ได้เสด็จทอดพระเนตรเขาพนมเพลิง เขาสุวรรณคีรี วัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถว (ทอดพระเนตรภาพเขียนในสถูป) วัดนางพญา (ทอดพระเนตรวิหารและลวดลายปูนปั้น) วัดสวนแก้วอุทยานน้อย และวัดเจดีย์เจ็ดยอด  (วัดเจดีย์เก้ายอด) เอกสารอ้างอิงกรมศิลปากร. จดหมายเหตุการอนุรักษ์เมืองโบราณศรีสัชนาลัย. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร, ๒๕๓๓.สมาคมนักโบราณคดี. ๑๑๑ ปี โบราณคดีสโมสร. กรุงเทพฯ: สมาคมนักโบราณคดี, ๒๕๖๑.สำนักงานจังหวัดสุโขทัย. สุโขทัยใต้ร่มพระบารมี. (ม.ป.ท., ๒๕๔๕.).



            รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดงานมหรสพสมโภช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ณ ท้องสนามหลวง มีกิจกรรมประกอบด้วย พิธีบวงสรวงเทพยดา วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ณ ท้องสนามหลวง พิธีเปิดงานวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ มีการเดินริ้วขบวนเฉลิมพระเกียรติฯ ประกอบด้วย ริ้วขบวนต่าง ๆ ๒๖ ขบวน เส้นทางริ้วขบวนเริ่มจากสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลางไปยังท้องสนามหลวง และแสดงอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เฉลิมพระเกียรติ ชุด “รวมใจภักดิ์ ถวายพระพร”              ตลอดช่วง ๕ วันของการจัดงานมหรสพสมโภช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกิจกรรม ได้แก่ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ทศมินทรราชา ๗๒ พรรษา มหาวชิราลงกรณ” เผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ การจัดแสดงสวนแสงเฉลิมพระเกียรติ “มหาทศมินทรราชา” การแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแสดงดนตรีเฉลิมพระเกียรติ เช่น การแสดงมหาดุริยางค์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การแสดงโนราศิลปินแดนทักษิณเฉลิมพระเกียรติ  การแสดงโขน "สมเด็จพระรามาครองเมือง" การแสดงพื้นบ้าน "เรืองรองสุขเกษมทั่วถิ่นไทย" การแสดง "มหานาฏกรรมรามายณะนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ" การแสดงดนตรี "มหาดุริยางค์ ๔ เหล่า" การแสดงดนตรี "สดับคีตศิลป์ทศชาติชาดก" การแสดงละครเพลง "เทิดไท้ทศมินทรราชา" การแสดงดนตรี" แผ่นดินธรรมแผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมี" โดย ๕ สถาบันการศึกษา ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและมหาวิทยาลัยรังสิต การแสดงนาฏศิลป์โขนสดใต้ร่มพระบารมี เป็นต้น


ชื่อเรื่อง :  The Working Monarchผู้แต่ง : Foreign News Divisionปีที่พิมพ์ : ๑๙๒๙สถานที่พิมพ์ :  Bangkok  สำนักพิมพ์ : The government public relations Departmentจำนวนหน้า : ๓๖ หน้าเนื้อหา : หนังสือ The Working Monarch เป็นหนังสือรวบรวมเกี่ยวกับพระบรมฉายาลักษณ์และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ และพระบรมวงศานุวงศ์  ประกอบไปด้วยเนื้อหาดังนี้ บทนำ / พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและพระบรมวงศานุวงศ์ / โครงการในพระราชดำริ เช่น โครงการหลวง / พระบรมฉายาลักษณ์และพระราชกรณียกิจต่างๆ ในประเทศไทยเลขทะเบียนหนังสือหายาก : ๔๓๒เลขทะเบียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : E-book_๒๕๖๗_๐๐๐๔หมายเหตุ : โครงการจัดเก็บและอนุรักษ์หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗


นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายนเรียบเรียง : นางสาวอัญชลี จินดามณี บรรณารักษ์ปฏิบัติการ ข้อมูล : กรมศิลปากร ภาพประกอบ : ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์, สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี







เมื่อเดือนสิงหาคม ๑๔๗ ปีมาแล้ว ประเทศไทยได้เป็นจุดสนใจของนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกาศล่วงหน้ามา ๒ ปีแล้วว่า จะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๔๑๑ โดยเส้นศูนย์ของสุริยุปราคาจะอยู่ระหว่างแลตติจูด ๑๑ องศา ๓๘ ลิปดาเหนือ กับลองติจูด ๙๙ องศา ๓๙ ลิปดาตะวันออก บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงนานที่สุด จะอยู่ที่หว้ากอ ประจวบคีรีขันธ์ จากเกาะจานขึ้นมาถึงปราณบุรี และลงไปถึงชุมพร ทั้งยังทรงระบุเวลาที่เงาของดวงจันทร์เริ่มเข้าบดบังดวงอาทิตย์ เวลาที่จับเต็มดวง จนเวลาที่คลายออกทั้งหมด ทรงเชิญนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติและทูตานุทูตมาร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการท้าพิสูจน์ หากไม่เป็นไปตามที่ทรงคำนวณ ก็จะเป็นการเสียพระเกียรติอย่างยิ่ง นับว่าทรงมีความเชื่อมั่นและกล้าหาญอย่างมาก                   แต่เดิม ชาวตะวันออกมักเชื่อกันว่า สุริยุปราคาเกิดจากยักษ์กำลังอมพระอาทิตย์และจะกลืนลงไป จึงพยายามทำเสียงดัง เช่นตีกลองหรือจุดประทัดเพื่อให้ยักษ์ตกใจหนีไป การคำนวณล่วงหน้าว่าจะเกิดสุริยปราคาของพระมหากษัตริย์ไทยเช่นนี้ จึงแสดงให้เห็นว่าสยามได้พลิกโฉมหน้าไปจากอดีต และก้าวเข้าสู่โลกวิทยาศาสตร์ได้อย่างล้ำหน้า ที่สำคัญ การต้อนรับแขกเมืองที่ค่ายหลวงหว้ากอครั้งนี้ ยังทำให้แขกเมืองประหลาดใจไปตามกัน ที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของราชสำนักสยาม                 ชาวต่างชาติที่ตอบรับเชิญในครั้งนี้ มีแต่ชาติที่สนใจย่านตะวันออกในยุคนั้น นายเฮนรี อาลาบาสเตอร์ รักษาการณ์กงสุลอังกฤษประจำสยาม นำเรือรบ ๓ ลำไปถึงในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ร.๔. ทรงยิงสลุตต้อนรับด้วยพระองค์เอง ๗ นัด ทำให้นายอาลาบาสเตอร์ปลื้มเป็นล้นพ้น บันทึกไว้ว่า                 “พระมหากรุณาธิคุณและความโอบอ้อมอารีที่คณะของเราได้รับพระราชทานครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนเลย และคงจะไม่มีวันได้พบเห็นอีกแล้ว”                 นอกจากนี้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ อัครมหาเสนาบดี ยังเชิญให้นายอาลาบาสเตอร์และครอบครัว เข้าพักร่วมกับครอบครัวของท่าน                 คงด้วยเหตุเหล่านี้กระมัง เมื่อนายอาลาบาสเตอร์พ้นจากราชการสถานทูตอังกฤษแล้ว จึงเข้ารับราชการไทย ยึดประเทศไทยเป็นเรือนตาย จนเป็นต้นตระกูล “เศวตศิลา”                 นอกจากกงสุลแล้ว เซอร์แฮรี ออด ผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ของอังกฤษ ยังพาครอบครัวมาทางเรือ ถือโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ทำความคุ้นเคยกับพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการสยาม                 ส่วนฝรั่งเศส นักดาราศาสตร์ให้ความสนใจที่จะได้เห็นสุริยุปราคานานที่สุดในรอบ ๓๐๐ ปี แต่จะตั้งค่ายในเวียดนาม ต่อมาย้ายไปมะละกา เสียค่าเตรียมงานไปมาก ในที่สุดก็เห็นว่าไม่มีที่ใดเหมาะสม จึงกราบทูลขอเข้ามาร่วมด้วย ทรงสร้างค่ายให้ฝรั่งเศสใต้ค่ายหลวงลงไป ๑๘ เส้น นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสมากันเป็นขบวนใหญ่ มีกล้องมาถึง ๕๐ กล้อง นอกจากนี้ยังขนอิฐขนปูนมาสร้างที่ตั้งกล้อง ซึ่งสิ่งก่อสร้างของฝรั่งเศสนี้มีค่าอย่างมากในการหาสถานที่สร้างอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้าในปัจจุบัน เพราะค่ายหลวงที่สร้างด้วยไม้ไผ่มุงด้วยใบจากใบตาล ไม่เหลือซากทิ้งหลักฐานไว้เลย                 นอกจากนี้ยังมีคณะธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส จากสวนพฤกษศาสตร์เมืองไซ่ง่อน เดินทางบกมาสมทบ เพื่อสังเกตว่าขณะมีสุริยุปราคาเต็มดวง พืชและสัตว์จะแสดงอาการหรือมีพฤติกรรมผิดไปจากปกติอย่างไร แล้วถือโอกาสเก็บพันธุ์ไม้แปลกๆไปเป็นร้อยๆชนิด                 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอ ๔ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิง ๓ พระองค์ ซึ่งมีพระชันษาราว ๑๖ พรรษาทุกพระองค์ และเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (ร.๕) พระชนมายุ ๑๕ พรรษา เสด็จโดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชไปทอดสมอที่หน้าหาดหว้ากอในเที่ยงวันที่ ๘ สิงหาคม โปรดฯให้คณะสำรวจฝรั่งเศส ๒๐ คน คณะนายอาลาบาสเตอร์ และคณะเซอร์แฮรี ออดพร้อมครอบครัว เข้าเฝ้าที่พลับพลา พระราชทานทองคำบางสะพานให้ทุกคนเป็นที่ระลึก                 การต้อนรับครั้งนี้ บรรดาแขกเมืองทั้งหลาย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้พบกับความอุดมสมบูรณ์โก้หรูเช่นนี้กลางป่าของราชอาณาจักรสยาม ใช้พ่อครัวเป็นชาวฝรั่งเศส และหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟเป็นอิตาเลียน มีทั้งวิสกี้และน้ำองุ่น พร้อมน้ำแข็งซึ่งสมัยนั้นยังต้องสั่งมาจากสิงคโปร์ อีกทั้งธรรมเนียมต้อนรับก็พลิกโฉมหน้าราชสำนักสยามไปมาก ฝ่ายจดหมายเหตุของสิงคโปร์บันทึกไว้ว่า                 “...ราชสำนักได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างหมดจด เช่นการรับแขกเมืองครั้งนี้ แต่ก่อนมิได้เคยปรากฏ เป็นต้นว่าเปิดพระราชมณเฑียรที่ประทับส่วนพระองค์พระราชทานโอกาสให้แขกเมืองเข้าไปได้ และโปรดให้ฝ่ายในออกมารับแขกเมืองโดยเปิดเผย ส่วนเจ้านายที่ทรงพระเยาว์ก็ทรงยอมให้สมาคมกับชาวอังกฤษได้อย่างฉันท์มิตรสนิทสนม ซึ่งเรื่องราวของคณะทูตและจดหมายเหตุของผู้ที่มาเยือนกรุงสยามแต่ก่อน มีแต่บันทึกข้อห้ามตามธรรมเนียมของชาวสยามมากมาย นายครอฟอร์ดก็ดี เซอร์เจมส์ บรูค และเซอร์ยอน บาวริงก็ดี ได้กล่าวความเหล่านี้ไว้ ท่านเหล่านั้นได้เล่าเรื่องราวอย่างยืดยาวว่า ข้อห้ามต่างๆเช่นนั้นมีอยู่ทั่วไป จนทำความขัดข้องแก่คณะของท่านมาก แม้แต่เรื่องเหน็บกระบี่เข้าเฝ้าก็ถูกห้าม แต่ในคราวนี้ไม่มีการทำให้แขกเมืองรู้สึกอย่างนั้นเลย พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางของพระองค์กลับสมาคมกับแขกเมืองอย่างให้อิสระเป็นผู้เสมอกัน และดูเหมือนจะมุ่งให้คล้อยตามธรรมเนียมของแขกที่มา การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชาติที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงดังนี้”                 ในที่สุดก็ถึงวันสำคัญ ในเช้าวันที่ ๑๘ สิงหาคม ตอนเช้ามืดท้องฟ้าโปร่งใส มีเพียงเมฆบางๆ ราว ๐๗.๐๐ น.ยังเห็นดวงจันทร์มีแสงเทาอ่อนๆอยู่เรี่ยขอบฟ้า พอ ๐๙.๐๐ น.อากาศเริ่มแปรปรวน เมฆดำขนาดใหญ่เข้ามาปกคลุมท้องฟ้าจนมืดมิด มีฝนตกในหมู่บ้าน ทุกคนที่เฝ้ารอต่างรู้สึกหมดหวังที่จะได้เห็นสุริยุปราคา แต่แล้วอากาศก็เปลี่ยนแปลงอีก หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว ฟ้ารอบดวงอาทิตย์ใสสว่างขึ้น ทุกคนต่างยืนจังงังเมื่อเห็นดวงจันทร์เริ่มเข้าบดบังดวงอาทิตย์ จนหมดดวงในเวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๖ นาที ๒๒ วินาที มีเพียงรังสีแลบออกมาจากขอบโดยรอบ                 ขณะนั้นบริเวณหว้ากอมืดลงเหมือนเวลาค่ำ ต้นไม้เป็นเงาดำ ดวงดาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า นกกาบินกลับรัง ไก่ขันกันระเบ็งเซ็งแซ่ เครื่องวัดอากาศบอกอุณหภูมิลดลง ๖ องศาจนรู้สึกถึงความเย็น ทุกคนในที่นั้นต่างกู่ร้องกันเอิกเกริก ในหมู่บ้านมีการตีกลองจุดประทัด ส่วนพวกฝรั่งเศสที่ขึ้นไปเฝ้าดูธรรมชาติบนเขาหลวงรายงานต่อมาว่า พอดวงจันทร์บังล้ำเข้าไปในดวงอาทิตย์ได้ ๑ ใน ๕ ฝูงลิงก็วิ่งกันอึงคะนึง และรวมกลุ่มกันเป็นฝูงเล็กๆหลายฝูง นกเหงือกที่ไม่เคยส่งเสียงเลยต่างส่งเสียงกันระงมเพราะความกลัว ไม้ที่หุบใบในเวลากลางคืนเช่นไมยราบก็พากันหุบใบ                 สุริยุปราคาจับหมดดวงนาน ๖ นาที ๔๕ วินาทีก็เริ่มคลาย มีแสงสว่างพุ่งแปลบออกมาจากดวงอาทิตย์ จนคลายทั้งดวงในเวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๗ นาที ๔๕ วินาที เกินที่ทรงคำนวณไป ๑ นาที                 เซอร์แฮรี ออดได้บันทึกไว้ว่า                 “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกต้องอย่างที่สุด ถูกต้องกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้”                 แต่พระเกียรติคุณอันกึกก้องของพระองค์ในครั้งนี้ ก็ทรงแลกมาด้วยพระชนม์ชีพ ขณะเสด็จพระราชดำเนินกลับนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงประชวรด้วยเชื้อไข้ป่าที่ได้รับจากหว้ากอ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯก็ยังไม่ทุเลา ทรงต่อสู้กับโรคร้ายตามความเชื่อของพระองค์ จนถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๑๑ ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันประสูติ จึงเสด็จสวรรคตในวันประสูติตามแบบพระพุทธเจ้า                 ในปี ๒๕๒๕ รัฐบาลตระหนักที่จะให้อนุชนเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท จึงประกาศให้วันที่ ๑๘ สิงหาคมของทุกปีเป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ”                 เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์สยาม ใน “อุทยานราชภักดิ์” เพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณพระมหากษัตริย์ ๗ พระองค์นั้น มีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ยังไม่ได้รับการถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” เหมือนกับอีก ๖ พระองค์ แต่ก็ทรงได้รับการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณในอุทยานแห่งนี้ด้วย


ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลด่านสวี นำเด็กนักเรียนปฐมวัยเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร


กำแพงและคูเมืองเชียงใหม่ทั้ง 4 ด้าน ก่อสร้างครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1839 และได้รับการบูรณะในรัชสมัยพญาเมืองแก้ว สมัยล้านนา และในสมัยพระยากาวิละในสมัยรัตนโกสินทร์ และในปัจจุบัน ร.ศ. 2016 ในสมัยพระเมืองแก้ว โปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์และก่อกำแพงให้หนากว่าเดิม สมัยรัตนโกสินทร์ พระยากาวิละได้บูรณะอีก และได้สร้างป้อมเพิ่มขึ้นตรงมุมเมืองทั้ง 4 แห่ง ขุดคูให้ลึกลงไปอีก ซึ่งแนวกำแพงก่ออิฐและคูเมืองในเขต ต.พระสิงห์ กับ ต.ศรีภูมิ เป็นแนวกำแพงและคูเมืองที่ได้รับการบูรณะและก่อสร้างขึ้นใหม่


วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ พันเอกสมภพ ภาระเวช ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๒๓ เป็นประธานในการประชุมเพื่อเตรียมการรับเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีนายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา นางชุติมา จันทร์เทศ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย นายสมเดช ลีลามโนธรรม หัวหน้าอุทยานประวัติศาสาตร์พิมาย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา




Messenger