ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,814 รายการ
ชื่อผู้แต่ง นรินทรธิเบศร์ (อิน)
ชื่อเรื่อง โคลงนิราศนรินทร์
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑๒
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์คุรุสภา
ปีที่พิมพ์ ๒๔๙๔
จำนวนหน้า ๓๘ หน้า
หมายเหตุ กระทรวงธรรมการได้จัดพิมพ์ขึ้น เพื่อเป็นอุปกรณ์แห่งการศึกษาทางหนึ่ง
หนังสือโคลงนิราศนรินทร์เล่มนี้ แต่งสมัยต้นรัชกาลที่ ๒ เมื่อคาวตามเสด็จสมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาเสนานุรักษ์เสด็จยกทัพหลวงไปปราบพม่าข้าศึก ซึ่งเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำผ่านเส้นทาง ดังนี้ กรุงเทพฯ ท่าจีน แม่กลอง บ้านแหลม เพชรบุรี บางสะพาน และตะนาวศรี
เลขทะเบียน : นพ.บ.143/8ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 5 x 52 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 86 (346-361) ผูก 8 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺปฎฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ชื่อผู้แต่ง วิลเลี่ยม คลิฟตันดอดด์ และหลวงนิเพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท)ผู้แปล
ชื่อเรื่อง ไทย
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 2
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์พระจันทร์
ปีที่พิมพ์ 2511
จำนวนหน้า 235
หมายเหตุ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายสุรทิน บุนนาค
หนังสือไทยเป็นผลงานการแปลบางตอนของหนังสือ the tairace thee Elder Brother of the Chinese ของหมอวิลลเลี่ยม คลิฟตัน ดอดด์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกันซึ่งแปลโดยหลวงนิเพทย์ นิติสรรค์ (ฮวด หลี หุตะโกวิท)และนำลงหนังสือวิทยาจารย์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำมารวบรวมพิมพ์ในงานทอดกฐินพระราชทาน ณ วัด เขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.12/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 18 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 31)ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2508 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าคุรุสภาจำนวนหน้า : 322 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดารภาคที่ 31 จดหมายเหตุเรื่องมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาประเทศสยาม ของ หมอบรัดเล แปลจากหนังสือบางกอกคาเลนดา ซึ่งนอกจากปฏิทินและลงบัญชีรายชื่อผู้มีบรรดาศักดิ์และพวกพ่อค้าชาวต่างประเทศ เช่นเดียวกับหนังสือนาครสงเคราะห์ หมอบรัดเลมักเก็บเรื่องต่าง ๆ ซึ่งมีผู้แต่งว่าด้วยเรื่องเมืองไทยพิมพ์ไว้ มีบางเรื่องซึ่งให้ความรู้น่าอ่าน
พวงปลา เครื่องประดับ กลุ่มชาติพันธุ์ลีซู
เครื่องประดับโลหะเงินสวมคอด้านหล้ง ทำเป็นสร้อยสี่เสา ประดับจี้และตุ้งติ้งขนาดใหญ่ห้วยยาวจนถึงกลางลำตัว
แบ่งเป็น 3 แถว แถวบนประกอบด้วย จี้ทรงกลม(คล้ายดอกเบญจมาศ)ห้อยกระพวน และตุ้งติ้งรูปน้ำเต้า แถวกลางเป็นจี้รูปผีเสื้อห้อยกระพวน ตุ้งติ้งรูปปลาและตุ้งติ้งรูปน้ำเต้าแถวล่างทำเป็นจี้รูปปลาห้อยกระพวน ตุ้งติ้งรูปปลาและตุ้งติ้งรูปน้ำเต้า
การสื่อความหมายในเครื่องประดับ
ดอกเบญจมาศ (จวี๋ฮวา) แทนคำว่าซิ่วหมายถึงความยั่งยืน
ในความเชื่อของชาวจีนสื่อถึงความยั่งยืน
อ้างอิงhttps://www.baanlaesuan.com
ดอกเบญจมาศ สื่อถึงความมีชีวิตชีวาและความเจริญรุ่งเรือง สัญลักษณ์ ของฤดูใบไม้ร่วง ในคติความเชื่อโบราณของจีน ดอกเบญจมาศคือความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืนและความงามนิรันดร์ ดอกเบญจมาศ เป็นดอกไม้แห่งความรื่นเริงและความบริสุทธิ์ใจ ผู้ที่ชอบแสดงว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี หากอยากแสดงถึงความรื่นเริงชื่นบาน ให้ใช้ดอกไม้นี้มอบแก่ผู้รับ
ดอกเบญจมาศสีแดง เป็นดอกไม้แห่งความรัก นิยมมอบดอกเบญจมาศสีแดง เพื่อแสดงถึงความรักใคร่ชอบพอ
ดอกเบญจมาศสีเหลือง เป็นดอกไม้แห่งความโชคดี นิยมมอบดอกเบญจมาศเหลืองแก่ผู้หลักผู้ใหญ่หรือคนรู้จักกันเมื่อไปเยี่ยมเยียนหลังจากไม่ได้พบกันมานาน หรือเพิ่งไปมาหาสู่บ้านเขาเป็นคราวแรก (แสดงถึงรักที่บางเบา อ่อนไหว)
ดอกเบญจมาศสีขาว ถือเป็นดอกไม้สูงศักดิ์ และทรงเกียรติ เป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ สามารถมอบดอกเบญจมาศสีขาวให้แก่ผู้ใดก็ได้ เพื่อแสดงความซื่อสัตย์ภักดี
อ้างอิงhttps://www.fruitnflora.com/meaning-of-flower/
ดอกเบญจมาศมีถิ่นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเป็นสื่อแทนความหมายได้หลายรูปแบบ อาทิเช่น ตามความเชื่อของชาวจีน ดอกเบญจมาศ เป็นสัญลักษณ์ ของฤดูใบไม้ร่วงในเดือน 9 ของชาวจีน เปรียบได้กับตัวแทนของความงามและความยั่งยืน ชาวจีนจึงนิยมนำมาไหว้พระ ถ้าเป็นเบญจมาศขาวจะหมายถึง สัจจะและความซื่อสัตย์ ส่วนดอกเบญจมาศสำหรับชาวญี่ปุ่น เป็นดอกไม้ประจำราชวงศ์ ทั้งจีนและญี่ปุ่นมีเทศกาลชมดอกเบญมาศเหมือนกัน คือ ในเดือน 9 หรือเดือนกันยายน ตามความเชื่อที่ว่าเพื่อให้มีอายุยืนและขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไป
อ้างอิงhttps://www.panthachok.co.th
ผีเสื้อสื่อถึงความงดงามและอุดมสมบูรณ์
ตามหลักฮวงจุ้ยนั้น ผีเสื้อ เป็นสัญลักษณ์ของความรัก และความมีอิสระ เราสามารถนำรูปหรือสัญลักษณ์ผีเสื้อมาใช้ได้ในหลายลักษณะ เช่นเดียวกับนก เพราะทั้งนก และผีเสื้อ เป็นสัตว์ที่บินได้อย่างเสรี เป็นที่กล่าวถึงกันมานานแล้วว่า นกและผีเสื้อเป็นเครื่องหมายของความสุข ความมีอิสระในชีวิต ความใกล้ชิดกันสวรรค์ แต่ทั้งนี้ การใช้สัญลักษณ์ผีเสื้อนี้ จะมีความหมายที่แตกต่างกันไป ตามลักษณะของการนำมาใช้ และความสร้างสรรค์ด้วย ตามหลักฮวงจุ้ยจะใช้สัญลักษณ์ผีเสื้อเพื่อสื่อถึงความรักและความโรแมนติก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าความรักนั้นเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาเป็นความรู้สึกในลักษณะที่ว่า เมื่อมีความรัก ก็เหมือนได้โบยบินอย่างมีความสุข นอกจากนั้น ผีเสื้อยังให้ความรู้สึกถึงความอ่อนไหว การมีแรงบันดาลใจ ความสนุก ความสวยงามซึ่งก็เปรียบเสมือนความรู้สึกเมื่อมีความรัก
อ้างอิง https://www.sanook.com
ปลาถือเป็นสัตว์มงคลสำหรับชาวจีน ความหมายส่วนใหญ่จะเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง การมีเงินทองล้นหลาม ความอุดมสมบูรณ์ โชคลาภ ความมั่งคั่งและแข็งแกร่ง สัญลักษณ์ของผลกำไรหรือผลประโยชน์จากการทำธุรกิจ ดังนั้น ชาวจีนที่ทำธุรกิจการค้าขายจึงมักชอบเลี้ยงปลา หรือมีของประดับตกแต่งที่ทำงาน บ้านเกี่ยวกับปลา ซึ่งสื่อถึงความมั่งมีและอุดมสมบูรณ์
อ้างอิง http://www.dmodernart.com
ปลา เป็นสัตว์มงคล เพราะคำว่า หยู ที่หมายถึงปลา พ้องเสียงกับคำว่า หยู ที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ปลาจึงเป็นสัญลัษณ์ของความมั่งคั่ง เด็กกับปลา จะหมายถึง “ขอให้จงมีความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จากลูกชายที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้น” ปลาคาร์ฟ มาจากคำว่า “หลี่” หมายถึง ผลกำไรหรือประโยชน์ ปลาคาร์ฟ จึงเป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาจะได้ผลกำไรหรือประโยชน์จากการทำธุรกิจ
ปลาคาร์ฟข้ามซุ้มประตูมังกร ปลาหลี่ฮื้อ หรือหลี่อวี๋ หมายถึง ความสำเร็จ โดยมีตำนานว่า ปลาหลี่ฮื้อตัวใดสามารถว่ายมาถึงประตูมังกรที่ปากทางสวรรค์ แล้วกระโดดข้ามไปได้ จะกลายเป็น "ปลามังกร" ซึ่งเป็นคติสอนใจชาวจีนว่า คนจนก็มีสิทธิ์รวยได้ ถ้ามีความมุ่งมั่นและพยายามเหมือนปลาหลี่ฮื้อ ที่เพียรว่ายน้ำมาจนถึงปากทางสวรรค์ และใช้แรงพยายามสุดชีวิตเพื่อให้เข้าประตูมังกรได้สำเร็จ ซึ่งจะได้เปลี่ยนเป็นปลาที่มีเกียรติยศสง่างาม ถ้าปลาตัวใดกระโดดข้ามไม่ได้ก็ยังคงเป็นปลาหลี่ฮื้อตามเดิม จึงนิยมใช้ปลาหลี่ฮื้อแทนคำอวยพรที่ว่า "ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต และให้มีเพียงพอ"
อ้างอิง http://www.richystar.com
น้ำเต้า สื่อถึง ความเชื่อ เก่าแก่ ที่เชื่อว่า คน ถือกำเนิดมาจากน้ำเต้า จากเรื่องเล่าสืบต่อกันมา จากตำนานน้ำเต้าปุง
บรรพชนคนพื้นเมืองในดินแดนตั้งแต่แม่น้ำแยงซี (ฉางเจียง) ลงมาจนถึงอุษาคเนย์ทั้งภาคพื้นดินและภาคสมุทร มีรากเหง้าอารยธรรมร่วมกันคือ วิถีชีวิตเพาะปลูกข้าว, การเคารพบูชาน้ำเต้า และผีฟ้า (แถน)
คนพื้นเมืองกลุ่มนี้เป็นคนละชาติพันธุ์กับชาวหัวเซี่ย-บรรพชนของชนชาติฮั่น (จีนแท้) ชาวฮั่นเรียกพวกเขาว่า กลุ่มชนไป่ผู (ชาวผูร้อยจำพวก) ต่อมาเรียกเป็นไป่เยวี่ย (พวกเยวี่ยร้อยจำพวก หรือพวกเวียดร้อยจำพวก) กลุ่มชนเหล่านี้มีคติความเชื่อดั้งเดิมตรงกันอย่างหนึ่งคือ บูชาน้ำเต้า
สมมุติฐานเรื่องทำไมคนบูชาน้ำเต้า มีสองสมมุติฐาน
สมมุติฐานแรกเสนอว่า “น้ำเต้า” คือสิ่งเคารพศักดิ์สิทธิ์แรกเริ่มเลยของมนุษย์ (ก่อนจะนับถือโทเทม totem นับถือเทพเจ้า) “น้ำเต้า” เป็นสัญลักษณ์ของ “กายแม่” การบูชาน้ำเต้าก็คือการเคารพบูชาแม่ (ทางโลกตะวันตก ยุคหินใหม่มีรูปเคารพหินสลักเป็นรูปผู้หญิง คนปัจจุบันเรียกกันว่า “ตุ๊กตาวีนัส”) คนมาจากน้ำเต้าและกลับคืนสู่น้ำเต้าเมื่อตาย ดังนั้นวัฒนธรรมของชนกลุ่มนี้จึงมีเครื่องดนตรีที่เป็นสัญลักษณ์ของน้ำเต้า บรรเลงในพิธีศพ เช่น แคนน้ำเต้า, ปี่น้ำเต้า, กลองมโหระทึก และฝังศพครั้งที่สอง (กระดูก) ในไหหิน, ไหดินเผา, กลองมโหระทึก, โกศ (สัญลักษณ์ของน้ำเต้า)
ที่มา เว็ปไซด์/https://e-shann.com
น้ำเต้าทั่วไปมีรูปทรงกลมป่อง ดูเหมือนท้องแม่ใกล้คลอดลูก แต่คอดตรงกลาง คนแต่ก่อนจินตนาการว่าเหมือนมดลูกของแม่ที่ให้กำเนิดลูกทุกคน น้ำเต้ามีเมล็ดมากอยู่ข้างใน ถ้าแม่มีลูกมากเหมือนเมล็ดน้ำเต้าจะทำมาหากินได้ผลผลิตมาก เพราะมีลูกช่วยทำ
ลูกน้ำเต้ามีรูปต่าง ๆ หลากหลาย มีทั้งกลมทั้งแป้น ตั้งกับพื้นได้ มีคอคอดหรือไม่มีก็ได้ จนถึงมีรูปทรงรีหรือยาว และมีเมล็ดมาก เมื่อแห้งผิวกร้านแข็ง น้ำเต้าแห้งมีพื้นที่ข้างในกว้าง ใส่น้ำไปกินเมื่อเดินทางไกลได้ (โบราณว่าใครกินน้ำในน้ำเต้าทุกวันจะมีอายุยืนยาว) ใส่ของสำคัญบางอย่างก็ได้ เช่น เมล็ดพันธุ์พืช ฯลฯ บางกลุ่มชาติพันธุ์แขวนหรือวางน้ำเต้าแห้งไว้ในบ้าน เป็นเครื่องรางป้องกันผีร้าย โรคภัยไข้เจ็บ
ภาชนะยุคแรก ๆ ทำเลียนแบบรูปทรงน้ำเต้า แล้วส่งอิทธิพลให้ภาชนะหล่อด้วยสำริดทำตาม
น้ำเต้าให้กำเนิดคน
สามัญชนชาวบ้านเชื่อว่าคนทั้งสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์เกิดจากน้ำเต้าปุง (ปุง หมายถึง ภาชนะใส่ของ) เป็นพี่น้องท้อง (น้ำเต้าปุง) เดียวกัน 5 คน สองคนแรกออกมาก่อนเป็น ข้า สามคนหลังออกตามมาเป็น ไทย (หมายถึง ไม่เป็น ข้า และไม่ใช่คนไทย อย่างปัจจุบัน ไทย คำนี้ แปลว่า คน, ชาว เป็นคำร่วมสุวรรณภูมิ ในภาษาลาว, เขมร ก็มี) ทั้งหมดล้วนเป็นไพร่ของผู้เป็นนาย
ความเชื่อของสามัญชนยุคดึกดำบรรพ์ ว่าคน 5 จำพวกเกิดจากน้ำเต้าปุงเดียวกัน ย่อมเป็นเครือญาติพี่น้องท้องเดียวกัน เหมือนคนที่เกิดจากท้องแม่เดียวกัน คน 5 จำพวกเป็นสัญลักษณ์ของชาติพันธุ์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ ทั้งผืนแผ่นดินใหญ่แม่น้ำลำคลอง กับชายฝั่งทะเลและหมู่เกาะ ได้แก่ คนในตระกูลมอญ-เขมร, ตระกูลมาเลย์-จามหรือชวา-มลายู, ตระกูลม้ง-เย้า, ตระกูลไทย-ลาว-เวียดนาม, ฯลฯ เรื่องนี้อาจอธิบายความหมายเป็นตระกูลอื่นต่างไปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตรงกัน
อ้างอิง
“คนเกิดจากน้ำเต้า”. จากหนังสือ“วัฒนธรรมร่วม อุษาคเนย์ในอาเซียน”. โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ. สำนักพิมพ์นาตาแฮก. 2559
ตราดินเผามีจารึก“ศรี” และสัญลักษณ์โอม พบจากเมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
ตราดินเผารูปกลม มีรอยประทับเป็นจารึกตัวอักษรและสัญลักษณ์ขนาดใหญ่เกือบเต็มพื้นที่ ปัจจุบันนักวิชาการมีความเห็นเกี่ยวกับตัวอักษรที่ปรากฏเหมือนกัน ว่าเป็นภาษาสันสกฤต อ่านว่า “ศรี” แต่มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปเรื่องรูปแบบตัวอักษรและการกำหนดอายุว่า เป็นอักษรปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ (ประมาณ ๑,๓๐๐ - ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว) หรือเป็นอักษรหลังปัลลวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว) ด้านบนของตัวอักษร มีสัญลักษณ์เป็นขีดสองขีดและมีจุดกลมด้านบน ซึ่งนักวิชาการบางท่านเสนอว่าเป็นสัญลักษณ์ “โอม”
คำว่า “ศรี” หมายถึง สิริ ดี งาม ประเสริฐ เป็นคำที่มีความเป็นมงคลที่พบประกอบอยู่กับจารึกในสมัยทวารวดีจำนวนมาก ที่สำคัญ เช่น เหรียญเงินมีจารึก “ศฺรีทฺวารวตีศฺวรปุณฺย” แปลว่า “บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี” หรือ “พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ” พบจากเมืองโบราณสมัยทวารวดีหลายแห่ง เช่น เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองนครปฐมโบราณ จังหวัดนครปฐม เป็นต้น นอกจากนี้ที่เมืองโบราณอู่ทอง ยังพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาทรงหม้อน้ำ มีจารึกคำว่า “ศรี” บริเวณก้นภาชนะ จากการขุดแต่งโบราณสถานบ้านศรีสรรเพชญ์ ๓ สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะสำหรับใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วน “โอม” เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นมงคลเช่นเดียวกับคำว่า “ศรี”
ตราดินเผาชิ้นนี้ อาจเป็นตราดินเผาที่พ่อค้า นักเดินทาง หรือนักบวชชาวอินเดีย นำติดตัวเข้ามาในดินแดนแถบนี้เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร อาจเกี่ยวข้องกับด้านการค้า การศาสนา หรือเป็นเครื่องรางเพื่อความเป็นสิริมงคล หรืออาจเป็นตราดินเผาที่ผลิตขึ้นโดยคนท้องถิ่นสมัยทวารวดี ที่ผลิตตราดินเผาขึ้นใช้เองในท้องถิ่นโดยรับอิทธิพลด้านภาษาและคติความเชื่อเรื่องสัญลักษณ์มงคลจากชาวอินเดียก็เป็นได้
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ (อักษรปัลลวะ อักษรหลังปัลลวะ พุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๔). กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ, ๒๕๕๙.
เด่นดาว ศิลปานนท์. โบราณสถานบ้านศรีสรรเพชญ์ ๓ ปริศนาวิหารถ้ำเมืองอู่ทอง. กรุงเทพ : อรุณการพิมพ์, ๒๕๕๙.
วิภาดา อ่อนวิมล. เหรียญตราในประเทศไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๖. วิทยานิพนธ์ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๑.
อนันต์ กลิ่นโพธิ์กลับ. การศึกษาความหมายและรูปแบบตราประทับสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗.
องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี จันทบุรี เรื่อง "ฆ้องสำริด พบในแหล่งเรือจมรางเกวียน จังหวัดชลบุรี"
ชื่อเรื่อง วินยธรสิกฺขปท (สิกขาบท)
สพ.บ. 390/5
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ภาษา บาลี/ไทยอีสาน
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
พระวินัยปิฎก
ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน
ลักษณะวัสดุ 60 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55.2 ซม.
บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง ปฐมมูลมูลี (ปถมมูลี)
สพ.บ. 231/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 56 หน้า กว้าง 4.5 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพัน
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดทุ่งอุทุมพร ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สงฺคีติกถา (ปฐมสังคายนา)
สพ.บ. 378/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 36 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง การสวดมนต์
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี