ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 45,839 รายการ

ชื่อเรื่อง                                ปพฺพชฺชานิสํสกถา (อานิสงส์บวช)สพ.บ.                                  156/1กประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           44 หน้า กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 58 ซ.ม. หัวเรื่อง                                 ธรรมเทศนา                                           พุทธศาสนา                                           อานิสงส์                                           การบวช บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สุพรรณบุรี





ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๗๖ เจ้าอาวาสวัดเทพประสาท ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.28/1-4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)



ผืนป่าเมืองน่าน ( ตอนที่ ๒ ) -- ในตอนที่ ๑ กล่าวถึงผืนป่าน้ำสาฝั่งซ้าย อำเภอสา จังหวัดน่าน ช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐ - ๒๕๑๐ นั้น เป็นเพียงพื้นที่ส่วนน้อยที่ปรากฏความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ไม้และทรัพยากรธรรมชาติ  ในตอนนี้จะขยายภาพผืนป่าทั้งอำเภอสาว่ากว้างขวางเพียงใด --  -- จากเอกสารจดหมายเหตุของสำนักงานป่าไม้จังหวัดน่าน มีร่างแผนที่สังเขปการตรวจสอบสภาพป่าท้องที่อำเภอสาชัดเจน ด้วยแทบทุกตารางนิ้วเป็นเฉดสีพันธุ์ไม้เต็มพื้นที่ เรียกได้ว่า  " กว้างใหญ่ไพศาล " ทีเดียว  ภายในร่างแผนที่ระบุลำห้วย ๔ สาย หมู่บ้าน ๓ แห่ง นอกนั้นคือป่าเบญจพรรณ ( Mixed Deciduous Forest ) ไม้ผลัดใบ และป่าแดง ( Deciduous Dipterocarp Forest ) ไม้เต็งรังทั้งสิ้น หากพิจารณาประกอบกับแผนที่ป่าน้ำสาฝั่งซ้ายในตอนที่ ๑ แล้ว สามารถคะเนได้ว่า อำเภอสาอุดมสมบูรณ์ด้วยไม้ผลัดใบกับไม้เต็งรังเนื้อแข็ง นอกจากนี้พื้นที่รอบอำเภอยังถูกโอบล้อมด้วยภูเขา เพราะในแผนที่ระบุแนวสันเขาไว้ตลอด มีสภาพอากาศบริสุทธิ์รักษาความชื้นความร่มเย็นสม่ำเสมอ  อย่างไรก็ตาม สำนักงานป่าไม้ยังคงสำรวจผืนป่าอื่นๆ ของจังหวัดน่านอีก โดยในตอนหน้าพบกับต้นฉบับแผนที่ป่าน้ำแก่น จะอุดมสมบูรณ์เช่นไร โปรดติดตาม... ผู้เขียน : นายธานินทร์ ทิพยางค์ ( นักจดหมายเหตุ ) เอกสารอ้างอิง : หจช.พย. แผนที่กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผจ นน 1.6 / 13   เรื่องแผนที่สังเขปการตรวจสอบสภาพป่าท้องที่อำเภอสา จังหวัดน่าน   (ม.ท.)


นรินทร์ธิเบศร์ (อิน). โคลงนิราศนรินทร์. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2525.          โคลงนิราศนรินทร์นี้ นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) กวีเอกในสมันรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ได้แต่งขึ้นในระหว่างเดินทางโดยเสด็จสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ไปรบพม่าซึ่งยกทัพเข้ามาตีเมืองถลางและเมืองชุมพร ระหว่างปี พ.ศ. 2352



การค้าขายและเงินตราที่ใช้ในล้านนา ตอนที่ ๕ เงินพดด้วง           เป็นเงินตราที่ชาวไทผลิตขึ้นใช้ต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์           โดยการตัดโลหะเงินเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ได้น้ำหนักตามต้องการแล้วนำไปหลอมจากนั้นเทโลหะที่ละลายดีแล้วลงเบ้าไม้ที่แช่อยู่ในน้ำ จากนั้นนำมาทำให้งอโดยตอกแบ่งครึ่งด้วยสิ่วสองคม แล้วทุบปลายทั้งสองข้างเข้าหากันจนขดงอคล้ายตัวด้วง เงินพดด้วงที่ตีด้วยค้อนจนเข้ารูปแล้วจะถูกนำไปวางบนทั่งเหล็กหรือกระดูกขาช้าง เพื่อตอกประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาลลงบนตัวเงิน เนื่องจากเงินพดด้วงเป็นเงินตราที่ใช้มาตราน้ำหนักเป็นมาตรฐานพิกัดราคา จึงไม่มีการระบุพิกัดราคาไว้บนตัวเงิน           เงินพดด้วงถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนในล้านนา จากการติดต่อค้าขายกับสุโขทัยและอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ยังคงมีการนำเงินพดด้วงมาใช้ในล้านนา            โดยเงินพดด้วงในสมัยรัตนโกสินทร์นี้มีตราจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน และมีตราอุณาโลม ครุฑ ปราสาทและมหามงกุฎประทับลงบนพดด้วง เอกสารอ้างอิง เงินตราล้านนา : นวรัตน์ เลขะกุล/ธนาคารแห่งประเทศไทย นพบุรีการพิมพ์ เชียงใหม่, ๒๕๕๕ เงินตราล้านนาและผ้าไท : ธนาคารแห่งประเทศไทย อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๔๓ เบี้ย บาท กษาปณ์ แบงค์ : นวรัตน์ เลขะกุล สนพ.สารคดี, ๒๕๔๗


อู่ตะเภา เมืองโบราณในวัฒนธรรมทวารวดี ที่ชัยนาท .. เมืองโบราณอู่ตะเภา ตั้งอยู่ริมลำน้ำอู่ตะเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เมืองโบราณแห่งนี้เป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการมากว่า 50 ปี โดยการสำรวจของ นายมานิตย์ วัลลิโภดม แห่งกองโบราณคดี กรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2506 .. เมืองโบราณอู่ตะเภา มีอายุสมัยอยู่ในราว พุทธศตวรรษที่ 11-16 เป็นเมืองโบราณรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ พื้นที่โดยรอบเมืองเป็นที่ราบลุ่ม จึงเหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาแต่โบราณ สภาพเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบนั้นอาจเพื่อเป็นการกำหนดขอบเขตบริเวณของเมือง หรือเพื่อเป็นการป้องกันศัตรูจากภายนอก หรือเพื่อป้องกันน้ำหลากเข้าท่วมเมือง หรือเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยชน์ก็เป็นได้ .. ภายในเมืองโบราณอู่ตะเภา ค้นพบโบราณวัตถุในวัฒนธรรมทวารวดี และพบโบราณวัตถุเก่าไปจนถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย แสดงให้เห็นว่าก่อนจะมีพัฒนาการมาเป็นเมืองโบราณในวัฒนธรรมทวารวดีนั้น มีการใช้งานพื้นที่บริเวณนี้มาก่อนหน้านั้นแล้วคือในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย .. กิจกรรมของผู้คนในบริเวณเมืองโบราณอู่ตะเภานี้ มีการถลุงเหล็ก และประเพณีการฝังศพมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายแล้ว สันนิษฐานจากการพบหลักฐานประเภทเตาถลุงโลหะ และขี้แร่เหล็ก (Slag) ที่หลงเหลือจากการถลุงในบริเวณเมืองโบราณอู่ตะเภา และที่มีการพบหลุมศพที่มีโครงกระดูก ภายในเมืองโบราณแห่งนี้อีกด้วย ภายหลังเมื่อพื้นที่นี้เข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดี จึงพบโบราณวัตถุเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีทั้งในเมืองและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงเมืองโบราณแห่งนี้ ได้แก่ ตะเกียงดินเผา เหรียญเงินมีตรารูปสังข์ ศรีวัตสะ และเศษชิ้นส่วนธรรมจักรศิลา เสาแปดเหลี่ยมที่มีจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี .. เมืองโบราณอู่ตะเภานั้น จึงเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญที่แสดงถึงร่องรอยของวัฒนธรรมทวารวดีที่ย่านภาคกลาง ณ เมืองชัยนาท เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ตะเภา. กรุงเทพฯ : ฝ่ายวิชาการกองโบราณคดี, 2534.


ชื่อเรื่อง                     มาเลยฺยสูตฺต (มาลัยสูตร)      สพ.บ.                       412/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               60 หน้า : กว้าง 4.7 ซม. ยาว 57.4 ซม. หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              มาลัยสูตรภาษา                       บาลี/ไทยบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


ถ้ำครกอยู่ไหน? หมู่ที่ ๒ บ้านถ้ำครก ตำบลคูหา อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ตำนานถ้ำครก กล่าวกันว่าในอดีตชาวบ้านได้อาศัยหลุมบนพื้นถ้ำแห่งนี้ ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำตามธรรมชาติ ใช้เป็นครกตำยาเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ จึงเรียกถ้ำแห่งนี้ว่าถ้ำครก ลักษณะของถ้ำครก ถ้ำครกมีลักษณะเป็นถ้ำของภูเขาหินปูนขนาดเล็ก โดยตัวถ้ำทะลุจากภูเขาฝั่งหนึ่งไปยังภูเขาอีกด้านหนึ่ง โดยมีความยาวของถ้ำ ๕๒.๖๐ เมตร ปากถ้ำด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือกว้าง ๑๑ เมตร ส่วนปากถ้ำด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือกว้าง ๘ เมตร เจดีย์ปูนปั้น ประดิษฐานในบริเวณข้างพระพุทธรูป ชะง่อนหิน และโพรงถ้ำ เจดีย์เหล่านี้และมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังที่มีองค์ระฆังเพรียวชะลูดดังที่นิยมกันในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระซึ่งอาจพัฒนามาจากรูปทรงขององค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช มาตั้งแต่สมัยอยุธยา พระพุทธรูป ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่น้อยหลายองค์ บางองค์มีร่องรอยการลงรักปิดทอง ในขณะที่บางองค์มีร่องรอยการตกแต่งด้วยการทาสีแดงชาด นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท รวมถึงยังพบพระสาวกปูนปั้นปรากฏอยู่ด้วย พระพุทธรูปเหล่านี้แสดงอิทธิพลของศิลปกรรมแบบอยุธยา-รัตนโกสินทร์ ผสมผสานกับศิลปะในท้องถิ่น ปูนปั้น : พุทธประวัติ เรื่องเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์(ออกบวช) พบบริเวณฐานชุกชีของพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ผนังถ้ำ โดยภาพแบ่งออกเป็นสองตอนคือ ตอนเจ้าชายสิทธัตถะประทับยืนทอดพระเนตรพระนางพิมพาและเจ้าชายราหุล และตอนเจ้าชายสิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะมีท้างจตุโลกบาลทั้งสี่ประคองเท้าม้าองค์ละหนึ่งขาเพื่อออกผนวช ส่วนภาพพระอินทร์ที่ประคองปากม้านั้นแตกหักไปเหลือเพียงส่วนปลายของมงกุฏ ปูนปั้น : พุทธประวัติ ตอนมารวิชัย(ผจญมาร) พบบริเวณฐานชุกชีใหญ่ของพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ภายในถ้ำ ปรากฏภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผม จนน้ำในมวยผมพระแม่ธรณีหลั่งไหลออกมาท่วมกองทัพมารจนพ่ายแพ้ไป ทั้งนี้น้ำที่ไหลออกมาจากมวยผมพระแม่ธรณีนั้นก็คือน้ำซึ่งเจ้าชายสิทธัตถะได้กรวดน้ำลงบนพื้นดินอุทิศส่วนกุศลแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเมื่อได้กระทำบุญกุศลในอดีตชาตินั่นเอง ปูนปั้น : นรกภูมิ พบบริเวณผนังถ้ำใกล้ปากถ้ำด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเรื่องราวการลงโทษผู้กระทำผิดในนรกเช่นการปีนต้นงิ้ว การตกกระทะทองแดง เปรตชนิดต่างๆเช่นเปรตผู้มีจักรบนหัว ภาพจิตรกรรม พบบริเวณผนังถ้ำใกล้ปากถ้ำด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถัดจากภาพนูนต่ำรูปนรกภูมิ โดยปรากฏภาพจิตรกรรมเขียนด้วยสีขาวและแดง เป็นภาพบุคคลจำนวน ๔ คนนั่งอยู่บนหลังช้าง ใกล้กับต้นไม้ และมีภาพบุคคลกำลังเดินอยู่ ๒ คน ในทิศทางตรงกันข้ามกับการก้าวเดินของช้าง----------------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา 



           พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจัดตั้งทวีปัญญาสโมสร ขึ้น ณ พระราชวังสราญรมย์ ซึ่งเป็นสโมสรแรกในราชสำนักเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗ โดยมีพระราชประสงค์เพื่อส่งเสริมความสามัคคี เพิ่มพูนความรู้ และแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างกัน ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการประพันธ์และการละครอีกด้วย โดยมีสมาชิกเป็นพระราชวงศ์ ข้าราชบริพาร และบุคคลภายนอก ที่ได้รับการรับรองจากกรรมการสภา ซึ่งกรรมการสภาในการดำเนินงานของทวีปัญญาสโมสรชุดแรกนั้น ประกอบด้วย สภานายกและเลขานุการดำรงตำแหน่งโดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ปฏิคมและบรรณารักษ์ดำรงตำแหน่งโดย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครราชสีมา ผู้ช่วยปฏิคมคือ ม.จ.ถูกถวิล ผู้ช่วยบรรณารักษ์คือ ม.จ.พงษ์พิณเทพ เหรัญญิกคือ นายหยวก ผู้ช่วยเลขานุการคือ นายสอาด ที่ปรึกษาคือ พระยาราชวัลภานุสิษฐ กรรมการพิเศษประกอบด้วย ม.จ.วงษ์นิรชร และ ม.จ.อิทธิเทพสรร สำหรับตำแหน่งพนักงานใหญ่แผนกปฏิคมคือ นายชุ่ม ภายหลังมีการเพิ่มตำแหน่งกรรมการอีก ๒ ตำแหน่ง ได้แก่ อุปนายก และสาราณียกร            ในส่วนของสมาชิกเข้าใหม่ของทวีปัญญาสโมสรนั้น ต้องเสียเงินค่าสมัคร ๕ บาท และเสียเงิน ค่าบำรุงสโมสรปีละ ๓๖ บาท โดยเก็บทุกครึ่งปี หรือจะเสียค่าบำรุงสโมสรครั้งเดียว ๔๐๐ บาทก็ได้ เมื่อสมาชิกได้ลงนามและเสียค่าบำรุงสโมสรแล้ว จะได้รับโปเจียม คือ เข็มติดอกเสื้อทำด้วยผ้า จากกรรมการ ๑ อัน เพื่อติดมาในวันที่มีการประชุมซึ่งมีทั้งการประชุมสมาชิกทั่วไป และการประชุมใหญ่กับกรรมการสภาตามที่สภานายกเห็นสมควร หากไม่ติดมาจะถูกบันทึกนามไว้ในห้องสมุด ถ้าเกิน ๓ ครั้งจะถูกปรับ ๓๒ อัฐ สำหรับที่ทำการสโมสรนั้น เดิมตั้งอยู่ในพระราชวังสราญรมย์ ภายหลังเริ่มคับแคบจึงได้ย้ายมาตั้งที่ทำการใหม่ ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเรือนกระจก เปิดให้บริการเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๗ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ภายในมีห้องสมุดและมีหนังสือพิมพ์ ที่ออกในเมืองไทยและเมืองนอกบางฉบับให้สมาชิกได้อ่าน อีกทั้งยังมีโรงละครขนาด ๑๐๐ ที่นั่ง ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานสราญรมย์ ริมถนนราชินีอีกด้วย ชื่อว่า โรงละครทวีปัญญา นอกจากนี้ภายในทวีปัญญาสโมสรยังมีการเล่นกีฬาในร่ม อาทิ บิลเลียด ปิงปอง หมากรุก และไพ่ฝรั่ง รวมทั้งมีเครื่องกีฬากลางแจ้ง ไว้ให้เล่นด้วย เช่น เทนนิส คริกเก้ต โครเก้ ฮ้อกกี้ ฯลฯ อีกทั้งยังใช้เป็นสถานที่จัดงานรื่นเริงในโอกาส ต่าง ๆ ที่สำคัญยังใช้เป็นสถานที่ออกหนังสือพิมพ์รายเดือน ซึ่งทรงพระราชทานชื่อว่า ทวีปัญญา ภายหลังด้วยพระราชภาระที่มากขึ้นของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจการของทวีปัญญาสโมสรจึงสิ้นสุดลงโดยปริยายในปีพุทธศักราช ๒๔๕๐            สำหรับเรือนกระจกซึ่งเคยเป็นที่ทำการของทวีปัญญาสโมสรได้ถูกปรับเปลี่ยนใช้สอยเปลี่ยนมือเรื่อยมาและยังคงตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ในพระราชอุทยานสราญรมย์เช่นเดิมจนถึงปัจจุบัน-------------------------------------------------------------------------เรียบเรียง : นางสาวรวิวรรณ พุฒซ้อน บรรณารักษ์ชำนาญการ กลุ่มบริการทรัพยากรสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ -------------------------------------------------------------------------บรรณานุกรม วรชาติ มีชูบท. จดหมายเหตุวชิราวุธ ตอนที่ ๑๒๙ สโมสร สมาคม และชมรม. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔, จาก: http://www.vajiravudh.ac.th/VC_Annals/vc_annal129.htm. ๒๕๕๗. วรชาติ มีชูบท. ราชสำนักรัชกาลที่ ๖. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๖๑. สารานุกรมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๑ (ก-ม). กรุงเทพฯ: เจริญวิทย์การพิมพ์, ๒๕๒๓. สุนทรพิพิธ, พระยา. พระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระนคร: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น, ๒๕๑๔.