ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 45,838 รายการ

ชื่อเรื่อง                     สพ.ส.14 จันทโครบประเภทวัสดุ/มีเดีย       สมุดไทยขาวISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                  วรรณคดีลักษณะวัสดุ              125; หน้า : ไม่มีภาพประกอบหัวเรื่อง                    วรรณคดี              ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก                   ประวัติวัดป่าเลไลยก์ ต.รั้วใหญ่  อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี มอบให้หอสมุดฯ วันที่ 16 ส.ค.2538 


กรมศิลปากร.  กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ.  นิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่องประชาพร้อมพรัก อนุรักษ์มรดกไทย ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร.  กรุงเทพฯ  :  กรมศิลปากร,  2532.          แสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ประชาชนมอบให้พิพิธภัณฑสถาน วิธีการอนุรักษ์โบราณวัตถุ การสำรวจและการขึ้นทะเบียนวัตถุ ข้อควรทราบเกี่ยวกับการจัดกลุ่มของศิลปวัตถุ สถิติ แผนภูมิ และทำเนียบนามผู้มอบศิลปะโบราณวัตถุให้แก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ.


 วัดโพธิ์ศิลา บ้านเปือย หมู่ที่ ๖ ตำบลเปือย อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ มีลักษณะเป็นเนินดินสูง สภาพปัจจุบันปูพื้นด้วยศิลาแลง มีบันไดทางขึ้นเนินอยู่ด้านทิศตะวันตก ส่วนรอบเนินอีกสามด้าน  มีขอบกั้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ถัดลงไปเป็นเขื่อนหินกั้นดินสไลด์ และได้มีการนำใบเสมามาปักเรียงใหม่เป็น ๒ แถว อยู่บนพื้นที่ปูด้วยศิลาแลง รวมจำนวน ๑๖ ใบ สลักจากหินทราย มีขนาดใหญ่ ที่ฐานสลักเป็นกลีบบัวคว่ำ-บัวหงาย ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชำรุด แตก หัก มี ๒ ใบ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ใบเสมาวัดโพธิ์ศิลากำหนดอายุอยู่สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้นในวัฒนธรรมทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๕           เสมาใบที่ ๑ สลักลวดลายกลีบบัวคว่ำ บัวหงาย รองรับสันนูนตรงกลางคล้ายสถูปยอดเรียวชะลูดจนสุดปลายใบ อีกด้านสลักลวดลายคล้ายกันมีหม้อปูรณฆฏะ(หม้อน้ำ)ที่ส่วนยอด ซึ่งมีการแตกหักหายไปบางส่วน             เสมาใบที่ ๒ สลักลวดลายหม้อปูรณฆฏะ(หม้อน้ำ)รองรับสันนูนตรงกลางคล้ายสถูปยอดเรียวชะลูดจนสุดปลายใบ อีกด้านสลักคล้ายกันมีฐานบัวสลักลายรูปธรรมจักรแทรกที่ส่วนยอด สภาพยอดแตก บิ่นเล็กน้อย  ใบเสมาวัดโพธิ์ศิลา กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๓๑ ง หน้า ๒ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๕ มีพื้นที่โบราณสถานประมาณ ๖ ไร่ ๑ งาน ------------------------------------------------ อ้างอิงจาก - คันฉาย มีระหงส์. รายงานผลการตรวจสอบโบราณสถานวัดโพธิ์ศิลา. (เอกสารอัดสำเนา), กลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี, ๒๕๖๑. - สิริพัฒน์  บุญใหญ่ และคณะ. รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดี โบราณสถาน ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี, ๒๕๕๙, หน้า ๑๒๗.    ------------------------------------------------ ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๙ อุบลราชธานี https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02Mp6rqU38t8gXiegT72DkRjdPouNWB9AWdZ8NZRuv7zcnd142sR11HNk1aFXmDCJwl&id=835594323191791


          ถ้ำหมอเขียว ตั้งอยู่ที่ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นเพิงผาบนเทือกเขาหินปูน อยู่ห่างจากชายทะเลประมาณ 8 กิโลเมตร ลักษณะเป็นเพิงผาที่มีความยาวประมาณ 30 เมตร โดยมีคูหาขนาดกว้างประมาณ 3 เมตร 2 คูหา ขนาบข้างในด้านทิศตะวันออกและตะวันตก           มีเรื่องเล่าของคนในพื้นที่ว่าเดิมมีหมอสมุนไพรชื่อ “เขียว” อาศัยอยู่ในบริเวณถ้ำ ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ถ้ำหมอเขียว” ต่อมาเมื่อหมอเขียวเสียชีวิตลง ชาวบ้านได้มาขุดหาขี้ค้างคาวไปขาย ทำให้พบร่องรอยหลักฐานที่ถูกขุดขึ้นมาขณะขุดขี้ค้างคาว           การขุดค้นทางโบราณคดีที่ถ้ำหมอเขียว เริ่มขึ้นโดยอาจารย์สุรินทร์ ภู่ขจร ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ได้ขุดค้นภายใต้โครงการวิจัยวัฒนธรรมโหบินเนียนในประเทศไทย ดำเนินการขุดค้นในปี พ.ศ. 2534 และ พ.ศ. 2537 หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2551 อาจารย์ประสิทธิ์ เอื้อตระกูลวิทย์ ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ได้ขุดค้นที่ถ้ำหมอเขียวอีกครั้งเพื่อตรวจสอบการใช้พื้นที่เพิ่มเติม           ผลการขุดค้นทั้งสองครั้งโดยสรุป พบโครงกระดูกมนุษย์จำนวน 4 โครง เป็นเด็ก 1 โครง และผู้ใหญ่ 3 โครง รูปแบบการฝังศพมีทั้งการฝังในท่างอเข่า 1 โครง และท่านอนหงายเหยีดยาว 3 โครง ทั้งสี่โครงกำหนดอายุได้ในช่วงประมาณ 25,000-10,000 ปี ตรงกับสมัยหินเก่าตอนปลายถึงช่วงก่อนสมัยหินใหม่ นอกจากนี้ยังพบเครื่องมือหินกะเทาะหน้าเดียว เครื่องมือหินกะเทาะสองหน้า สะเก็ดหิน เครื่องมือกระดูกสัตว์ ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ เปลือกหอย ชิ้นส่วนเมล็ดพืช และร่องรอยการใช้ไฟ เมื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบหลักฐานจากการขุดค้นแล้ว ผู้ขุดค้นสันนิษฐานว่า ถ้ำหมอเขียวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ก่อน 25,000 ปีมาแล้วจนถึงราว 3,000 ปีมาแล้ว และใช้พื้นที่อยู่อาศัยร่วมกับการฝังศพในช่วงประมาณ 25,000-10,000 ปีมาแล้ว           โครงกระดูกมนุษย์ที่พบที่ถ้ำหมอเขียวซึ่งกำหนดอายุจากตัวอย่างถ่านที่พบร่วมกับได้อายุประมาณ 25,000 ปีมาแล้ว จัดได้ว่าเป็นโครงกระดูกมนุษย์ โฮโม เซเปียนส์ ที่เก่าที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับถ้ำตาบน ประเทศฟิลิปปินส์ และถ้ำนีอาห์ ประเทศอินโดนีเซีย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะพบร่องรอยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ถ้ำหลังโรงเรียน จังหวัดกระบี่ กำหนดอายุได้ถึง 37,000 ปีมาแล้ว แต่ก็ไม่พบโครงกระดูกมนุษย์โดยตรง อันจะเป็นตัวเชื่อมในการทำความเข้าในพัฒนาการทางกายภาพและวัฒนธรรมของมนุษย์สมัยใหม่ได้ชัดเจนขึ้น การศึกษาลักษณะทางกายภาพของรูปกะโหลกยังบ่งชี้ว่ามนุษย์โบราณที่ถ้ำหมอเขียวอาจมีบรรพบุรุษร่วมกับชนพื้นเมืองดั้งเดิมของออสเตรเลีย และชนพื้นเมืองบริเวณหมู่เกาะในทะเลแปซิฟิกอีกด้วย           ส่วนหลักฐานประเภทเครื่องมือหิน กระดูกสัตว์และเปลือกหอย พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องมือ และประเภทของกระดูกสัตว์อย่างชัดเจนระหว่างสมัยหินเก่าตอนปลายและสมัยหินใหม่ โดยในสมัยหินเก่าตอนปลายพบกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่จำพวก เก้ง/กวาง วัว/ควาย หมี ใช้เครื่องมือหินกะเทาะขนาดใหญ่ และนิยมบริโภคหอยน้ำจืดมาก ส่วนสมัยหินใหม่พบกระดูกสัตว์ขนาดเล็กลง เช่น ลิง ค่าง ชะนี หมูป่า อีเห็น มีการบริโภคหอยน้ำเค็มมากขึ้น และใช้เครื่องมือหินขัดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นการปรับตัวเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปในช่วงไพลสโตซีนตอนปลาย ซึ่งเป็นเป็นช่วงน้ำทะเลลดต่ำ ไปเป็นช่วงโฮโลซีนซึ่งอากาศอบอุ่นขึ้น และน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ถ้ำหมอเขียวจึงอยู่ใกล้ทะเลมากขึ้น และเปลี่ยนสภาพจากพื้นที่ป่าห่างไกลทะเลเป็นพื้นที่ใกล้ชายฝั่งแทน   -------------------------------------------------- แหล่งที่มาข้อมูล • White, Joyce C. (2011). “Emergence of cultural diversity in mainland Southeast Asia: a view from prehistory.” in Dynamics of Human diversity, 19. Acessed May 20. Available from http://seasiabib.museum.upenn.edu:8001/.../2011_White.pdf • Forestier, Hubert et al. (2021). “Hoabinhian variability in Mainland Southeast Asia revisited: The lithic assemblage of Moh Khiew Cave, Southwestern Thailand.” Archaeological Research in Asia, 25. Acessed May 20. Available from https://doi.org/10.1016/j.ara.2020.100236 • Matsumura, Hirofumi and Surin Pookajorn. (2005). “A Morphometric analysis of the Late Pleistocene Human Skeleton from the Moh Khiew Cave in Thailand.” Homo-Journal of Comparative Human Biology 56: 93-118. • ธนิก เลิศชาญฤทธิ์. (2561). “มนุษย์สมัยใหม่รุ่นบุกเบิกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ซากบรรพชีวินและหลักฐานทางโบราณคดี.” วารสารมานุษยวิทยา 1, 1 (มกราคม-มิถุนายน), 11. • โครงการวิจัยวัฒนธรรมโหบินเนียนในประเทศไทย. (2534). รายงานเบื้องต้นการขุดค้นที่ถ้ำหมอเขียว จ.กระบี่, ถ้ำซาไก จ.ตรัง และการศึกษาชาติพันธุ์วิทยาทางโบราณคดีชนกลุ่มน้อยเผ่าซาไก จ.ตรัง. กรุงเทพฯ: โครงการฯ. • อำพล ไวศยดำรง. (2535). “ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างหอยที่ได้จากการขุดค้นทีถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ และถ้ำซาไก จังหวัดตรัง ประจำปี พ.ศ. 2534.” สารนิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. • พิชญ ปานมี. (2551). “รูปแบบเครื่องมือหิน: การขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีถ้ำหมอเขียว อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ปี พ.ศ. 2551.” เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคลปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร.   ------------------------------------------------ เรียบเรียงข้อมูล/กราฟฟิค : สิริยุพน ทับเป็นไทย นักโบราณคดีปฏิบัติการ และ โสมสินี สุขเกษม นักวิชาการวัฒนธรรม สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช เผยแพร่ข้อมูลทาง https://www.facebook.com/100055227468299/posts/516868276830750/?d=n  


ชื่อเรื่อง                     การอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม จังหวัดปทุมธานีผู้แต่ง                       สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานีประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                   ประวัติศาสตร์เลขหมู่                      959.9313 ส691กสถานที่พิมพ์               ปทุมธานีสำนักพิมพ์                 กิตติพงศ์การพิมพ์ปีที่พิมพ์                    2545ลักษณะวัสดุ               92 หน้า : ภาพประกอบ ; 30 ซม.หัวเรื่อง                     การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย                              ปทุมธานี -- ความเป็นอยู่และประเพณีภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก           หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงจังหวัดปทุมธานี ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน และมีแหล่งทรัพย์สินมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์หลายแห่ง มุ้งเน้นด้านการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่เป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ ภายในจังหวัดปทุมธานีและข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูและการอนุรักษ์    


“บัว” ดอกไม้แห่งศาสนาและความเชื่อ"บัว" ได้รับการขนานนามว่า "ราชินีแห่งไม้น้ำ" เป็นพืชล้มลุกที่เติบโตในหนองน้ำ แอ่งน้ำตื้น บริเวณน้ำตื้นของทะเลสาบและแม่น้ำ เจริญเติบโตได้ตลอดทั้งปีในสภาพอากาศอบอุ่นและชื้น เป็นพืชที่มีความทนทานสามารถเอาชีวิตรอดได้ดีชนิดหนึ่ง นอกจากเป็นดอกไม้ให้ความสวยงามแล้วส่วนต่าง ๆ ของบัวยังสามารถนำไปใช้เป็นอาหาร ยา และประโยชน์อื่น ๆ ในชีวิตประจำวันอีกเช่นกันเชื่อว่าดอกบัวเป็นพืชที่พบอยู่ทั่วไปในแหล่งอารยธรรมโบราณแรก ๆ ของโลกหลายแห่ง เนื่องด้วยคุณสมบัติพิเศษโดยธรรมชาติของดอกบัวซึ่งถึงแม้จะเติบโตในน้ำที่เป็นโคลนตมแต่เมื่อชูดอกพ้นน้ำเพื่อรับแสงแดดดอกกลับสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากโคลนตมแต่อย่างใด ผู้คนในสมัยโบราณจึงนำดอกบัวมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความสงบสุข การเกิดใหม่และความอุดมสมบูรณ์ อาทิ ในอารยธรรมอียิปต์โบราณมักปรากฏภาพดอกบัวตามผนังของพีระมิด หลุมฝังศพ แม้กระทั่งตามหัวเสาของโบสถ์ วิหาร ก็พบลายสลักรูปดอกบัว รวมทั้งได้นำลักษณะการบานและหุบของดอกบัวมาผูกเข้ากับกำเนิดเทพโฮรัส (Horus) ในอารยธรรมอินเดียโบราณก็มีการใช้ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์มานานแล้วดังจะเห็นได้จากคัมภีร์ทางศาสนาต่าง ๆ งานสถาปัตยกรรม งานจิตรกรรม งานประติมากรรมล้วนแล้วแต่พบดอกบัวปรากฏร่วมอยู่ด้วยทั้งสิ้น โดยตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ดอกบัวมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างโลก และเป็นสัญลักษณ์ของพระลักษมี ชายาของพระนารายณ์ ในขณะที่ทางพระพุทธศาสนา ดอกบัวเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า ทั้งยังมีบทบาทในพุทธประวัติหลายตอน รวมถึงหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาด้วย เมื่อศาสนาต่าง ๆ ในอินเดียไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์ - ฮินดู หรือแม้แต่พุทธศาสนาได้แผ่ขยายไปยังดินแดนต่าง ๆ ที่ยอมรับนับถือศาสนานั้น ๆ ก็ได้นำพาความนิยมดอกบัวไปยังดินแดนนั้น ๆ ด้วยจะเห็นได้ว่าจากการนำคุณสมบัติพิเศษตามธรรมชาติของดอกบัวมาผนวกรวมกับความเชื่อซึ่งหล่อหลอมกลายเป็นศาสนาได้ทำให้มรดกภูมิปัญญาต่าง ๆ ที่มีดอกบัวเป็นต้นแบบ เช่น รูปเคารพทางศาสนา งานสถาปัตยกรรม งานจิตรกรรม ลวดลายต่าง ๆ ในศิลปะไทย เจริญงอกงามและหยั่งรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมไทยจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้




ชื่อผู้แต่ง        ทวี วรคุณ ชื่อเรื่อง         วัดดอนบุญ  งานฉลองศาลาการเปรียญวัดชะอำ ครั้งที่พิมพ์     - สถานที่พิมพ์   กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์     ชัยศิริการพิมพ์ ปีที่พิมพ์        ๒๕๒๔ จำนวนหน้า    ๕๔๓ หน้า รายละเอียด                   หนังสือเล่มนี้นายทวี วรคุณ ตั้งใจที่จะเขียนให้กับเจ้าประคุณสมเด็จป๋า(สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช) เนื้อหาประกอบด้วยเรื่องราวของวัดดอนบุญที่เป็นจินตนิยายอิงธรรมะ จากนั้นท่านเจ้าคุณพระอมรสุธี วัดเชตุพนวิมลมังคลาราม ผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดและเป็นเลขานุการรูปหนึ่งของเจ้าประคุณสมเด็จป๋า และกรรมการดำเนินงานสร้างศาลาการเปรียญวัดชะอำ ได้ขออนุญาตตีพิมพ์เรื่องวัดดอนบุญ เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ตามวัตถุประสงค์ของสภาพระธรรมถึก และเพื่อเป็นปฏิการต่อท่านผู้บริจาคร่วมกุศลผ้าป่าฉลองศาลาการเปรียญ    วัดชะอำพร้อมน้อมถวายเป็นเครื่องบูชาต่อเจ้าประคุณสมเด็จป๋าด้วยความคารวะอย่างสูงสุด          


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 147/2 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/5กเอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : กำลังความคิด ชื่อผู้แต่ง : หลวงวิจิตรวาทการ ปีที่พิมพ์ : 2494 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : วรรธนะวิบูลย์ จำนวนหน้า : 552 หน้าสาระสังเขป : เป็นเรื่องราวของการสร้างสมรรถภาพของมันสมอง การฝึกประสาท ทางตา ทางหู ทางกาย ทางใจ สมาธิ ปฏิภาณ เหตุผล การตัดสินใจ ลักษณะของศิลปิน มโนคติ ความจำ ความเฉียบแหลมคมคาย ความสังเกต การเปรียบเทียบ การทอดถ่ายความรู้เปรียบเทียบกำลังความคิดกับหัวข้อธรรมทางพุทธศาสนา


  ชื่อผู้แต่ง            พูนพิศมัย  ดิศกุล ม.ว.ม.,ท.จ.ว. ชื่อเรื่อง             สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ครั้งที่พิมพ์         พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์       กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์         โรงพิมพ์อักษรไทย ปีที่พิมพ์            ๒๕๒๘ จำนวนหน้า        ๑๗๔ หน้า : ภาพประกอบ. หมายเหตุ          พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ม.ว.ม.,ท.จ.ว.  ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๓                       เป็นหนังสือเกี่ยงกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น เป็นบันทึกของเจ้านายพระองค์หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งก่อนและหลังในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งหาอ่านไม่ได้ในเอกสารประวัติศาสตร์เล่มอื่นๆ เพราะทำให้เห็นภาพทางฟากฝั่งเจ้านายว่าจะต้องเผชิญอะไรบ้างในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง เห็นภาพไม่วางไว้ใจกันระหว่างคณะราษฎรกับกลุ่มเจ้า


ชื่อเรื่อง : พระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ชื่อผู้แต่ง : ชัยมงคล อุดมทรัพย์ ปีที่พิมพ์ : 2504 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : สันติธรรม จำนวนหน้า : 636 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โดยได้รวบรวมเรื่องราวจากข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพระประวัติของพระองค์ท่าน ทั้งทางด้านการศึกษา การทรงงาน ศาสนา ความเชื่อ ความศรัทธา รวมถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านในด้านการกีฬา งานศิลปะ งานพระนิพนธ์ และชีวิตส่วนพระองค์ เป็นต้น


ชื่อเรื่อง        วารสารคหเศรษฐศาสตร์  (ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 กรกฎาคม 2501) ชื่อผู้แต่ง       สมาคมคหเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย  ครั้งที่พิมพ์     - สถานที่พิมพ์   ธนบุรี   สำนักพิมพ์     โรงพิมพ์บรรหาร ปีที่พิมพ์        ๒๕๐1 จำนวนหน้า    92 หน้า รายละเอียด                   เป็นวารสารวิชาการสำหรับชาวคหกรรมศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ แนวคิดทางคหกรรมศาสตร์และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ภายในเล่มประกอบด้วย 14 บทความ เช่น อาหารหน้าร้อน  อาหารอนามัย ความสำคัญของนมมารดา ฯลฯ