ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,748 รายการ



          วันเสาร์ที่ ๒ กรกฏาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากรร่วมพิธีบวงสรวงบูรณะโบราณสถานภายในวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีพระธรรมวชิรญาณ ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นประธานฝ่ายพระสงฆ์ และท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ กรรมการที่ปรึกษาโครงการบูรณปฏิสังขารวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นประธานในพิธีบวงสรวงในครั้งนี้ โดยนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร จุดธูปเทียนและถวายเครื่องสักการะพระพุทธไสยาสน์ และตอกสกัดจุดที่จะดำเนินการบูรณะ โดยมีคณะกรรมการร่วมงาน ได้แก่ นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา นายสด แดงเอียด อดีตอธิบดีกรมการศาสนา และคณะกรรมการโครงการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ทุกฝ่ายพร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติ ณ มณฑลพิธีลานหน้าพระเจดีย์ ด้านล่าง วัดบวรนิเวศวิหาร


ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตสำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน ได้อธิบายเรื่องวันเข้าพรรษาไว้ ดังนี้ เข้าพรรษา เริ่มในวันแรม 1 ค่ำเดือนแปดในปีปรกติ และเริ่มวันแรม 1 ค่ำเดือนแปดหลัง ในปีที่มีเดือนแปดสองหน ซึ่งเรียกว่า อธิกมาส วันแรม 1 ค่ำ เรียกว่า วันเข้าพรรษา พรรษาสิ้นสุดในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ซึ่งเรียกว่า ออกพรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งตลอดช่วงฤดูฝน ห้ามเดินทางไปค้างแรมที่อื่น นอกจากในกรณีจำเป็นเป็นพิเศษ เรียกว่า อยู่จำพรรษา ประเพณีเทศกาลพรรษาในประเทศไทย เทศกาลเข้าพรรษา ถือเป็นเทศกาลทางศาสนาพุทธที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย มีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน ซึ่งพุทธศาสนิกชนไทยนับแต่พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภกและประชาชนทั่วไปได้สืบทอดประเพณีการทำบุญในวันเข้าพรรษามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 (ด้านที่ 2) ความว่า "... คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มันโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทังชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทังหลายทังผู้ชายผู้ญีง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน..." ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ประเพณีในเทศกาลเข้าพรรษายังถูกกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือน อาทิ การทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในเทศกาลเข้าพรรษา การพระราชกุศลทรงหล่อเทียนพรรษา การพระราชกุศลฉลองเทียนพรรษา การเสด็จพระราชดำเนินถวายพุ่ม ซึ่งได้ถือปฏิบัติต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้จะขอยกตัวอย่างประเพณีที่เกี่ยวเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุโดยสังเขป ดังนี้ การพระราชกุศลทรงหล่อเทียนพรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บอกบุญ นำสีผึ้งมาช่วยหล่อ โดยสำนักพระราชวังจะแจ้งให้พระบรมวงศานุวศ์ องคมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และข้าราชการกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ส่งขี้ผึ้งมาร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลหล่อเทียนพรรษาได้ ดังปรากฏเอกสารจดหมายเหตุที่สำนักพระราชวังมีหนังสือแจ้งไปยังกระทรวงวัฒนธรรม เรื่องการพระราชกุศลหล่อเทียนวรรษา 2500 เจ้าพนักงานพระราชพิธีจะอัญเชิญเทียนพรรษาที่หล่อและตกแต่งลวดลายแล้วถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจิมและทรงพระสุหร่าย แล้วอัญเชิญเทียนพรรษาสำหรับทรงพระราชอุทิศพระราชทานไปจุดบูชาพระรัตนตรัยและพระพุทธเจดียสถานตามพระอารามหลวงสำคัญในกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดต่าง ๆ เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา การพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษา ในช่วงก่อนพุทธศักราช 2501 เรียกเพียง การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษา แต่หลังจากที่ทางคณะสงฆ์มีการกำหนดให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง ในปีพุทธศักราช 2501 สำนักพระราชวังจึงได้กำหนดเพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลในวันอาสฬหบูชาเพิ่มเติมขึ้นมาด้วยอีกวันหนึ่ง เรียกว่า พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลเข้าพรรษา พระมหากษัตริย์จะเสด็จไปในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษา บางครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแทนพระองค์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ทรงจุดเทียนพรรษา จุดเทียนเครื่องนมัสการและทรงถวายพุ่มเทียนเครื่องบูชาแก่พระพุทธปฏิมาและพระราชาคณะ รวมทั้งการพระราชทานภัตตาหารแก่พระสงฆ์ ซึ่งรับอาราธนามารับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวัง จำนวน 150 รูป ในวันเข้าพรรษาทุกปี เป็นการแสดงถึงพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนทั่วไปนั้น ในเทศกาลเข้าพรรษาถือเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญ ตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา ที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือ ร่วมกันหล่อเทียนพรรษา จัดขบวนแห่เทียนพรรษา ถวายเทียนเข้าพรรษาหรือหลอดไฟ จุดบูชาตามอาราม และเพื่อให้พระภิกษุ สามเณรนำไปจุดอ่านคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาในระหว่างจำพรรษา เป็นกุศลทานอย่างหนึ่งในการให้ทานด้วยแสงสว่าง และถวายผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) พร้อมด้วยจตุปัจจัยถวายแด่พระภิกษุ สามเณร และรักษาอุโบสถศีล อธิษฐานตั้งใจทำความดี หรืองดเว้นอบายมุขต่าง ๆ ตามกำลังศรัทธาและความสามารถของตน อาทิ งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ ตลอดพรรษากาล ผู้เรียบเรียง นางสาวธิดา อ้นหอม นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ -------------------- อ้างอิง จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. กรุงเทพฯ : ศิลปาบรรณาคาร, 2552. สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ. พระราชพิธีและรัฐพิธีในรัชกาลปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, 2550. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ ศธ.0701.22/5 เรื่องเข้าพรรษา พ.ศ. 2475-2484-2501 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพส่วนบุคคล เจ้ากาวิละวงศ์ ณ เชียงใหม่ ภ.สบ.19.2.1/43 เรื่อง แห่เทียนพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพเหตุการณ์ร่วมสมัย ฉ/ร/675 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทรงเจิมเทียนพรรษาที่จะทรงพระราชอุทิศพระราชทานไปจุดบูชาพระรัตนตรัย ยังพระอารามหลวงต่าง ๆ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน (2521) หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพเหตุการณ์ร่วมสมัย ฉ/ร/916 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตร เนื่องในโอกาสเทศกาลเข้าพรรษา (2522) วันเข้าพรรษา ราชบัณฑิตยสถาน เข้าถึงได้จาก https://web.archive.org/.../th/knowledge/detail.php... จารึกพ่อขุนรามคำแหง ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เข้าถึงได้จาก https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/47 #จดหมายเหตุ



         มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๔ กันยายน ๒๔๐๕ วันประสูติพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา          พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าสาย ประสูติเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๔๐๕ เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี ประสูติแต่หม่อมจีน (ต่อมาหม่อมจีนได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าจอมมารดาจีน)         หม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์ เมื่อประสูติ ประทับอยู่ที่วังของพระบิดา โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร เป็นผู้อภิบาล มีพระโสทรเชษฐภคินีสองพระองค์ และได้รับราชการฝ่ายในเป็นพระอรรคชายาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกันทั้งสามพระองค์ คือ หม่อมเจ้าบัว ลดาวัลย์ เมื่อเป็นพระมเหสี มีพระอิสริยยศเป็นพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค ต่อมาได้ทรงกรมเป็นกรมขุนอรรควรราชกัลยา, หม่อมเจ้าปิ๋ว ลดาวัลย์ เมื่อเป็นพระมเหสี มีพระอิสริยยศเป็นพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ และหม่อมเจ้าสาย ลดาวัลย์ มีพระอิสริยยศเป็นพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ต่อมาได้ทรงกรมเป็นกรมขุนสุทธาสินีนาฏ        พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ ทรงรับราชการฝ่ายในเป็นพระภรรยาเจ้าทรงอิสริยยศเป็นพระมเหสี ตำแหน่ง พระอรรคชายาเธอ มีหน้าที่ควบคุมดูแลห้องพระเครื่องต้น ของเสวยคาวหวาน อีกทั้งทรงเป็นผู้ที่ตั้งโรงเลี้ยงเด็กขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย บริเวณตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง อุทิศพระกุศลประทานพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ที่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงรับเด็กกำพร้าและเด็กยากจนมาเลี้ยงดู สอนให้เล่าเรียน และฝึกวิชาชีพทั้งหญิงและชาย ทรงเป็นองค์อุปนายิกาสภาอุณาโลมแดง (สภากาชาดไทย) ในสมัยหนึ่งอีกด้วย ในรัชกาลที่ ๗ ทรงสถาปนาเป็นพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา        พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา มีพระประสูติการพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งหมด ๔ พระองค์ เป็นพระราชโอรส ๑ พระองค์ เป็นพระราชธิดา ๓ พระองค์ ทั้งหมดเดิมมีพระอิสริยยศเป็น "พระองค์เจ้า" ภายหลังได้รับพระราชทานพระอิสริยยศขึ้นเป็น "สมเด็จเจ้าฟ้า" ดังนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านภาจรจำรัสศรี ภัทรวดีราชธิดา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามาลินีนภดารา ศิรินิภาพรรณวดี กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี ทรงเป็นพระสุณิสา และพระราชมารดาในพระราชนัดดาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔        พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๗ ณ ตำหนักในสวนสุนันทา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๒ สิริพระชันษา ๖๖ ปี     ภาพ : พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา


         แม้เวลาล่วงเลยมากว่า ๑๑๒ ปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต แต่พระราชกรณียกิจอันทรงปฏิบัติสืบมาตลอดพระชนม์ชีพยังคงเป็นที่จดจำ ทำให้ทุกวันที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่ควรค่าแก่การรำลึกถึงพระพุทธเจ้าหลวงผู้เป็นที่รักของปวงประชา วันนี้ เพจคลังกลางฯ ขอร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ นำเสนอวัตถุเป็น “ย่ามหนัง” ของขวัญพระราชทานฝากจากยุโรป สื่อแสดงพระราชไมตรีต่อคณะสงฆ์อนัมนิกาย        เบื้องต้นเท้าความถึงจุดเริ่มต้นของคณะสงฆ์อนัมนิกาย เข้ามาอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยลัทธิประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติของมหายานนิกาย โดยโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์เจ้าอาวาสวัดญวนตลาดน้อย (องฮึง) เข้าเฝ้าสนทนาจนเป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัย ต่อมาจึงโปรดให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดญวนตลาดน้อย และมีพระบรมราชานุญาติให้คณะอนัมนิกายร่วมประกอบพิธีสำคัญในราชสำนัก ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอุปถัมภ์วัดอนัมนิกายสืบมา โดยพระราชทานนามวัดอุภัยราชบำรุง (อุภัย หมายถึง ทั้งสอง) อันมีความหมายว่า อารามอันสองกษัตริย์ทรงอุปถัมภ์ และโปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ “องฮึง” ขึ้นที่ “พระครูคณานัมสมณาจารย์” ปฐมเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย ปฏิบัติหน้าที่ดูแลคณะสงฆ์อนัมนิกาย ภายใต้สังฆมลฑลในพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช        โดยหนึ่งในหลักฐานที่แสดงถึงพระราชไมตรีต่อคณะสงฆ์อนัมนิกาย คือ ถุง (ย่าม) หนังคุณภาพดีจากยุโรป สีน้ำตาลเหลือง ร้อยสายสะพายด้วยเชือกเกลียวสีน้ำตาล พิมพ์ลายดาราและพระปรมาภิไธยย่อ จปร ระบุข้อความ ของพระราชทานฝาก เมื่อเสด็จพระราชดำเนินประเทศยุโรป รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๖ มีประวัติระบุว่า “พระคณานัมสมจารย์ (องสุตบทบวร) ถวายเมื่อ ๒๐ มกราคม ๒๔๗๓” ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติของผู้มอบย่ามหนังชิ้นนี้ พบว่ามีประเด็นศึกษาที่น่าสนใจว่า... พระคณานัมสมณาจารย์ (องสุตบทบวร) ผู้ถวายถุง (ย่าม) หนังชิ้นนี้คือใคร?        ทั้งนี้ จากการตรวจสอบรายนามเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย มีผู้ดำรงสมณศักดิ์พระครูคณานัมสมณาจารย์ถึง ๙ องค์ ทว่า ในช่วงรัชกาลที่ ๕ มีพระเถระดำรงสมณศักดิ์ดังกล่าวเพียง ๔ องค์ คือ พระครูฮึง (วัดอุภัยราชบำรุง) พระครูกร่าม (วัดอนัมนิกายาราม) พระครูจี๊หลับ (วัดสมณานัมบริหาร) และพระครูทันเคี้ยด (วัดอุภัยราชบำรุง) ส่วนนาม “องสุตบทบวร” เป็นลำดับฐานานุกรมในพระครูคณานัมฯ ตำแหน่งปลัดซ้าย นำมาซึ่งข้อสันนิษฐานว่าผู้ถวายถุง (ย่าม) หนังชิ้นนี้ อาจเคยดำรงตำแหน่งองสุตบทบวรในสมัยรัชกาลที่ ๕ กระทั่งต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่งพระครูคณานัมสมณาจารย์ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๗๓)         แม้ไม่มีการระบุช่วงเวลาดำรงตำแหน่งของคณะสงฆ์อนัมนิกายอย่างชัดเจน แต่ “บัญชีบรรพชิตมหายาน ฝ่ายคณะอานัมนิกายแลคณะจีน ศก ๑๑๖” (๑๐ ปีก่อนเสด็จประพาสยุโรป) ระบุว่าพระครูคณานัมฯ ขณะนั้นสถิต ณ วัดสมณานัมบริหาร ดังนั้น ย่ามหนังชิ้นนี้จึงต้องเป็นของขวัญพระราชทานตั้งแต่ช่วงพระครูจี๊หลับเป็นต้นไป ซึ่งสอดรับกับประวัติของ “เวียงหมาง-มัก” ผู้ดำรงตำแหน่งองสุตบทบวรในพระครูทันเคี้ยด สมัยรัชกาลที่ ๕ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระครูคณานัมสมณาจารย์ เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกายลำดับที่ ๖ เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๓        จึงพอสรุปได้ว่าถุง (ย่าม?) หนังคุณภาพดีชิ้นนี้ คงเป็นของขวัญพระราชทานแก่พระเถระผู้ใหญ่อนัมนิกาย ตั้งแต่พระครูคณานัมสมณาจารย์ (ทันเคี้ยด) และฐานานุกรม ทั้งพระครูบริหารอนัมพรต องสรภาณมธุรส (เหมิกโงน-บี๊) องสุตบทบวร (เวียงหมาง) องสรพจนสุนทร (เพื้องเกี่ยน) องพจนกรโกศล (เท้ย) และองอนนญ์สรภัญ (ตึ๊ลิน) กระทั่งองสุตบทบวร (เวียงหมาง) ได้รับการสถาปนาขึ้นที่พระครูคณานัมฯ จึงถวายถุง (ย่าม?) นี้ไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยปัจจุบันเคลื่อนย้ายจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มาเก็บรักษาที่อาคารคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ          เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ และพลอยไพลิน ปุราทะกา ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ / ภาพโดย กิตติยา เชื้อทอง นายช่างภาพปฏิบัติงาน / เทคนิคภาพโดย พลอยไพลิน ปุราทะกา ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร


           คติการสร้างพระพุทธรูป เป็นการสร้างขึ้นเพื่อแทนคุณแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วย พร มหากรุณาธิคุณ (มีคุณด้วยความเมตตากรุณาต่อสัตว์โลก) พระวิสุทธิคุณ (มีคุณด้วยจิตวิสุทธิ์) และพระปัญญาธิคุณ (มีคุณด้วยปัญญา) พระพุทธรูปจึงมิใช่รูปเสมือนจริง แต่สร้างขึ้นตามอุดมคติตามแนวของมหาบุรุษ ผู้บำเพ็ญ บารมีพร้อมสมบูรณ์กอปรด้วยความงาม ตามสุนทรียภาพหรือความรู้สึกถึงความงดงามของช่างฝีมือแต่ละยุคสมัย พระพุทธรูปแต่ละองค์ที่สร้างขึ้น ต่างมีคุณลักษณะเปี่ยมด้วยสรรพสิริสวัสดิมงคลต่าง ๆ อันเป็นเครื่องน้อมนำ ให้พระพุทธศาสนิกชนยึดมั่น ศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกุศโลบายให้ตรึกถึงพระธรรมที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงอันเป็นหนทางพ้นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร           เนื่องในเทศกาลปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๖ กรมศิลปากร โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดกิจกรรมพิเศษสักการะพระพุทธรูปประจำวัน โดยมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นพระประธาน พร้อมด้วยพระพุทธรูปประจำวันอีก ๙ องค์ ซึ่งล้วนมีประวัติความเป็นมายาวนาน และกอปรด้วยพุทธศิลป์อันงดงาม มาประดิษฐานให้ประชาชนสักการบูชา เพื่อความเป็นสิริมคลในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ ประกอบด้วย ๑. พระพุทธสิหิงค์ ศิลปะ สุโขทัย-ล้านนา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐–๒๑ (๕๐๐-๖๐๐ ปีมาแล้ว) ประวัติ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้าพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเชียงใหม่เมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๘ ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร             พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปสัมฤทธิ์กะไหล่ทอง ประทับขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบน พระเพลาแสดงปางสมาธิ  เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ตามตำนานพระ พุทธสิหิงค์ได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นสิริยังพระนครหลวงโบราณหลายแห่ง นับแต่สุโขทัย เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา ตราบเท่าถึงกรุงรัตนโกสินทร์     ๒. พระพุทธรูปปางถวายเนตร พระพุทธรูปประจำวันอาทิตย์   ศิลปะ รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว)  ประวัติ สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร              พระพุทธรูปปางถวายเนตร อิริยาบถทรงยืนประสานพระหัตถ์ขวาวางไขว้ทับบนพระหัตถ์ซ้ายบริเวณ พระเพลา เหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ ๒ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงยืนอยู่ทางทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ลืมพระเนตรเพ่งดูต้นไม้ตรัสรู้โดยมิได้กะพริบพระเนตรเป็นเวลา ๗ วัน สถานที่แห่งนั้น เรียกว่า “อนิมิสเจดีย์”   ๓. พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร พระพุทธรูปประจำวันจันทร์   ศิลปะ อยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๒ (๔๐๐ ปีมาแล้ว)  ประวัติ สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร             พระพุทธรูปทรงเครื่องอาภรณ์ปางห้ามสมุทร ทรงยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองตั้งขึ้นเสมอพระอุระและหันฝ่า พระหัตถ์ทั้งสองออกด้านนอก แสดงเหตุการณ์พุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าไปอาศัยอยู่ในโรงบูชาเพลิงของ ชฎิลอุรุเวลกัสสปริมแม่น้ำเนรัญชรา พระพุทธองค์ทรงบันดาลด้วยอิทธิฤทธิ์ป้องกันไม่ให้น้ำท่วม และทรงทรมานพญานาคที่อาศัยอยู่ในโรงเพลิงให้หมดพิษร้าย เหล่าชฎิลเห็นถึงความอัศจรรย์ในที่สุดก็ยอมเป็นศิษย์ขอ      อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา   ๔. พระพุทธรูปไสยาสน์ พระพุทธรูปประจำวันอังคาร   ศิลปะ สุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (๖๐๐ ปีมาแล้ว) ประวัติ กรมศิลปากร ซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์หม่อมเจ้าปิยะภักดีนาถ สุประดิษฐ์ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๙             พระพุทธรูปอิริยาบถบรรทมตะแคงขวา พระหัตถ์ขวารองรับพระเศียรบนพระเขนย (หมอน) ส่วนพระ หัตถ์ซ้ายวางทาบไปกับพระวรกายเบื้องซ้าย พระบาทซ้ายซ้อนทับบนพระบาทขวา พระพุทธรูปอิริยาบถ บรรทมมีปรากฏในพุทธประวัติจากหลายเหตุการณ์ ในประเทศไทยนิยมสร้างพระพุทธรูปไสยาสน์เพียง ๒ เหตุการณ์ คือ ปางโปรดอสุรินทราหูกับปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน ส่วนในเหตุการณ์อื่น ๆ มักจะปรากฏใน งานจิตรกรรม     ๕. พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระพุทธรูปประจำวันพุธ ศิลปะ ล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ (๔๐๐-๕๐๐ ปีมาแล้ว) ประวัติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระราชทาน เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๙             พระพุทธรูปอิริยาบถยื่นพระกรทั้งสองออกไปโอบรับบาตร ตามเหตุการณ์พระพุทธประวัติ เมื่อ พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์ พระประยูรญาติจัดการรับเสด็จให้ประทับ ณ พระนิโครธารามวิหาร โดย มิได้มีตระกูลหนึ่งตระกูลใดกราบทูลให้รับภัตตาหารบิณฑบาตในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ พระพุทธองค์จึงเสด็จพร้อม พระสาวกเข้ามาบิณฑบาตภายในเมืองเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงสั่งสอนได้) ตามกิจของสงฆ์ เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบจึงเสด็จออกไปอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระสงฆ์สาวกให้เข้าไปกระทำภัตกิจ เสวยภัตตาหารในพระมหามณเฑียร     ๖. พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ พระพุทธรูปประจำวันพุธ กลางคืน (พระพุทธรูปบูชาแทนพระราหู) ศิลปะ รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว) ประวัติ ขุดพบจากกรุในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๐๗             พระพุทธรูปประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาคว่ำบนพระเพลา สร้างขึ้นตามพระพุทธประวัติเมื่อ คราวภิกษุเมืองโกสัมพี เกิดแตกความสามัคคีกัน แม้พระพุทธองค์จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง จึงทรงเสด็จ จาริกไปอยู่ตามลำพังพระองค์เดียวในป่าที่ชื่อว่าปาลิไลยกะ โดยมีช้างปาลิไลยกะถวายตนเป็นอุปัฏฐาก และ พญาวานรมีกุศลจิตนำรวงผึ้งติดกิ่งไม้มาถวายพระพุทธองค์ พระหัตถ์ซ้ายจึงวางหงายวางบนพระเพลาเป็นกริยาทรงรับ ๗. พระพุทธสิหิงค์จำลอง (ปางสมาธิ) พระพุทธรูปประจำวันพฤหัสบดี ศิลปะ รัตนโกสินทร์ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔-ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (ประมาณ ๑๕๐ ปีมาแล้ว) ประวัติ เป็นของอยู่ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์มาแต่เดิม             พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลาแสดงปางสมาธิ มีความหมายถึงพุทธประวัติเหตุการณ์ที่พระโพธิสัตว์ได้รับหญ้าคา ๘ กำ จากพราหมณ์มาปูลาดบนรัตนบัลลังก์เบื้อง ตะวันออกแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วทรงนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์วางหงายซ้อนกันบนพระเพลา เจริญสมาธิและ ทรงตั้งปณิธานว่าหากไม่บรรลุพระโพธิญาณจะไม่ลุกขึ้น     ๘. พระพุทธรูปปางรำพึง พระพุทธรูปประจำวันศุกร์ ศิลปะ อยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ (๕๐๐ ปีมาแล้ว) ประวัติ ขอยืมมาจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา             พระพุทธรูปยืนไขว้พระหัตถ์ทั้งสองข้างทับกันบริเวณพระอุระ แสดงเหตุการณ์ตามพุทธประวัติเมื่อครั้ง พระพุทธองค์ทรงรำพึงปริวิตกว่าพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น จะไม่สามารถเผยแผ่แก่สรรพสัตว์ให้เข้าใจได้โดยง่าย ท้าวสหัมบดีพรหมจึงมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์และกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่สรรพสัตว์ พระพุทธองค์ทรงพิจารณาถึงความแตกต่างของเหล่าสรรพสัตว์เปรียบกับดอกบัว ๓ เหล่า และมีพระประสงค์ที่ จะเผยแผ่พระธรรมต่อไป   ๙. พระพุทธรูปปางนาคปรก พระพุทธรูปประจำวันเสาร์ ศิลปะ รัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว)  ประวัติ สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร             พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบเหนือขนดนาค ๔ ชั้น เบื้องพระปฤษฎางค์เป็นลำตัวพญานาค ๗ เศียร แผ่พังพานปกเหนือพระเศียร ปางนาคปรก เหตุการณ์พุทธประวัติภายหลังจากตรัสรู้ในสัปดาห์ที่ ๖ พระ พุทธองค์เสด็จไปประทับบำเพ็ญสมาบัติ ณ ร่มไม้จิก (มุจลินทพฤกษ์) ขณะนั้นฝนได้ตกพรำอยู่ตลอด ๗ วัน พญานาคตนหนึ่งชื่อมุจลินทนาคราชอาศัยอยู่ในสระใหญ่ใกล้ ๆ ที่นั้น ได้ขึ้นมาแผ่พังพานและขดกายล้อมพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ถูกหมอกน้ำค้าง ลมและน้ำฝน  กระทั่งฝนหยุดตกจึงแปลงกายเป็นมาณพเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า     ๑๐. พระหายโศก ปางสมาธิเพชร (พระพุทธรูปบูชาแทนพระเกตุ) ศิลปะ ล้านนา พุทธศตวรรษ ๒๑ (๕๐๐ ปีมาแล้ว) ประวัติ กรมพระราชพิธีส่งมาจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๔             พระพุทธรูปนามมงคลว่า “พระหายโศก” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเพชร ประทับขัดสมาธิเพชรเห็น ฝ่าพระบาททั้งสองข้าง พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ พระเกตุเป็นเทวดานพเคราะห์ที่ประจำอยู่ในทิศ ท่ามกลาง และไม่เสวยอายุโดยตรง แต่เป็นเทวดาจรพลอยเข้าเสวยอายุร่วมกับเทวดาองค์อื่นและส่งเสริม ลักษณะดีและร้ายของพระเคราะห์ที่แทรกอยู่ด้วยนั้น            พระพุทธรูปปางสมาธิเพชร (บางตำราเป็นพระพุทธมารวิชัย) เป็นพระพุทธรูปปางประจำวันของผู้ที่ไม่ทราบวันเกิดของตน                     กรมศิลปากรขอเชิญพุทธศาสนิกชนสักการะพระพุทธรูปประจำวัน “มงคลพุทธคุณ” ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ถึงวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ทุกวัน  ไม่เว้นวันหยุดราชการ (พิเศษ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ - ๒ มกราคม ๒๕๖๖ เปิดเวลา ๐๙.๐๐ - ๑๙.๓๐ น.)    


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           42/5ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              44 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 140/7 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 175/6เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 39 จดหมายเหตุวันวลิต (ฉบับสมบูรณ์) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพงษ์ทอง ทองเจือ ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง วันที่ 5 กันยายน พุทธศักราช 2515ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2515 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์จำนวนหน้า : 136 หน้าสาระสังเขป : เนื้อความในจดหมายเหตุวันวลิตกล่าวถึงความเป็นไปตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และการจลาจลซึ่งเกิดขึ้นในกรุงศรีอยุธยาตลอดลงมาจนถึงพระองค์ไล (คือพระเจ้าปราสาททอง)ได้ราชสมบัติ ในจดหมายเหตุนี้เรียกสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเมื่อก่อนได้รับราชสมบัติว่า พระองค์ไล เรื่องราวก่อนที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจะได้รับราชสมบัติจดหมายเหตุนี้ก็เขียนไว้โดยละเอียด รวมทั้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองในสมัยกรุงศรีอยุธยา


"หมัดหนักโคราช" "ฉลาดลพบุรี" "ท่าดีไชยา" "ไวกว่าท่าเสา" วลีที่พูดถึงความโดดเด่นของสำนักครูมวยต่างๆ ของพื้นถิ่นตามภูมิภาคของไทย "มวย"เป็นศาสตร์ ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ส่วนของร่างกายเป็นอาวุธ เช่น หมัด เข่า เท้า ศอก ในการต่อสู้และป้องกันตัว มรดกทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งมีชีวิต มีจุดกำเนิด จุดพัฒนา และจุดสิ้นสุด การรักษา สืบทอด และพัฒนาต่อยอดวัฒนธรรมใดๆในพื้นถิ่นนั้นๆ ย่อมเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ "มวยไทย"ศาสตร์และศิลปะที่ได้รับการรักษา สืบทอด และพัฒนาต่อยอดให้เป็นเกมส์กีฬาแข่งขันกันในระดับท้องถิ่น ในระดับชาติ และในระดับโลกต่อไปในอนาคต ภาพการแข่งขันชกมวยไทย จิตรกรรมฝาผนังอุโบสถเก่า เขียนในปี พ.ศ.๒๔๙๐ วัดสามเรือน ต.นครป่าหมาก อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           12/1ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              42 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 54.8 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


เลขทะเบียน : นพ.บ.372/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 58 หน้า ; 4.5 x 50 ซ.ม. : ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 141  (1-6) ผูก 4 (2566)หัวเรื่อง : สุชวัณณจักกุมาร --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.505/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 48 หน้า ; 4 x 53 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องชาด ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 169  (224-232) ผูก 5 (2566)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขันธ์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


black ribbon.