ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,673 รายการ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จัดกิจกรรม 100 ปี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ขอเชิญชมนิทรรศการ Homecoming โบราณวัตถุคืนถิ่น "ประวัติศาสตร์" "ศรัทธา" "ศิลปะ" โบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมที่เคยไปอวดโฉมในพระนคร บัดนี้ได้กลับ "คืนถิ่น" สู่เมืองลพบุรี พร้อมบอกเล่าเรื่องราวให้กับทุกท่านแล้ว พบกับนิทรรศการพิเศษที่จัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของเมืองลพบุรีที่เคยไปอวดโฉมอยู่ต่างถิ่น ซึ่งได้นำกลับมายังภูมิลำเนาในวาระ 100 ปี ลพบุรีพิพิธภัณฑสถาน จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2567 - 5 มกราคม 2568 ณ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ พระนารายณ์ราชนิเวศน์
กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม 100 ปี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ กับ "100 ปี มีอะไร?? 10 สิ่งห้ามพลาดในงาน 100 ปี ลพบุรีพิพิธภัณฑสถาน" กำหนดจัดในวันเสาร์ที่ 12 และวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 1567 เวลา 17.30 - 19.00 น. ประกอบด้วยกิจกรรม "Twilight at the Museum" นำชมพิพิธภัณฑ์ยามเย็น นิทรรศการ Black & White Palace เมื่อครั้ง...วังนี้สี "ขาวดำ" นิทรรศการ Homecoming โบราณวัตถุคืนถิ่น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี เปิดให้บริการ วันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. ปิดให้บริการ วันจันทร์ - วันอังคาร อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท ติดตามข้อมูลข่าวสารรายละเอียดกิจกรรม ได้ที่ Facebook พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ : King Narai National Museum สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3641 1458
กองพลทหารราบที่ 3. เกียรติประวัติกองพลทหารราบที่ 3. นครราชสีมา : กองพลทหารราบที่ 3, 2537.
โบราณสถานวัดพระธาตุยาพ่อแก่
โบราณสถานวัดพระธาตุยาพ่อแก่ ตั้งอยู่ที่บ้านเวียงคุกกลาง ตำบลเวียงคุก อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ไม่ปรากฏประวัติหรือตำนานการสร้างแต่อย่างใด โบราณสถานวัดพระธาตุยาพ่อแก่ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปกรรมล้านนา ก่อด้วยอิฐ ประกอบด้วย ชั้นฐานเขียงซ้อนลดหลั่นกันในผังสี่เหลี่ยม ชั้นเรือนธาตุอยู่ในผัง ย่อมุมไม้ยี่สิบประดับด้วยซุ้มจระนำ ซึ่งมีลักษณะเป็นซุ้มโค้งยื่นออกมาจากผนังทั้งสี่ด้าน สันนิษฐานว่ามีการประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืนปูนปั้นภายในซุ้มจระนำ คล้ายคลึงกับวัดเทพพล บ้านเวียงคุก ตำบลเวียงคุก อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ถัดขึ้นมาเป็นเรือนธาตุชั้นซ้อนในผังย่อมุมไม้ยี่สิบ แต่ไม่ปรากฏการประดับซุ้มจระนำแล้ว ส่วนยอดของเจดีย์หักหาย กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ ในสมัยวัฒนธรรมล้านช้าง
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ สำนักศิลปากรที่ ๙ ขอนแก่น ได้ขุดแต่งโบราณสถานวัดพระธาตุยาพ่อแก่ พบร่องรอยการเตรียมฐานรากของอาคารโดยการปรับถมพื้นด้วยเม็ดแลงบดอัดประมาณ ๕๐ เซนติเมตร
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๑๑๘ ตอนพิเศษ ๒๙ ง วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๔ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๖๖.๙๓ ตารางวา
The Stupa of Wat Phra That Ya Pho Kae
Wat Phra That Ya Pho Kae is located at Ban Wiang Khuk Klang, Wiang Khuk Sub-district, Mueang Nong Khai District, Nong Khai Province. The stupa was built as castle-shaped in Lanna style, using brick materials. It is supported by plain bases which narrow down its size at each higher floor. The indented-corner body contains a niche on each side, which presumed that this spot may use to have the standing Buddha images inside, a trait similar to Wat Thep Phon, Ban Wiang Khuk Klang, Wiang Khuk Sub-district, Mueang Nong Khai District, Nong Khai Province. Above the body is a lotus pedestal, and the top which was gone missing. The stupa can be dated to 17th - 18th century CE, in the period of Lan Xang Kingdom.
The excavation was managed by the 8th Regional Office of The Fine Arts Department, Khon Kaen in 2004. Traces of groundwork by landfilling with crumbling laterites were found.
Wat Phra That Ya Pho Kae has been registered and published in the Government Gazette, Volume 118, Special Edition 29, on March 26, 2001. The area of ancient monument is 267.72 square meters.
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ถ้ำสำ ภาพแทนยุคจีนสร้างเมืองในภาคใต้ของสยาม” วิทยากร นางศิริพร สังข์หิรัญ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช และนางสาวสิริยุพน ทับเป็นไทย นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ผู้ดำเนินรายการ นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เวลา ๑๑.๐๐ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และ Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
รายการ “ไขความรู้จากครูกรมศิลป์” มีรูปแบบเนื้อหาของรายการเกี่ยวกับประวัติความเป็นไทย เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญ ประเพณี วัฒนธรรม วีถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ผ่านการบอกเล่า ถ่ายทอดความรู้ แนวความคิด เนื้อหาวิชาการ จากประสบการณ์ของผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากร กำหนดถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) ทุกวันพฤหัสบดี เวลา ๑๑.๐๐ น. ตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๖๗ - กันยายน ๒๕๖๘
โครงการศึกษา ค้นคว้าองค์ความรู้อัตลักษณ์รำฉุยฉายเพื่อแปลงกายของตัวละครแต่ละประเภทในการแสดงโขนผู้เรียบเรียง นายชวลิต สุนทรานนท์
นักวิชาการละครและดนตรีทรงคุณวุฒิ
วัดราชโอรสาราม ตั้งอยู่ ณ แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เดิมชื่อ “วัดจอมทอง” สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพราะมีพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานในวิหาร เรียกว่า พระอู่ทอง เป็นศิลปกรรมแบบอยุธยา ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เดือน ๑๑ ปีมะโรง (เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๓๖๓) โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นแม่ทัพคุมพลไปขัดตาทัพพม่าทางด่านเจดีย์ ๓ องค์ เนื่องจากมีข่าวว่าพม่าเตรียมยกทัพเข้ามาตีไทย พระองค์ทรงคุมพลหนึ่งหมื่น เสด็จยาตราทัพออกจากกรุงเทพฯ ทางเรือ เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๐ ค่ำ ปีมะโรง โดยเส้นทางยาตราทัพในวันแรกได้ผ่านคลองบางกอกใหญ่เข้าคลองด่าน เมื่อมาถึงวัดจอมทองซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของคลองด่าน ได้เสด็จหยุดทัพประทับแรมที่ หน้าวัดจอมทองและทรงกระทำพิธีเบิกโขลนทวารตามลักษณะพิชัยสงคราม กับได้ทรงอธิษฐานให้ไปราชการสงครามประสบผลสำเร็จและเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ จนเมื่อย่างเข้าหน้าฝนในพ.ศ. ๒๓๖๔ ไม่ปรากฏว่าพม่าจะยกทัพมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เลิกทัพกลับสู่พระนคร ครั้นเสด็จกลับถึงพระนครแล้ว จึงโปรดฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดจอมทองขึ้นเหมือนสร้างวัดใหม่ เหตุผลอีกประการหนึ่งในการปฏิสังขรณ์วัดจอมทอง คงเนื่องมาจากเพราะบริเวณบางขุนเทียนนั้น เดิมเป็นนิวาสถานข้างพระญาติฝ่ายพระบรมราชชนนี (เจ้าจอมมารดาเรียม ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระศรีสุลาลัย) ตลอดเวลาที่มีการปฏิสังขรณ์วัดจอมทอง พระองค์ได้เสด็จมาประทับทรงคุมงาน และตรวจการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง เมื่อการปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงถวายวัดจอมทองเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า “วัดราชโอรสาราม” หมายถึง วัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนา
โบราณวัตถุสถานสำคัญ
วัดราชโอรสาราม แบ่งเขตของวัดเป็นเขตพุทธาวาส และสังฆาวาส โดยเขตพุทธาวาสอยู่ตรงกลางมีเขตสังฆาวาสขนาบทั้งด้านซ้าย ด้านขวา และด้านหลัง ด้านหน้าของวัดหันสู่ทิศตะวันออก คือหันออกสู่ริมคลองด่าน ทิศเหนือติดกับคลองบางหว้า (ซึ่งเชื่อมคลองด่านกับคลองภาษีเจริญ) ด้านทิศใต้เป็นที่ดินธรณีสงฆ์ของวัด ด้านทิศตะวันตกเป็นที่ดินของประชาชน ๑. พระอุโบสถ พระอุโบสถหลังนี้นับได้ว่าเป็นต้นแบบศิลปกรรมแบบพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาด ๕ ห้องวางผังในแนวตรงตัดกับพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ซึ่งตั้งขวางอยู่แต่พระอุโบสถมีขนาดย่อมกว่า ทุกด้านมีพาไลล้อมรับด้วยเสาเพื่อเป็นระเบียงรอบ มีมุขหน้า-หลังและทางเข้า หลังคาโครงสร้างเครื่องไม้ซ้อน ๒ ซ้อน และแต่ละซ้อนมี ๒ ตับ และตับที่ ๓ เป็นปีกนก หลังคามุงกระเบื้องเกล็ดเคลือบสี เครื่องประดับหลังคาเป็นลวดลายกระบวนจีน ใต้มุมหน้าบันและมุมแผงแรคอสองประดับด้วยเครื่องกระเบื้องเคลือบรูปปลามังกรทั้ง ๔ มุม หน้าบันพระอุโบสถเป็นงานก่ออิฐถือปูน ลวดลายบนหน้าบันเป็นปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบทั้งใบ และการนำเศษกระเบื้องเคลือบทุบแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนนำมาประดับตามคติจีน คือ ลวดลายตอนบนเป็นเครื่องตั้งบูชา ตรงกลางเป็นแจกัน ประดับด้วยดอกเบญจมาศ ด้านข้างทั้งสองเป็นรูปมังกรและหงส์หันหน้าเข้าหาแจกัน มีหงส์ข้างละ ๑ คู่ หันหน้าเข้าหาแจกันเช่นกัน ที่ส่วนบนของหน้าบันมีรูปกระเช้าดอกไม้ห้อยย้อยลงมา ในกระเช้ามีผลไม้มงคล เช่น ผลท้อ ทับทิม ส้มมือ น้ำเต้า กระบี่ ม้วนหนังสือ และผีเสื้อ เป็นต้น นอกจากนี้ แทรกรูปก้อนเมฆและดอกไม้ในช่องว่าง ลวดลายหน้าบันตอนล่าง (แผงแรคอสอง) เป็นภาพทิวทัศน์ เช่น ภูเขา ลำธาร ต้นไม้ บ้านเรือน ไก่ นก วัว ควาย กิเลน กวาง และรูปบุคคลในอิริยาบถต่าง ๆ เช่น คนขี่ควายและกิเลน นอกจากนี้ยังมีภาพสิงโตคู่หันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางเป็นรูปบ้านเรือนและผู้คน มีการประดับด้วยแจกัน กระถางต้นไม้ และดอกไม้ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ๓.๑๐ เมตร สูง ๔.๕๐ เมตร และเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงถวายพระนามว่า “พระพุทธอนันตคุณอดุลญาณบพิตร” พร้อมกับทรงโปรดเกล้าให้นำพระบรมอัฐิในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มาบรรจุไว้บริเวณผ้าทิพย์บริเวณฐานชุกชีลงรักปิดทองประดับกระจกมีแผ่นโลหะรูปปราสาทซึ่งเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์ในรัชกาลที่ ๓ ประดับอยู่ ภาพจิตรกรรมฝาผนังบริเวณระหว่างช่องประตูและหน้าต่างเป็นจิตรกรรมเขียนสี แสดงภาพอาคารแบบจีน ภายในเป็นเครื่องบูชาแบบจีน รวมทั้งหมด ๑๔ ห้อง ส่วนฝาผนังตอนบนตั้งแต่เหนือช่องหน้าต่างขึ้นไป เป็นภาพจิตรกรรมเขียนสีรูปเครื่องตั้งแบบต่างๆ ของจีน มีการผูกลายบรรจุไว้ภายในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาดไม่เท่ากัน จัดเรียงลำดับต่อเนื่องกันไปอย่างมีระเบียบตลอดฝาผนังทั้ง ๔ ด้าน รวมทั้งหมด ๒๒๔ ช่อง
รูปพระอุโบสถ
๒. พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ตั้งอยู่ทางด้านหลังพระอุโบสถ ภายในเขตกำแพงแก้วเดียวกัน แต่ตัวพระวิหารมีพระระเบียงคดล้อมรอบเป็นพิเศษอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะการวางผังเป็นไปตามแนวแกนทิศเหนือ – ใต้ โดยมีลักษณะตั้งฉากกับพระอุโบสถ พระวิหารมีขนาด ๙ ห้อง มีพาไลล้อมรอบ หลังคาพระวิหารเป็นโครงไม้ หลังคาซ้อน ๒ ซ้อน แต่ละซ้อนมี ๔ ตับ มีจั่วหรือหน้าบันที่ตับที่ ๑ และตับที่ ๒ ส่วนตับที่ ๓ และ ๔ เป็นปีกนกโดยรอบอาคาร หลังคามุงกระเบื้องเกล็ดเคลือบสี หน้าบันเป็นงานก่ออิฐถือปูน ลวดลายตามคติความเชื่อแบบจีน โดยใช้เทคนิคปูนปั้นเขียนสี ประดับกระเบื้องเคลือบ ภายในพระวิหารมีเสารับน้ำหนักด้านสกัดด้านละ ๔ ต้น ด้านแปด้านละ ๘ ต้น ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ปูนปั้น และเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ถวายพระนามว่า “พระพุทธไสยาสน์ นารถชนินทร์ ชินสากยบรมสมเด็จ สรรเพชญพุทธบพิตร” พระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานอยู่กลางพระวิหาร วัดความยาวจากพระบาทถึงเปลวพระรัศมีได้ ๒๐ เมตร สูง ๖ เมตร หันพระเศียรไปทางทิศใต้ ประดิษฐานบนฐานชุกชี ซึ่งชั้นบนเป็นปูนปั้นลายบัวรวนกลีบยาว ประดับกระจกสี ส่วนงานจิตรกรรมที่ใช้ตกแต่งภายในพระวิหาร เพดานและคาน เขียนลายลงรักปิดทอง ดอกพุดตานแบบกระบวนจีน ประกอบลายด้วยผีเสื้อ นกและผลไม้ต่างๆ เช่น ทับทิม อันเป็นรูปสัตว์และ ผลไม้ตามคติของจีน ซึ่งแต่เดิมที่ผนังและที่เสาภายในพระวิหารมีงานจิตรกรรมตกแต่งเป็นลายดอกไม้แบบกระบวนจีน
๓. พระวิหารพระยืน พระวิหารพระยืนตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระอุโบสถ เดิมคงเป็นพระอุโบสถเก่าของวัดก่อนที่จะได้รับการปฏิสังขรณ์และสถาปนา บางท่านเสนอว่าอาคารอื่นๆ นอกกำแพงแก้ว เช่น ศาลาการเปรียญ พระวิหารพระยืนอาจจะได้รับการซ่อมแซมจนเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ก็เป็นอาคารในสมัยต่อมา อย่างไรก็ตาม พระวิหารพระยืนน่าจะเป็นอาคารที่มีมาแต่แรกเริ่มในการปฏิสังขรณ์และสถาปนาวัดราชโอรสาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๔ พระวิหารพระยืน เป็นพระวิหารขนาดย่อม มีขนาด ๗ ห้อง มีแผนผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสัดส่วนและพื้นที่ของอาคารใกล้เคียงกับพระอุโบสถ
๔. พระวิหารพระนั่ง (ศาลาการเปรียญเดิม) พระวิหารพระนั่ง เดิมคือ ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของพระอุโบสถ มีแผนผังพื้น สัดส่วนและรูปแบบการก่อสร้างเช่นเดียวกับพระวิหารพระยืน
นอกจากนี้ ภายในวัดยังสิ่งสำคัญอันควรชม ได้แก่ พระระเบียงคดซึ่งมีจารึกตำรายา พระวิหารคด หอพระ หอระฆัง หอไตร ศาลาท่าน้ำ และเครื่องประดับศิลาจีน
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
๑. กำหนดบัญชีโบราณวัตถุสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๖ ตอนที่ ๖๔ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๒
๒. ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๔๑ ตอนพิเศษ ๒๐๐ ง วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ชื่อเรื่อง : อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พลเรือเอก กองเรือใหญ่ เจ้าพระยารามราฆพ ร.ว., ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ)
หัวเรื่อง : หนังสืออนุสรณ์งานศพ
มารยาทและการสมาคม
รามราฆพ (เฟื้อ พึ่งบุญ), พล.อ. พล.ร.อ. เจ้าพระยา, 2433-2510.
คำค้น : สมบัติของผู้ดี
กองเรือท่าเกษม
รายละเอียด : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พลเรือเอก กองเรือใหญ่ เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ) ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 26 ธันวาคม 2510
ผู้แต่ง : พระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล), เจ้าพระยา, 2410-2459.
แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : โรงพิมพ์พระจันทร์
ปีที่พิมพ์ : 2510
วันที่เผยแพร่ : 1 มีนาคม 2568
ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : -
ลิขสิทธิ์ : -
รูปแบบ : PDF
ภาษา : ภาษาไทย
ประเภททรัพยากร : หนังสืออนุสรณ์งานศพ
ตัวบ่งชี้ : -
รายละเอียดเนื้อหา : เหตุในการเลือกพิมพ์หนังสือสมบัติผู้ดีเป็นอนุสรณ์นี้ เนื่องจากเห็นว่าพลเอก พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ ประพฤติตนดีสมกับคำอวยพรที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงไว้ด้วยพระราชหัตถเลขาให้แก่ท่าน
เลขทะเบียน : น. 32 บ. 2519 จบ.
เลขหมู่ : 170
พ414สร
ตำนานชาติหวย นี้ กล่าวถึงเรื่องหวยการพนันของจีนที่เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ซึ่งหวยในเมืองจีนตัวหวย
ในแผ่นป้ายเป็นรูปคนที่สมมุติขึ้น และเขียนชื่อเป็นภาษาจีนบอกชื่อตัวหวย เมื่อนำหวยเข้ามาในเมืองไทยคนไทยอ่านภาษาจีนไม่ได้ จึงต้องเขียนอักษรไทยกำกับไว้
โดยใช้อักษร ก ข ค เรียงไปตามลำดับและตัดตัวอักษรที่ไม่ใช้จำนวน ๘ ตัว คือ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ศ ษ จึงเหลือตัวอักษร ๓๖ ตัว
บรรณานุกรม
ตำนานชาติหวย. พระนคร: โรงพิมพ์ห้างสมุด, ๒๔๙๖.
ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 20 จดหมายเหตุเรื่อง ทางไมตรีระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงญี่ปุ่น
หัวเรื่อง : ศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (แปลก นิลกุล), พ.อ. พระยา, 2425-2505
ไทย -- ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ – ญี่ปุ่น
หนังสืออนุสรณ์งานศพ
คำค้น : -
รายละเอียด : พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (แปลก นิลกุล) ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันพุธที่ 6 กุมถาพันธ์ 2506
ผู้แต่ง : ซาเตา, เออเนสต์ เมสัน
แหล่งที่มา : หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี
หน่วยงานที่รับผิดชอบ/ โรงพิมพ์/ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
ปีที่พิมพ์ : 2506
วันที่เผยแพร่ : 13 มิถุนายน 2568
ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงาน : จินดาสหกิจ (ลม้าย ธนะศิริ), หลวง, 2433-2523, ผู้แปล
ลิขสิทธิ์ : -
รูปแบบ : PDF
ภาษา : ภาษาไทย
ประเภททรัพยากร : หนังสืออนุสรณ์งานศพ
ตัวบ่งชี้ : -
รายละเอียดเนื้อหา : เรื่องนี้เป็นบันทึกความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดย เซอร์ เออร์เนส เมสัน ซาเตา อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสยาม ซึ่งเชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่น ได้รวบรวมและแปลจดหมายโต้ตอบระหว่างราชสำนักไทยกับญี่ปุ่นในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และสมเด็จพระเชษฐาธิราช ตีพิมพ์ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2428 แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2463 โดย หลวงจินดาสหกิจ และฉบับนี้ได้มีการเรียบเรียงและแก้ไขใหม่เพื่อความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
เลขทะเบียน : น. 34 บ. 6146 จบ (ร)
เลขหมู่ : ห 959.3023
จ476ป