ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
ชื่อเรื่อง สุพรรณบ้านเรา...ของดีเมืองสุพรรณผู้แต่ง สุนันทา สุนทรประเสริฐผู้แต่งเพิ่มเติม คมคาย เกรอด และ พัชรี ธนสาร.ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN -หมวดหมู่ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เลขหมู่ 915.9373 ส816สสถานที่พิมพ์ ราชบุรีสำนักพิมพ์ บริษัท ธรรมรักษ์การพิมพ์ จำกัดปีที่พิมพ์ ม.ป.ป. ลักษณะวัสดุ 30 หน้า : ภาพประกอบ ; 26 ซม.หัวเรื่อง สุพรรณบุรี – ภูมิประเทศและการท่องเที่ยวภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก. “ของดีเมืองสุพรรณบุรี” มีเนื้อหาเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของจังหวัดสุพรรณบุรีในด้านแหล่งท่องเที่ยว หัตถกรรมงานฝีมือ อาหารการกิน ล้วนเป็นความภาคภูมิใจของชาวสุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 11/7ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
กรมศิลปากร ขอเชิญร่วมกิจกรรมเนื่องในเทศกาลมหาสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รับความรู้คู่ความสนุกกับ “สงกรานต์แฟร์ : นพเคราะห์บูชาดาราจร รับพรสงกรานต์ปีเถาะ” วันที่ 7 - 9 เมษายน 2566 และร่วมสรงน้ำพระธาตุและเทวดานพเคราะห์ในวันที่ 12 – 14 เมษายน 2566
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลมหาสงกรานต์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดกิจกรรมสรงน้ำพระธาตุและเทวดานพเคราะห์ ณ ศาลาสำราญมุขมาตย์ เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ได้เพิ่มเติมการจัดกิจกรรมในลักษณะการออกร้านศิลปะเชิงสร้างสรรค์ และกิจกรรมต่าง ๆ ในหัวข้อ “สงกรานต์แฟร์ : นพเคราะห์บูชาดาราจร รับพรสงกรานต์ปีเถาะ” ระหว่างวันที่ 7 – 9 เมษายน 2566 ซึ่งประกอบด้วย 9 กิจกรรม ดังนี้
1. นิทรรศการ “เก้าดารา” เรียนรู้เกี่ยวกับเทวดานพเคราะห์ในวิถีชีวิตไทย
2. เปิด “ตลาดเก้าล้าน” แสดงและจำหน่ายสินค้าที่นักศึกษา ศิลปิน และอาสาสมัคร ได้พัฒนาต่อยอดมาจากโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
3. “สถานีเก้าสิปป์” กิจกรรมเวิร์กชอปงานศิลปะที่หยิบเล่นได้ โดยนักศึกษาและศิลปินอาร์ตทอย ณ ระเบียงด้านข้างหมู่พระวิมานฝั่งทิศเหนือ ข้างอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์
4. กิจกรรม “ทัวร์เก้ามณี” นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเรียนรู้ถึงที่มาของเทวดานพเคราะห์และเทศกาลมหาสงกรานต์ ผ่านโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในห้องจัดแสดงต่าง ๆ
5. กิจกรรม “ล่าขุมทรัพย์เก้าแต้ม” รับสมุดประทับตราแล้วออกตามหาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับเทวดานพเคราะห์ จำนวน 9 จุด เพื่อแลกรับถุงเครื่องราง “นวธัญมงคล” (เมล็ดพืชอันเป็นมงคล 9 ชนิด) เป็นของที่ระลึก วันละ 500 ชิ้นเท่านั้น
6. จิบชาเก้าชนิด “จิ๋วจ่งฉา” โดย อ๋อง ที บาย บี๋ (Ong Tea by Bee) ณ เรือนชาลีลาวดี
7. ลุ้นกาชาปองชุดพิเศษ “นวพ่าห์” สัตว์พาหนะเก้าชนิดของเทพนพเคราะห์โดย Little Turtle Studio
8. พิเศษสุดกับการเสี่ยงทายพระคเณศ “นวคเณศ” ซึ่งออกแบบโดยศิลปินอาร์ตทอยเพื่องานสงกรานต์แฟร์ 2566 โดยเฉพาะและมีจำนวนจำกัด
9. ทุกคนที่เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในช่วงงานสงกรานต์แฟร์ วันที่ 7 - 9 เมษายน 2566 จะได้รับเหรียญที่ระลึก “พิพิธคเณศ” เป็นรูปพระคเณศแบบต่าง ๆ ที่ศิลปินร่วมกันออกแบบไว้ 15 แบบ จำนวน 15,000 ชิ้น โดยจำกัดคนละ 1 เหรียญ/คน/วัน
สำหรับกิจกรรมสรงน้ำพระธาตุและเทวดานพเคราะห์ ระหว่างวันที่ 12 - 14 เมษายน 2566 ณ ศาลาสำราญมุขมาตย์ กรมศิลปากรได้อัญเชิญพระธาตุในพระกรัณฑ์ ซึ่งเดิมทีประดิษฐานในก้านพระรัศมีของ พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปองค์สำคัญ ซึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล มาเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยเทวดานพเคราะห์ทั้ง 9 องค์ ผู้เป็นเจ้าเรือนชะตามนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ตามความเชื่อโบราณ มาให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะและสรงน้ำขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต อันเป็นวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่และเป็นการสืบสานประเพณีที่ดีงามของไทย
กรมศิลปากร จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมเนื่องในเทศกาลมหาสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เวลา 09.00 – 16.00 น. เพื่อความเป็นสิริมงคลในปีใหม่ไทย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟสบุ๊ก เพจ National Museum Bangkok : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หรือ โทรศัพท์ 0 2224 1333, 0 2224 1402
เลขทะเบียน : นพ.บ.504/4ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 46 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 168 (216-223) ผูก 4 (2566)หัวเรื่อง : รามชาตก--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
ไม้มงคลเรียกทรัพย์ เสริมดวง
เรียบเรียง : นางสาวกาญจนา ศรีเหรา ( บรรณารักษ์)
ไม้มงคล 9 ชนิดเป็นไม้ที่นิยมใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนหรือก่อฐานประดิษฐานถาวร วัตถุต่างๆ พิธีก่อฤกษ์หรือวางศิลาฤกษ์ ส่วนมากจะนิยมปลูกบริเวณรอบๆ บ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคล ไม้มงคลทั้ง 9 ชนิด มีความหมายดังนี้
ชื่อเรื่อง ทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาผู้แต่ง นายตรี อมาตยกุลประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ภูมิศาสตร์ การท่องเที่ยวเลขหมู่ 915.91314 ต181ทสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ภักดีประดิษฐ์ปีที่พิมพ์ 2499ลักษณะวัสดุ 148 หน้าหัวเรื่อง พระนครศรีอยุธยา -- ภูมิประเทศ – นำเที่ยว พระนครศรีอยุธยา -- โบราณสถานภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวบรวมเกี่ยวกับความเป็นอยู่ การท่องเที่ยว การคมนาคมของชาวพระนครศรีอยุธยา
ชื่อเรื่อง สพ.บ.424/8 พระเจ้าห้าสิบชาติ (ห้าสิบชาติ)
สพ.บ. 424/8
ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ลักษณะวัสดุ 54 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
เทศน์มหาชาติ
บทคัดย่อ/บันทึก
เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาต ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
องค์ความรู้อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
เรื่อง ปั้นลมสังคโลกที่วัดตะแบกคู่ เมืองกำแพงเพชร
ป้านลม ตามความหมายในศัพทานุกรมโบราณคดีหมายถึง แผ่นไม้ที่ประกอบเข้ากับแปปิดตามแนวลาดของหัว-ท้าย เครื่องมุงหลังคา เรือนไทย ทำหน้าที่ป้องกันลมมิให้พัดเครื่องมุงหลังคาหลุดปลิวไป ในบางครั้งเรียกว่า “ปั้นลม”
ปั้นลมที่พบจากการดำเนินการทางโบราณคดีวัดตะแบกคู่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองกำแพงเพชร เป็นผลิตภัณฑ์จากแหล่งเตาเมืองสุโขทัย ขึ้นรูปด้วยมือ ทาน้ำเคลือบสีขาว เขียนลายสีน้ำตาลใต้เคลือบใส
รูปทรงสามเหลี่ยม ทำลายกระหนกบริเวณขอบ บริเวณตรงกลางทำรูปบุคคล (รูปเทพนม) ลักษณะสวมเครื่องประดับ ประนมมือบริเวณอก ส่วนหัวหักหาย และวาดลวดลายดอกไม้สันนิษฐานว่าเป็นดอกโบตั๋นตรงกลางหนึ่งดอกท่ามกลางพันธุ์พฤกษา ทำลายกระหนกโดยรอบดอกไม้ และบริเวณกรอบของปั้นลมเหนือรูปเทพพนมตามลำดับ มีขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร สูง 66 เซนติเมตร และหนาประมาณ 3 เซนติเมตร
จากการศึกษาพบปั้นลมลายรูปเทพนมจากการดำเนินการทางโบราณคดีในเมืองสุโขทัยที่วัดกำแพงแลง ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร และที่วัดป่ามะม่วง ซึ่งจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง นอกจากนี้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหงยังจัดแสดงปั้นลมลายเทพนมที่พบภายในเมืองสุโขทัย กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20-21
“เทพนม” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพุทธศักราช 2554 หมายถึง ชื่อภาพเทวดาครึ่งตัวประนมมือ สำหรับการทำศิลปกรรมลายเทพนมมาประดับหลังคาเหนือที่ประดิษฐานรูปพระพุทธเจ้านั้น นาย ประทีป เพ็งตะโก อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้สันนิษฐานไว้ในวิทยานิพนธ์เรื่อง กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา ว่าอาจเป็นการแสดงการสักการะพระพุทธเจ้าของเหล่าเทพ
นอกจากปั้นลมแล้วยังพบลายเทพนมในงานศิลปกรรมอื่น เช่น
- งานจิตรกรรม ลายเทพนมในพุ่มข้าวบิณฑ์บริเวณหน้าต่างอุโบสถ วัดดวงแข กรุงเทพมหานคร
- งานประดับสถาปัตยกรรม พบบริเวณหน้าบัน บันแถลง ประตู หน้าต่างของโบราณสถาน เช่น ลายปูนปั้นรูปเทพนมประดับปรางค์วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก
ดอกโบตั๋นนั้น พบหลักฐานการนำลายนี้มาประยุกต์ตกแต่งในศิลปกรรมจีนในช่วงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ. 1822-1911) จึงมีการผลิตเครื่องลายครามเป็นสินค้าส่งออกมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงดินแดนไทย โดยลายดอกโบตั๋นนั้น คาดว่ามีคติความเชื่อในการเป็นสัญลักษณ์มงคลแทนความมั่งคั่งร่ำรวย มีอำนาจ และเกียรติยศ ส่วนในวัฒนธรรมสุโขทัย - อยุธยา พบการนำลายดอกโบตั๋นมาประดับสถาปัตยกรรม เช่น ลายปูนปั้นประดับสถาปัตยกรรมที่วัดศรีสวาย เมืองสุโขทัย และวัดนางพญา เมืองศรีสัชนาลัย รวมถึงการนำลายดอกโบตั๋นมาประดับตกแต่งในการผลิตถ้วยชามสังคโลก
หลักฐานทางโบราณคดีในเมืองกำแพงเพชรนั้นพบการนำลายเทพนมมาตกแต่งบนกระเบื้องเชิงชายดินเผาที่วัดช้างรอบ (กำหนดอายุพุทธศตวรรษที่ 21-22) และดินเผาประดับสถาปัตยกรรมลายเทพนม อีกทั้งยังพบใบเสมาหินชนวนจากวัดพระนอน (กำหนดอายุพุทธศตวรรษที่ 21) ที่แกะสลักลวดลายเทพนมผุดขึ้นมาจากดอกไม้ และปรากฏลายดอกไม้คล้ายรูปดอกโบตั๋นบริเวณส่วนยอดของใบเสมา พร้อมทั้งมีการประดับกรอบใบเสมาด้วยลายกระหนก ซึ่งมีลักษณะการตกแต่งคล้ายกับปั้นลมที่พบในวัดตะแบกคู่ ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
การกำหนดอายุด้วยวิธีการเปรียบเทียบจากหลักฐานที่พบจึงสันนิษฐานว่า ปั้นลมที่พบในวัดตะแบกคู่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 และมีการติดต่อสัมพันธ์โดยตรงกับเมืองสุโขทัยด้านการนำผลิตภัณฑ์สังคโลกมาใช้ประดับสถาปัตยกรรมเนื่องในพุทธศาสนาของเมืองกำแพงเพชรด้วย
----------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
กฤษฎา พิณศรี, ปริวรรต ธรรมาปรีชากร, และอุษา ง้วนเพียรภาค. (2535). เครื่องถ้วยสุโขทัย : พัฒนาการ
ของเครื่องถ้วยไทย. กรุงเทพฯ: บริษัท โอสถสภา(เต๊กเฮงหยู) จำกัด.
ประทีป เพ็งตะโก. (2540). กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ปริวรรต ธรรมาปรีชากร และคณะ. (2539). ศิลปะเครื่องถ้วยในประเทศไทย (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ:
บริษัท โอสถสภา จำกัด.
สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2554). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช 2554. กรุงเทพฯ:
สำนักงานราชบัณฑิตยสภา.
สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร. (2550). ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
อาสา ทองธรรมชาติ. (2557). ที่มาและพัฒนาการของลายดอกโบตั๋นในงานศิลปกรรมไทย. วิทยานิพนธ์
ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.
-----------------------------------------------
ที่มาของข้อมูล : Facebook Page อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร : Kamphaeng Phet Historical Park
https://www.facebook.com/kpppark2534/posts/pfbid02mxnqELduGvGksj4w4steNKaeERoWuzLxPzmMP5yfxmQjnvibT84s4hTqZZDB9GA7l
เศียรพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พบที่เจดีย์หมายเลข ๑๓ เมืองโบราณอู่ทอง ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องจัดแสดงเมืองโบราณอู่ทอง อาคารจัดแสดง ๒ ชั้น ๑ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
ชิ้นส่วนเศียรรูปเคารพสำริด มีพระเกศาทรงชฎามกุฎ เป็นผมเกล้าทรงสูงโดยถักเป็นมวย และปล่อยเส้นผมตกลงมาบางส่วน ด้านหน้าของมวยผมมีรูปบุคคลนั่งอยู่ในท่าสมาธิแต่รายละเอียดค่อนข้างลบเลือน พระพักตร์ยาว พระขนงต่อเป็นเส้นคล้ายปีกกา พระเนตรทั้ง ๒ เหลือบต่ำ พระนาสิกยาว โด่งเป็นสัน พระโอษฐ์อวบอิ่ม พระหนุสั้น พระกรรณทั้ง ๒ ยาว รูปแบบทางศิลปกรรมของเศียรพระโพธิสัตว์นี้ มีความสัมพันธ์กับรูปแบบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งพบเป็นจำนวนมากในศิลปะศรีวิชัย ที่เจริญอยู่บริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของไทยในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จึงกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ หรือประมาณ ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว
เศียรประติมกรรมชิ้นดังกล่าวนี้ มีพระเกศาทรงทรงชฎามกุฎ ซึ่งมักปรากฏกับประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธมหายาน และรูปนักบวชในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบกับรูปบุคคลที่อยู่ในท่านั่งสมาธิน่าจะหมายถึง พระพุทธเจ้าอมิตาภะ ซึ่งเป็น ๑ ในพระธยานิพุทธ ๕ พระองค์ ตามความเชื่อของพุทธศาสนามหายาน โดยพระพุทธเจ้าอมิตาภะจะปรากฏในรูปของพระพุทธเจ้าทำปางสมาธิ ดังนั้นสันนิษฐานว่าเศียรประติมากรรมชิ้นดังกล่าวคือรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เช่นเดียวกับประติมากรรมพระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งพบในเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนั้นยังมีการพบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์ในเมืองโบราณวัฒนธรรมทวารวดีอีกหลายแห่ง เช่น เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
กาญจนา การะเกตุ. “พระโพธิสัตว์ที่พบในเมืองโบราณสมัยทวารวดีที่ตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก.” การค้นคว้าอิสระตามหลักสูตรปริญญาศิลปาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔.
เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๐.. ศิลปะไทย ภายใต้แรงบันดาลใจจากศิลปะอินเดียแบบปาละ. นนทบุรี : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, ๒๕๕๘.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ขอเชิญร่วมกิจกรรม Night at the Museum Festival 2023 ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๒๐.๐๐ น. (จำหน่ายบัตรเข้าชมถึงเวลา ๑๙.๐๐ น.) ภายในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พบกับกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ดังนี้
- งานออกร้านสินค้าต่าง ๆ
- เปิดตลาดอาร์ตทอย
- กาชาปอง “มังกรทอง” ชุดที่ ๑
- จิบชาชมวัง (สำรองที่นั่งล่วงหน้า)
- นำชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำ (ไม่ต้องจอง) วันละ ๒ รอบ
รอบที่ ๑ เวลา ๑๗.๐๐ น. นำชมเป็นภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ โดยภัณฑารักษ์ เจ้าหน้าที่ และ National Museum Volunteers
รอบที่ ๒ เวลา ๑๘.๐๐ น. นำชมเป็นภาษาไทย โดยภัณฑารักษ์และเจ้าหน้าที่
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒, ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓
19 ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระประวัติ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ นับเป็นพระองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง
การศึกษา ทรงเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อมีพระชันษาได้ ๑๓ พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ต่อจากนั้นทรงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยทหารเรือ โรงเรียนปืนใหญ่ และโรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก รวมเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ๖ ปีเศษ
เมื่อทรงดำรงตำแหน่ง “เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ” ทรงแก้ไข ปรับปรุงการศึกษาระเบียบการในโรงเรียนนายเรือทุกอย่าง ทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายวิชาการ ให้รัดกุมทัดเทียมอารยประเทศ พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะปรับปรุงกิจการด้านนี้ให้ก้าวหน้า จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ ขอพระราชทานที่ เพื่อตั้งเป็นโรงเรียนนายเรือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินบริเวณพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๔๙ ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่งคงนับแต่นั้น และกองทัพเรือได้ยึดถือเอาวันดังกล่าวของทุกปีเป็นวัน “กองทัพเรือ”
ด้านการแพทย์แผนโบราณ ในขณะที่เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการชั่วคราว ระหว่างปี ๒๔๕๔ – ๒๔๕๙ ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณลงในสมุดข่อยด้วย ฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองโดยทรงตั้งชื่อตำรายาเล่มนี้ว่า “พระคัมภีร์อติสาระวรรค โบราณะกรรม และปัจจุบันนะกรรม” ซึ่งสมุดเล่มดังกล่าวปัจจุบันได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือสมุทรปราการ ด้านการรักษาพยาบาล พระองค์ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนจีน จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็งซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณเรียกพระองค์ท่านว่า “เตี่ย” ซึ่งต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” ขณะที่คนไข้ชาวไทยมักเรียกพระองค์ว่า “หมอพร”
หลังจากทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือได้ไม่นาน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้กราบถวายบังคมลาเพื่อเสด็จออกไปรักษาพระองค์ ณ มณฑลสุราษฎร์ เป็นเวลา ๑ เดือน เนื่องจากประชวรด้วยโรคประจำพระองค์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้ประทับพักรักษาพระองค์อยู่ที่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร มณฑลสุราษฎร์ ระหว่างนั้นทรงประชวรด้วยพระโรคไข้หวัดใหญ่ พระอาการได้ทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ เวลา ๑๑ นาฬิกา ๔๐ นาที สิริพระชันษา ๔๒ พรรษา ๕ เดือน มีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง
ชาวชุมพรมีความเชื่อมั่นว่า พระวิญญาณของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงสถิตอยู่ ณ จังหวัดชุมพร ยามใดที่จังหวัดชุมพรประสบภัยพิบัติ พระวิญญาณของพระองค์จะทรงปกป้องคุ้มครองและขจัดปัดเป่าให้ผ่านพ้นไป พระองค์ทรงเป็นปูชนียบุคคลที่ชาวชุมพรเคารพสักการะ เป็นมิ่งขวัญกำลังใจของชาวชุมพร และพระองค์ทรงเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดกับชายทะเล จะมีศาลและอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เป็นจำนวนมาก
องค์ความรู้: สำนักหอสมุดแห่งชาติ เรื่อง: สโมสร ณ ตึกจักรพงษ์
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทำหนังสือทูลถามพระองค์เจ้าธานีนิวัติ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๗๕ เนื่องจากไม่ทราบข่าวหลังจากทรงประทานเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เพื่อสร้างสโมสรให้แก่นักเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ว่าตั้งต้นทำแล้วหรือยัง หากตั้งต้นแล้วเปิดใช้เมื่อใด” และได้ทูลตอบว่า ได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่แล้วจะรายงานความคืบหน้า
สโมสรดังกล่าวนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ ได้มอบหมายให้ พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์) หัวหน้ากองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร และหลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) ช่วยกันออกแบบจนแล้วเสร็จและเปิดอาคารเมื่อ ๒๖ พฤษภาคม ๒๔๗๖
พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ประทานเงินเพื่อสร้างสโมสรให้ครู อาจารย์ และนิสิต ให้พบปะสังสรรค์ และทำกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งสร้างตึกเป็นอนุสรณ์แห่งพระบิดา คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ อีกทางหนึ่ง
ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติฉบับพิเศษ ได้ลงภาพบรรยากาศ การใช้ทำกิจกรรมของนิสิต เช่น อ่านหนังสือ เล่นดนตรี หรือเล่นบิลเลียด ทำให้เห็นบรรยากาศน่าครึกครื้น และใช้ประโยชน์จากอาคารดังกล่าวได้อย่างภาคภูมิ
------------------------------------------------------------
ข้อมูลอ้างอิง
ศธ.๑๐.๕/๑๒ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ขอทราบเรื่องการสร้างตึกสำหรับสโมสรนักเรียน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับแนะนำเรื่องลูกเสือในประเทศอังกฤษ.
พีรศรี โพวาทอง. ปฐมศตวรรษ จุฬาฯ สถาปัตยกรรม ๒๔๖๐-๒๕๖๐ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๗.
ทำความรู้จัก ตึกจักรพงษ์คลับเฮาส์ยุคแรกแห่งสยามประเทศกับกิจกรรมชวนน้องมัธยมเลาะรั้ว
จุฬาฯ ‘Happy Journey with BEM’ ทริป ๓ สถานีสามย่าน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๓ ตุลาคม
๒๕๖๖, จาก https://www.matichon.co.th/happy-journey.../news_3446965
“นิสสิตนิสิตตาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยุวชนผู้จะเป็นกำลังของประเทศในอนาคต.” ประชาชาติ.
ฉบับฉลองรอบปีที่ ๒ (๓ ตุลาคม ๒๔๗๗): ๒๒-๒๓.
--------------------------------------------------
ผู้เรียบเรียง : นายบารมี สมาธิปัญญา นักวิชาการเผยแพร่ สำนักหอสมุดแห่งชาติ
กราฟิก : นายชลิต ปรีชากุล นายช่างศิลปกรรม สำนักหอสมุดแห่งชาติ
--------------------------------------------------