ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,611 รายการ
โครงการศึกษาวิเคราะห์เพื่อการจัดทำต้นฉบับและการจัดพิมพ์หนังสือ "ลายพุดตานและลายใบเทศ" ในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น(โครงการต่อเนื่อง 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 - กันยายน 2558)ผู้เรียบเรียง นายนิยม กลิ่นบุปผาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านช่างศิลปกรรม
วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร ตั้งอยู่ ณ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร วัดอัปสรสวรรค์เดิมชื่อว่า"วัดหมู" อยู่ในกลุ่มวัดบริเวณปากคลองด่านมีวัดปากน้ำทางตอนเหนือและวัดนางชีทางตอนใต้ และวัดขุนจันทร์ที่อยู่คนละฟากฝั่งคลอง วัดส่วนใหญ่ในย่านนี้เป็นวัดที่มีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ประกอบกับชุมชนละแวกนี้ก็มีการตั้งบ้านเรือนหนาแน่นมาตั้งแต่อดีต ตามประวัติกล่าวว่าสร้างโดย “จีนอู๋” แต่ไม่ปรากฎหลักฐานแน่ขัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าจอมน้อย (สุหรานากง) ซึ่งเป็นพระธิดาของเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) ได้สถาปนาวัดนี้ขึ้นมาใหม่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับอุปการะในการบูรณปฏิสังขรณ์ และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอัปสรสวรรค์” ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระฉันสมอมาประดิษฐานที่วัดด้วย ในหมายรับสั่งรัชกาลที่ ๓ จ.ศ. ๑๒๐๐ (พ.ศ. ๒๓๘๑) ทรงพระกรุณาให้มีพระราชพิธีเฉลิมฉลองวัดอัปสรสวรรค์
การจัดแผนผังของวัดอัปสรสวรรค์พบว่า มีการกำหนดผังโดยแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และพื้นที่อเนกประสงค์ โดยเขตพุทธาวาสจะตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดด้านทิศตะวันออก ประกอบด้วยพระอุโบสถ พระวิหาร และพระมณฑปล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว นอกกำแพงแก้วมีพระปรางค์ใหญ่ ๑ องค์และศาลาท่าน้ำ ๒ หลัง ส่วนเขตสังฆาวาส โอบล้อมเขตพุทธาวาสทั้งสามด้าน ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่ตั้งของศาลาการเปรียญ ๒ หลัง ทางด้านทิศเหนือเป็นที่ตั้งหอไตรและหอระฆัง ทางด้านทิศตะวันตกเคยเป็นสระน้ำก่อนปรับเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ ส่วนด้านทิศใต้เป็นศาลาสำหรับสวดอภิธรรมศพ
โบราณวัตถุสถานสำคัญ พระอุโบสถ และพระวิหาร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบศิลปะในพระราชนิยมรัชกาลที่ ๓ หรือ ศิลปะแบบนอกอย่างตั้งขนานกัน เป็นอาคารทรงโรงขนาด ๕ ห้องมีเสาพะไลและราวระเบียงประดับกระเบื้องปรุล้อมรอบ วางตัวอาคารในแนวตะวันออก – ตะวันตก หันหน้าอาคารไปทางด้านทิศตะวันออกสู่คลองด่าน ผนังของพระอุโบสถและพระวิหารเจาะช่องหน้าต่าง ๕ ช่องมีลายปูนปั้นเป็นกรอบซุ้มหน้าต่าง ส่วนผนังด้านสกัดหน้าและหลังทำประตูเข้า - ออก ด้านละ ๒ บาน มีบันไดทางขึ้น - ลง สู่ภายในอาคาร หน้าบันพระอุโบสถตกแต่งด้วยงานปูนปั้นประดับด้วยเครื่องเคลือบเป็นรูปทิวทัศน์ในแบบศิลปะจีน ที่ประกอบด้วยรูปพระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขาหิวเขา บุคคล สัตว์ ดอกไม้ ถะ(จดีย์ ศิลปะจีน) แม่น้ำ เป็นต้น ส่วนหน้าบันพระวิหารตกแต่งเป็นภาพทิวทัศน์ลายมงคลตามคติความเชื่อของชาวจีน โดยตรงกลางสันของจั่วเป็นรูปพระอาทิตย์ ถัดลงมาเป็นรูปนกแก้ว ๒ ตัวยืนอยู่เหนือก้อนเมฆ ถัดลงมาเป็นรูปไก่ที่ยืนอยู่บนภูเขามีเครื่องหมายหยิน - หยางสัญลักษณ์ในลัทธิเต๋า เลื่อนลงมาเป็นรูปทิวเขาที่ประดับด้วยถะ (เจดีย์จีน) มีรูปไก่ล้อมรอบด้วยลายดอกไม้และกิ่งผลไม้มงคล ด้านล่างตรงกลางจำลองเป็นรูปสระน้ำมีปลา ๒ ตัวในสระน้ำ
รูปพระอุโบสถ
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานรูปอดีตพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์บนฐานชุกชีเดียวกัน จัดวางลดหลั่นเป็นทรงจอมสูง ที่ฐานของพระอดีตพุทธเจ้าแต่ละองค์จะมีป้ายจารึกนามของแต่ละพระอดีตพุทธเจ้าเริ่มตั้งแต่พระอดีตพุทธตันหังกโรซึ่งประดิษฐานอยู่บนยอดจอมลงมาเป็นลำดับจนถึงพระศากยโคดมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ส่วนภายในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย ๒ องค์ สูง ๓ ศอก หน้าตักกว้าง ๓ ศอก ส่วนอีกองค์หนึ่งสูง ๕ ศอก หน้าตักกว้าง ๔ ศอก และมีรูปปั้นของนางสุขาดากำลังถวายข้าวมธุปายาส
อนึ่ง การทำรูปพระอดีตพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดอัปสรสวรรค์วรวิหารแห่งนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคติความเชื่อที่นิยมมากในกลุ่มชาวพม่าและมอญ ดังที่ปรากฏในงานจิตรกรรมฝาผนังรูปอดีตพระพุทธเจ้า ๒๘ องค์ ในวัดที่ชาวมอญสร้าง เช่น วัดชมพูเวก จ. นนทบุรี , วัดคงคาราม จ.ราชบุรี และวัดไทรอารีรักษ์ จ.ราชบุรี เป็นต้น รูปอดีตพระพุทธเจ้าเหล่านี้ไม่ค่อยพบรูปแบบการสร้างพระประธานเช่นนี้ตามพระอุโบสถทั่วไป อันแสดงให้เห็นถึงการคิดค้นรูปแบบใหม่อย่างแท้จริงในสมันรัชกาลที่ ๓ ตลอดจนการสร้างพระอดีตพุทธเจ้านี้เป็นพระราชประสงค์หนึ่งของรัชกาลที่ ๓ ในการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่พระราชวงศ์ตามคติพระโพธิสัตว์ ดังมีหลักฐานระบุในพระราชปุจฉาเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับพระราชประเพณีในการสร้างวัดของพระมหากษัตริย์ในอดีต ทั้งเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศให้กับเจ้าจอมน้อยผู้ปฏิสังขรณ์วัดด้วย หอพระไตรปิฎก สันนิษฐานว่าหอพระไตรปิฎกนี้ได้รับการสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ สร้างอยู่กลางสระน้ำตามแบบอย่างของหอไตรในสมัยโบราณ และน่าจะเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในกรุงรัตนโกสินทร์ที่ยังรักษารูปแบบไว้ได้เป็นอย่างดี จัดเป็นอาคารแบบไทยประเพณี หลังคาทรงจั่วลดชั้นหน้าบัน เรือนของหอไตรมีระเบียงกั้นพนักล้อมทั้งสี่ด้านมีเฉลียงรอบ และมีหลังคาพาไลคลุมโดยรอบ ส่วนของผนังเรือนด้านหน้ามีประตูทางเข้าที่มีซุ้มประตูทรงบรรพแถลง ผนังด้านข้างเป็นหน้าต่าง ๒ ช่อง ประดับซุ้มทรงปราสาหยอด ซึ่งซุ้มหน้าต่างทรงปราสาทยอดประดับตกแต่งด้วยเครื่องไม้กึ่งลอยตัววิจิตรงดงามอย่างมาก งานประดับตกแต่งที่สำคัญที่ได้รับการยกย่องคือ การประดับกระจกเกรียบหลากสีเต็มพื้นที่ฝาผนังและเสาระเบียง เป็นลายดอกไม้สี่กลีบในกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เป็นหอไตรอย่างไทยประเพณีที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์หาได้ยาก และน่าจะเหลือเพียงหลังเดียวในกรุงรัตนโกสินทร์ สำหรับภายในมีงานจิตรกรรมฝาผนังเขียนที่คอสองเป็นเรื่องทศชาติ
รูปหอพระไตรปิฎก
มณฑปประดิษฐานพระปางฉันสมอ (องค์จำลอง) มณฑปเป็นอาคารทรงปราสาทยอด มีส่วนฐานสิงห์ยกสูง ส่วนเรือนธาตุเป็นช่องโปร่งแบบบุษบกสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นเข้าไปภายในได้ พระฉันสมอซึ่งประดิษฐานในมณฑป กล่าวกันว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์พร้อมกับพระบางและพระแซกคำ สำหรับพระปางฉันสมอนั้นในพุทธประวัติคือตอนพระพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขสัปดาห์ที่ ๗ ซึ่งทรงรับผลสมอจากพระอินทร์ ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ กล่าว่า จากพุทธศิลป์ซึ่งผสมผสานศิลปะล้านนาแต่ครองจีวรแบบพระพุทธรูปจีนรวมทั้งการแสดงปางรับผลสมอไม่เคยปรากฏในศิลปะล้านมาและศิลปะล้านช้างจึงน่าจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นใหม่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๕ แล้ว
กรมศิลปากร ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๔ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๐
ชื่อผู้แต่ง พระราชวรญาณมุนี (เปลี่ยน ปุณฺโณ ป.๙ )
ชื่อเรื่อง วจนานุกรม สมาสท้อง เล่ม ๒
พิมพ์ครั้งที่ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์การศาสนา
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๒
จำนวนหน้า ๑๑๓ หน้า
รายละเอียด
หนังสือที่จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระเทพญาณเวที (ฦา ยติกเถร) เจ้าอาวาสวัดบูรณศิริมาตยารามเป็นหนังสือรวมคำศัพท์สมาสท้องที่วิเคราะห์แล้วทั้งสิ้น ๑,๒๐๐ คำศัพท์ แบ่งเป็น ๔ เล่มๆละ ๓๐๐ ศัพท์ เล่มนี้เป็นเล่ม ๒ ตั้งแต่อักษร ค-ธ เพื่อใช้เป็นคู่มือสำหรับนักเรียนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี
ได้มาจากวัดห้วยสะพาน ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน)อย.บ. 136/5ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 18 หน้า กว้าง 5.3 ซม. ยาว 55.7 ซม.หัวเรื่อง พระอภิธรรมปิฎก พระกถาวัตถุบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาด ไม้ประกับธรรมดา ได้รับจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ จังหวัดนครราชสีมา ชวนดูหนังสั้นที่คุณไม่ควรพลาด! "I love every you : รักนะทุกร่างเธอ" เปิดโลกความรักในมิติวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ผ่านเรื่องราวที่อบอุ่น ละมุนละไม และลึกซึ้งในทุก “ร่าง” ของความเป็นเธอ เพราะความรักไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว, และ "ทุกเธอ" ก็คู่ควรกับการถูกรักในแบบที่เป็น, แม้ "ร่างเธอ" จะเปลี่ยนไป ความรักของเขาจะเปลี่ยนไปหรือไม่?? ติดตามชมและพิสูจน์รักแท้พร้อมกันเร็ว ๆ นี้ที่เพจ Facebook พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ : Maha Viravong National Museum และ YouTube : https://youtu.be/cyQ6Uf8fpQY
เลขทะเบียน : นพ.บ.662/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4 x 52 ซ.ม. : รักทึบ-ลานดิบ-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 213 (165-173) ผูก 3 (2568)หัวเรื่อง : แปดหมื่นสี่พันขัน--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.727/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 12 หน้า ; 5 x 54 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 228 (326-331) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : ปัญญาบารมี--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.789/1ขห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 12 หน้า ; 4 x 53 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 243 (477-487) ผูก 1ข (2568)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมตรวจเยี่ยมและมอบหมายภารกิจกรมศิลปากร ในการจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ และบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถและพระยานมาศ เพื่อเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันที่ 27 ตุลาคม 2568 นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่าตามที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากคณะรัฐมนตรีให้ดูแลรับผิดชอบด้านรูปแบบพิธีการและการจัดสร้างพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงได้ประชุมหารือเพื่อรับทราบแนวทางการดำเนินงานของกรมศิลปากรในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ โดยให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามโบราณราชประเพณี มีความสง่างามสมพระเกียรติในฐานะแม่แห่งแผ่นดิน อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ทั้งนี้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรจะขอรับพระราชวินิจฉัยจากองค์ที่ปรึกษาตามขั้นตอน และปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถตามข้อสั่งการของรัฐบาล
ทั้งนี้ กรมศิลปากร ได้มอบหมายภารกิจให้หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ การออกแบบและจัดสร้างพระเมรุมาศ สิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ ดำเนินการโดยสำนักสถาปัตยกรรม การบูรณปฏิสังขรณ์ราชรถ พระยานมาศ และโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ดำเนินการโดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ การจัดสร้างเครื่องประกอบพระเมรุมาศ และเครื่องสังเค็ด ดำเนินการโดยสำนักช่างสิบหมู่ การประโคมในพระราชพิธีสวดพระอภิธรรมและการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดระยะเวลาการจัดงานพระราชพิธี ดำเนินการโดยสำนักการสังคีต และการจัดทำหนังสือจดหมายเหตุงานพระบรมศพงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ดำเนินการโดยสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
“นอกจากการประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ แล้ว ได้เข้าสังเกตการณ์การดำเนินงานสำรวจตรวจสอบสภาพราชรถ ราชยาน ณ โรงราชรถ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อเตรียมการอนุรักษ์ บูรณะ ซ่อมแซม และตกแต่งให้งดงามสมพระเกียรติ ซึ่งขั้นตอนแรกนักวิทยาศาสตร์ ภัณฑารักษ์ และช่างสิบหมู่ จะร่วมกันสำรวจสภาพปัจจุบันก่อน เพื่อวางแผนงานอนุรักษ์ บูรณะ ซ่อมแซม ตลอดจนการตกแต่งให้งดงามตามแบบศิลปกรรมไทยประเพณี คาดว่าจะดำเนินการบูรณะราชรถ ราชยาน คานหามทุกองค์ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ไม่เกิน 1 ปี โดยหลังจากวันนี้ จะได้ขอฤกษ์สำหรับวันทำพิธีบวงสรวงราชรถ ราชยาน และเครื่องประกอบพระเกียรติยศ เพื่อเริ่มงานบูรณะราชรถตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่อไป ทั้งนี้ กรมศิลปากร จะปิดให้บริการเข้าชมโรงราชรถตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมเป็นต้นไป จนกว่าการพระราชพิธีจะแล้วเสร็จ” นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์กล่าว
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ขอเชิญผู้สนใจเข้าชมนิทรรศการ "สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ กับเมืองราชบุรี" ณ อาคารสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ตึกเหลือง) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ตั้งแต่วันพุธที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ เป็นต้นไป เปิดวันพุธ - วันอาทิตย์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. สอบถามเพิ่มเติม โทร. ๐ ๓๒๓๒ ๑๕๑๓
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ ๕ สมเด็จเจ้าพระยาคนสุดท้ายในแผ่นดินสยาม ขุนนางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัย ผู้มีคุณูปการอย่างมากมายกับเมืองราชบุรี ปรากฏหลักฐานร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ทั้งทำเนียบสมเด็จเจ้าพระยาฯ วัดวาอาราม รวมถึงช่องทางคมนาคม อาทิ คลองดำเนินสะดวก ถนนศรีสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเติบโตของเมืองรองอย่างเมืองราชบุรีตั้งแต่ครั้งอดีตกาลที่ส่งผลมาจวบจนถึงปัจจุบัน