ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ

           นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากร โดยกองโบราณคดี ได้ดำเนิน “โครงการศึกษาโบราณคดีวัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร และพัฒนาการชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์” โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณและความร่วมมือในการดำเนินงานจาก “มูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา”              อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การดำเนินงานในระยะแรก จะเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีภายในพื้นที่โบราณสถานหรือเขตพุทธาวาสของวัดจักรวรรดิราชาวาส ระหว่างวันที่ 19 มีนาคม – 12 เมษายน 2567    ซึ่งทางวัดจักรวรรดิได้ขอให้กรมศิลปากรเข้ามาดำเนินงานโบราณคดี เพื่อนำข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีไปใช้ในการออกแบบบูรณะโบราณสถานและการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในพื้นที่โบราณสถานวัดจักรวรรดิราชาวาส เพื่อรักษาศาสนสมบัติและมรดกวัฒนธรรมให้ยั่งยืน โดยรูปแบบการดำเนินงานทางโบราณคดีของโครงการ จะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและการแบ่งปันองค์ความรู้สู่สังคมในวงกว้าง เปิดโอกาสให้อาสาสมัคร ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป ได้เข้ามาร่วมสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดี ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยให้นักโบราณคดีรุ่นใหม่ได้เข้ามาฝึกฝนและเรียนรู้ประสบการณ์จริงในการทำงานภาคสนามทางโบราณคดี ส่วนการสำรวจชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์ มุ่งเน้นศึกษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนประวัติศาสตร์เมืองบางกอก โดยเฉพาะชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลย่านสำเพ็ง เยาวราช และตลาดน้อย เพื่อเป็นทุนทางวัฒนธรรมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณภาพของสังคมในย่านประวัติศาสตร์อย่างยั่งยืน              วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร หรือวัดสามปลื้ม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร มีประวัติว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาให้เป็นพระอารามหลวง เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ควบคู่กับชุมชนบางกอกและสำเพ็งมายาวนาน มีปูชนียวัตถุสถานที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์หลายประการ เช่น วิหารพระนาก พระอุโบสถ พระวิหารกลาง พระปรางค์และมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาท รวมถึงรูปเหมือนพระพุฒาจารย์มา หรือท่านเจ้ามา และรูปเหมือนเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นต้น 


         ศาสตราจารย์ ศิลป พีระศรี (Prof. Silpa Bhirasri)          ศิลปิน : ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (Silpa Bhirasri)          ปีพุทธศักราช: ปี พ.ศ.2499 (1956))          เทคนิค: สำริด ( Bronze)          ขนาด : สูง 22 เซนติเมตร ( H. 22 cm.)          ประวัติ : นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2465 เป็นศิลปินอาวุโสคนสำคัญในด้านประติมกรรม ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ยอมรับในวงการศิลปะและทั่วไป ได้สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมทั้งที่เป็นงานศิลปะแบบปัจจุบันและประเพณีไว้มากมาย ได้ส่งผลงานเข้าร่วมแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ได้รับรางวัลเกียรตินิยมเหรียญทองหลายครั้งและได้เป็นศิลปินชั้นเยี่ยม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าปฏิบัติราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อพุทธศักราช 2508 ได้รับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณจนเกษียณอายุราชการ ผลงาน   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/silpabhirasri/360/model/s01ok/   ที่มา: http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/silpabhirasri


#รีวิวซ่องนครโสเภณี #โรงรับชำเราบุรุษ เมื่อซีรีส์ที่ร้อนแรงแห่งปีอย่าง #บางกอกคณิกา ได้หยิบยกเรื่องราวของหญิงนครโสเภณีขึ้นมา ผลิตเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในช่วงปี 2435 หรือในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการพัฒนาของบ้านเมือง และโสเภณีอาชีพ ในขณะเดียวกันก็เป็นยุคที่มีการเลิกทาสด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการชมละคร วันนี้ พี่บรรณฯ จึงขอนำเรื่องราวของโรงรับชำเราบุรุษ หรือหญิงนครโสเภณี ที่ครั้งหนึ่ง ในสังคมไทยได้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย และมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง จนเงินเหล่านี้ได้มาสร้างความเจริญแก่บ้านเมือง สร้างถนนหนทางให้ได้ใช้กันจนถึงปัจจุบัน จัดทำโดย นางรสสุคนธ์ ตั้งนภากร บรรณารักษ์ชำนาญการ



ชื่อเรื่อง                     พระพุทธรูปศิลาขาวสมัยทวารวดีผู้แต่ง                        ธนิต  อยู่โพธิ์ครั้งที่พิมพ์                  4ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ศาสนา เลขหมู่                      294สถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร ปีที่พิมพ์                    2510ลักษณะวัสดุ               46 หน้า หัวเรื่อง                     ศาสนาภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกหนังสือพระพุทธรูปศิลาขาว สมัยทวารวดีเล่มนี้ กล่าวถึงพระพุทธรูปศิลาขาวสมัยทวารวดี ณ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ปางประทานปฐมเทศนา นักปราชญ์ทางโบราณคดียกย่องว่า พระพุทธองค์นี้มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมาก เพราะเป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี มีอายุกว่าพันปีมาแล้ว


                   เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๒ กรมศิลากร ได้จัดกิจกรรมสักการะพระพุทธรูป ณ วังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน :นพปฏิมารัตนมารวิชัย ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๒ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีพระพุทธสิหิงค์เป็นประธาน และอัญเชิญพระแก้วปางมารวิชัย ซึ่งทำจากรัตนชาติวรรณะต่าง ๆ ๙ องค์ ประกอบด้วย พระพุทธรูปรัตนชาติมงคลโบราณ ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พระพุทธรูปรัตนชาติ ที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือโบสถ์พระแก้ววังหน้าเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๗ และพระพุทธรูปรัตนชาติศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มาแต่เดิมอีก ๗ องค์ นำมาให้ประชาชนได้สักการะในคราวเดียวกันเพื่อประทานพรให้เกิดสวัสดิมงคลในการเริ่มต้นสู่ศักราชใหม่ พระพุทธสิหิงค์  ปางสมาธิ แบบศิลปะ/อายุสมัย       ศิลปะสุโขทัย-ล้านนา ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ ประวัติ                          สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้ารัชกาลที่ ๑)                                     ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเชียงใหม่เมื่อประมาณ พุทธศักราช ๒๓๓๘  ปัจจุบันประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร             ในสมัยโบราณมักเรียกรัตนชาติเหล่านี้ว่า “แก้ว” เปรียบดุจพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยแก้วทั้งสาม ทั้งยังเป็นอัญมณีสูงค่าอันหาได้ยาก ถือว่ามีค่ามากดุจแก้วสารพัดนึก แม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็มีค่ากว่าพระพุทธรูปที่หล่อด้วยโลหะ ซึ่งแต่ละสีจะมีชื่อและความหมายที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้พระพุทธรูปรัตนชาติทั้ง ๙ องค์ ยังแสดงปางมารวิชัย อันเป็นภาวะที่มั่นคงไม่ไหวติงต่อภยันอันตรายทั้งปวง   “นพปฏิมารัตนมารวิชัย” หมายถึง พระแก้วปางมารวิชัย ทั้ง ๙ องค์   ๑. พระแก้วน้ำค้าง ให้คุณด้านอยู่เย็นเป็นสุข สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ๒๕ เจ้าพรหมสุรธาดา เจ้านครเมืองน่าน ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗     โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร   ๒. พระแก้วกาบมรกตอ่อน สมัยรัตนโกสินทร์พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๐๗   ๓. พระแก้วน้ำค้าง ให้คุณด้านอยู่เย็นเป็นสุข สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  มาแต่เดิม   ๔. พระแก้วน้ำค้าง ให้คุณด้านอยู่เย็นเป็นสุข สมัยรัตนโกสินทร์พุทธศตวรรษที่ ๒๕ เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  มาแต่เดิม   ๕. พระแก้วกาบมรกต ให้คุณด้านปลอดภัย แคล้วคลาด และยศตำแหน่ง สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  มาแต่เดิม   ๖. พระแก้วน้ำหาย ให้คุณด้านอยู่เย็นเป็นสุข สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  มาแต่เดิม   ๗. พระแก้ววิฑูรย์น้ำผึ้ง ให้คุณด้านเมตตามหานิยม และป้องกันอัคคีภัย สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  มาแต่เดิม   ๘. พระแก้วจันทรกานต์ ให้คุณด้านโชคลาภ และการติดต่อค้าขาย สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  มาแต่เดิม   ๙. พระแก้ววิฑูรย์น้ำผึ้ง ให้คุณด้านโชคลาภทวีคูณ ชื่อเสียงและอำนาจ สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นพระพุทธรูปที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  มาแต่เดิม  


ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์เขียนขึ้นราวปี พ.ศ. ๒๓๓๘ ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของการสร้างบ้านสร้างเมือง ผู้คนล้วนอพยพมาจากฝั่งธนบุรีซึ่งเดิมก็เป็นชาวอยุธยา แม้แต่ช่างเขียนภาพก็เช่นเดียวกัน ย่อมเป็นช่างที่ตกค้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์จึงถือได้ว่าเป็นยุคฟื้นฟูงานจิตรกรรมไทย ซึ่งก่อนหน้านั้นมีแต่เรื่องของการรบทัพจับศึก การสร้างผลงานจึงมีลักษณะความอัดอั้นตันใจที่จะแสดงออกถึงฝีมือและการสร้างสรรค์ใหม่แต่แฝงด้วยคตินิยมสมัยเก่า ปัจจุบันภาพเขียนยุคเริ่มแรกเหลือน้อยมาก เนื่องจากสภาพอากาศและภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งเป็นเขตร้อนชื้นทำให้ภาพจิตรกรรมฯ ชำรุดไปตามกาลเวลา ประกอบกับเทคนิคนิยมในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยที่สืบทอดกันมาเป็นการเขียนแบบปูนแห้ง ซึ่งแตกต่างจากเทคนิคการเขียนแบบปูนเปียกที่นิยมเขียนกันในแถบยุโรปซึ่งมีความคงทนมากกว่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์จึงเกิดความชำรุดอย่างรุนแรง แต่ก็ได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องในยุคหลัง สันนิษฐานว่าเขียนซ่อมมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งปรากฏเทคนิคการเขียนภาพแบบตะวันตกทำให้ภาพมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าในความจริงศิลปะแบบดั้งเดิมของเรามีลักษณะพื้นฐานไม่สามารถเข้ากันได้กับศิลปะคลาสสิคแบบตะวันตก แต่ถือได้ว่าภาพที่เขียนซ่อมในสมัยรัชกาลที่ ๔ ย่อมมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างน่าสนใจ   หนังสือเรื่อง “จิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรย์” ได้อธิบายเนื้อหาของภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ โดยเฉพาะผนังที่เขียนเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งมีทั้งหมด ๓๒ ผนัง ยกตัวอย่าง ผนังที่ ๑ พระราชพิธีอภิเษกสมรสพระเจ้าสุทโธทนะ ผนังที่ ๓๒ ถวายพระเพลิง พระมหากัสสปะกราบพระยุคลบาท ฯลฯ   กรมศิลปากรหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะเสริมสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของมรดกวัฒนธรรมไทย และอำนวยประโยชน์แก่ผู้สนใจโดยทั่วกัน   จัดพิมพ์สี่สีสวยงาม จำหน่ายราคาเล่มละ ๗๖๐ บาท ติดต่อสั่งซื้อได้ที่กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร ถนนหน้าพระธาตุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สอบถามเพิ่มเติมได้ โทร. ๐ ๒๒๒๒ ๐๙๓๔, ๐ ๒๒๒๒ ๓๕๖๙  



รายชื่อโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย           อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมีการสำรวจโบราณสถานมาตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๘ พบโบราณสถานทั้งสิ้น ๑๙๓ แห่ง  ได้ประกาศขึ้นทะเบียนแล้วจำนวน ๕๘ แห่ง คือ 1. วัดมหาธาตุ ๒. เนินปราสาท ๓. วัดศรีสวาย ๔. วัดสระศรี ๕. วัดตระพังเงิน ๖. หลักเมือง ๗. วัดชนะสงคราม ๘. วัดตระพังทอง ๙. วัดใหม่ ๑๐. วัดตระกวน ๑๑. วัดตระพังสอ ๑๒. วัดซ่อนข้าว ๑๓. ศาลตาผาแดง (ศาลพระเสื้อเมือง) ๑๔. วัดมุมเมือง ๑๕. วัดข้าวสาร ๑๖. วัดกำแพงแลง ๑๗. กำแพงเมืองและคูเมือง ๑๘. วัดหนองปรือ ๑๙. วัดศรีชุม ๒๐. วัดอ้อมรอบ ๒๑. วัดพระพายหลวง ๒๒. วัดผีดิบ ๒๓. วัดเตาทุเรียง ๒๔. วัดสังฆาวาส ๒๕. วัดคุ้งหวาย ๒๖. วัดหินตั้ง ๒๗. วัดลาวพันลำ ๒๘. กลุ่มโบราณสถาน เตาเผาเครื่องเคลือบดินเผา ๒๙. วัดตระพังนาค ๓๐. วัดมุมลังกา ๓๑. วัดอโสการาม ๓๒. วัดตระพังน้ำชวด ๓๓. วัดต้นจันทร์ ๓๔. วัดเชตุพน ๓๕. วัดเจดีย์สี่ห้อง ๓๖. วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม ๓๗. วัดยายชี(ใต้) 38. วัดคลองป่าลาน 39. วัดตระพังช้าง 40. วัดโบสถ์ 41. วัดอีฝ้าย 42. วัดหญ้ากร่อน 43. วัดช้างล้อม 44. วัดเจดีย์ยอดหัก 45. วัดตระพังทองหลาง 46. วัดเจดีย์สูง 47. วัดเกาะไม้แดง 48. วัดนครชุม 49. วัดสะพานหิน 50. วัดพระบาทน้อย 51. วัดป่ามะม่วง 52. วัดศรีโทน 53. วัดตึก 54. หอเทวาลัยเกษตรพิมาน 55. วัดมังกร 56. วัดเจดีย์งาม 57. วัดเขาพระบาทใหญ่ 58. วัดช้างรอบ




  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียงประกอบไปด้วยนิทรรศการและส่วนการบริการดังต่อไปนี้     ๑. อาคาร ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’ เป็นอาคารศูนย์รวมส่วนบริการต่างๆ ได้แก่ จุดประชาสัมพันธ์และจำหน่ายบัตรเข้าชม ห้องประชุม และห้องจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน  ๒. อาคาร ‘กัลยาณิวัฒนา’ เป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการหลัก ประกอบไปด้วยส่วนจัดแสดงย่อยจำนวน ๙ ส่วน         ส่วนจัดแสดงที่๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับบ้านเชียง ส่วนจัดแสดงนี้บอกเล่าถึงการเสด็จประพาสในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งนำพาความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ในการศึกษาและการพัฒนาแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง และแหล่งอื่นๆ ในประเทศไทย พระราชปุจฉาซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสถามเมื่อคราวเสด็จนั้นถูกนำมาจัดแสดงในส่วนนี้เพื่อเกริ่นนำถึงขั้นตอนการศึกษาทางด้านโบราณคดีเบื้องต้น       ส่วนจัดแสดงที่๒ การดำเนินงานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง นำเสนอลำดับเวลาการศึกษาทางด้านโบราณคดีในบ้านเชียง โดยเน้นเหตุการณ์สำคัญ รวมถึงบุคลากรที่มีส่วนสำคัญทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ     ส่วนจัดแสดงที่๓ การปฏิบัติงานทางโบราณคดีที่บ้านเชียง แสดงถึงขั้นตอนการทำงานและการศึกษาระหว่างการขุดค้นโดยนักโบราณคดีระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ เช่น การแบ่งประเภทและวิเคราะห์โบราณวัตถุที่พบ รวมถึงวีดีทัศน์บทสัมภาษณ์ชาวบ้านในท้องถิ่น         ส่วนจัดแสดงที่๔ บ้านเชียง:หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ฉากและบรรยากาศจำลองแสดงสภาพหลุมขุดค้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๑๘ โดยผู้เข้าชมสามารถเยี่ยมชมและสังเกตขั้นตอนการทำงานภายในหลุมขุดค้นจำลองอย่างใกล้ชิด       ส่วนจัดแสดงที่๕ โบราณวัตถุจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดโพธิ์ศรีใน โบราณวัตถุที่ถูกพบในหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีในถูกนำมาจัดแสดงในส่วนจัดแสดงนี้ โดยแบ่งออกตามสมัยของวัฒนธรรมบ้านเชียง ทั้ง ๓ สมัย เช่น เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ และเครื่องประดับจากวัสดุธรรมชาติ แก้ว หิน และโลหะ     ส่วนจัดแสดงที่๖ วัฒนธรรมบ้านเชียงยุคก่อนประวัติศาสตร์ จัดแสดงฉากจำลองและโบราณวัตถุเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในวัฒนธรรมบ้านเชียง โดยจำลองบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมในช่วงสมัยดังกล่าว       ส่วนจัดแสดงที่๗บ้านเชียง:การค้นพบยุคสำริดที่หายสาบสูญ นิทรรศการนี้ถูกดัดแปลงมาจากนิทรรศการที่ถูกจัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียเพื่อการจัดแสดงในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสิงคโปร์ โดยมีอธิบายการศึกษาทางโบราณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปโดยสังเขปจนถึงการค้นพบวัฒนธรรมในยุคสำริดที่แหล่งบ้านเชียง         ส่วนจัดแสดงที่๘ บ้านเชียง:มรดกโลก จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้รับเลือกเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อที่๓ “เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว”       ส่วนจัดแสดงที่๙ การกระจายตัวของวัฒนธรรมบ้านเชียง จัดแสดงโบราณวัตถุที่ถูกพบระหว่างการสำรวจจากแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ใกล้เคียงกับพื้นที่แหล่งบ้านเชียงตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เพื่อศึกษาการกระจายตัวของวัฒนธรรมบ้านเชียงในบริเวณแอ่งสกลนคร ปัจจุบันมีการค้นพบแหล่งโบราณคดีที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมบ้านเชียงจำนวน ๑๒๗ แหล่งกระจายตามลุ่มน้ำสำคัญในจังหวัดอุดรธานี สกลนคร และหนองคาย  ๓. อาคารนิทรรศการไทพวน จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของชาวไทพวนซึ่งเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานในแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงในปัจจุบัน       หลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน ตั้งอยู่ในวัดโพธิ์ศรีในห่างออกไปจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียงทางทิศตะวันออกราว ๕๐๐ เมตร หลังจากการเสด็จประพาสวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ กรมศิลปากรได้ปรับปรุงหลุมขุดค้นภายในวัดโพธิ์ศรีในเพื่อจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกของประเทศ     เรือนไทพวนอนุสรณ์ เดิมเป็นบ้านของคุณพจน์ มนตรีพิทักษ์ ซึ่งอนุญาตให้กรมศิลปากรทำการขุดค้นฯ ในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ หลังจากการเสด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ คุณพจน์ผู้เป็นเจ้าของจึงบริจาคบ้านหลังนี้รวมถึงที่ดินให้กับกรมศิลปากรเพื่อสงวนรักษา เป็นอนุสรณ์สถานการเสด็จประพาสครั้งนั้น เรือนไทพวนอนุสรณ์ได้รับพระราชทานรางวัลด้านการอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปีปีพ.ศ. ๒๕๕๐ โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์      




ภาชนะดินเผาทรงปากแตร เลขทะเบียน ๐๙/๓/๒๕๔๗  ๐๙/๒๖/๒๕๓๑ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคสำริด อายุประมาณ ๓,๕๐๐ – ๒,๕๐๐ ปี มาแล้ว ดินเผา ขนาด  ๑. สูง             ๑๐.๕ เซนติเมตร                           ปากกว้าง   ๑๑.๕ เซนติเมตร                       ๒. สูง            ๑๙.๕ เซนติเมตร                            ปากกว้าง  ๑๖.๓ เซนติเมตร           พบจากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท ตำบลธารปราสาท อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา           จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ได้มีกลุ่มชนโบราณเริ่มเข้ามาปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยและฝังศพอยู่บริเวณเนินดินบ้านปราสาท และมีความสามารถในการผลิตภาชนะดินเผาที่มีรูปแบบสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาชนะทรงปากแตรมีลักษณะคล้ายคนโฑ คอแคบ ปากผายออก เคลือบผิวด้วยน้ำดินสีแดงและขัดมัน บางใบมีการตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบ หรือลายเขียนสีคล้ายแบบบ้านเชียง           ภาชนะดินเผาเป็นโบราณวัตถุที่พบมากในแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ จากการขุดค้นได้พบหลักฐานว่า ภาชนะดินเผารู้จักทำกันมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่แล้ว เพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะใช้เป็นภาชนะสำหรับปรุงอาหาร ใส่อาหาร หรือเก็บถนอมอาหาร และภาชนะที่ทำขึ้นใช้ในพิธีกรรม โดยเฉพาะประเพณีการฝังศพ   Pottery Registration No. 09/3/2547, 09/26/2531 Earthenware,  1. Height               10.5 cm.                            Rim diameter    11.5 cm.                         2. Height              19.5 cm.                             Rim diameter   16.3 cm. Bronze Age, Prehistoric period: ca. 3,500 – 2,500 years ago.             Found during the excavation of the Ban Prasat archaeological site, Ban Prasat, Non Sung district, Nakhon Ratchasima province.           Potteries excavated at Ban Prasat are unique and feature various forms. However, a well-known distinguishing mark is the red slipped, burnished, trumpet rim of the globular pots. Namely, a narrow neck, a wide trumpet-like mouth and red slipped, burnished surface.           Evidence from the excavation site has found that the pottery was made during the Neolithic Period. The pots were used for many purposes such as storing food and water, and for burial purposes.    



Messenger