ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,757 รายการ

ชื่อเรื่อง : พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมครั้งที่ 4 สมเด็จกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ โปรสให้พิมพ์ขึ้นอีกเมื่อปีมะเมีย 2473 ชื่อผู้แต่ง : จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2473สถานที่พิมพ์ : พระนครสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากรจำนวนหน้า : 166 หน้าสาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้รวบรวมพระราชหัตถเลขา (จดหมายที่พระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งเองหรือเขียนเองและลงพระนามด้วยพระราชหัตถ์ไปถึงผู้ใดผู้หนึ่ง) ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเนื้อหาสำคัญ อาทิ พระราชหัตถเลขาถึง เสอร ชยอน เบาว์ริง ลงวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1855 เรื่องทรงอนุญาตให้เรือรบยิงสลูตเคารพแดนในแม่น้ำเป็นครั้งแรก พระราชหัตถเลขาถึงพระยาวิชิตชลธี ลงวันจันทร์ เดือน 9 ขึ้น 6 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1223 เรื่องมีผู้ยื่นเรื่องราวกล่าวโทษพระยาตาก ว่ากล่าวคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นต้น


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           11/6ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              32 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


          กลับมาอีกครั้งกับกิจกรรรม “ ฮีต ๑๒ ฮอยฮีตคองวัฒนธรรม” เปิดศักราชใหม่ด้วยประเพณีบุญใหญ่ของชาวอีสาน “บุญเดือนสี่ : บุญผะเหวด” โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ร่วมกับพันธมิตรเครือข่าย ทุกท่านจะได้พบกับกิจกรรม ดังนี้           - “ธุงผะเหวด” ลวดลายวิจิตร และการบรรยายความรู้เกี่ยวกับ “ธุงผะเหวด” จากกลุ่มช่างทอธุงบ้านบัวเจริญ ตำบลทุ่งเทิง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ทุงอีสาน -ทุงบ้านบัวเจริญ อุบลราชธานี และความรู้เกี่ยวกับประเพณีบุญผะเหวดของชาวอีสาน โดยพระวิทยากร พระปกรณ์ ชินวโร วัดมณีวนาราม และขอเชิญร่วมขบวนแห่ธุงผะเหวดโบราณที่ม่วนซื่นสวยงาม           - วาดงานศิลป์บนผืนธุงผะเหวด โดยนักศึกษาคณะศิลปกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี           - สาธิตการทำธุงใยแมงมุม ที่มีรูปแบบและสีสันอันหลากหลาย           - ตลาดอุบลฮักคราฟท์ ได้นำผลิตภัณฑ์ออแกนิค และงานฝีมือต่างๆจากชุมชนคนอุบลฯ อุบล"ฮัก"คราฟท์-Ubon Hugs Crafts มาให้เลือกชม ชิม ช็อป           ขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมกิจกรรมได้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๘.๐๐ น. ทั้งนี้ หากไม่สามารถไปร่วมกิจกรรมได้ สามารถรับชมถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กเพจ Ubon Ratchathani National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี https://www.facebook.com/UbonNationalMuseum อย่าลืมกดถูกใจ กดติดตาม จะได้ไม่พลาดกิจกรรมดีๆ


๓ มีนาคม ๒๕๖๖ วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day)      วันอนุรักษ์สัตว์ป่าโลก หรือ วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ตรงกับวันที่ ๓ มีนาคม ของทุกปี โดยข้อเสนอของประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมไซเตสครั้งที่ ๑๖ เมื่อวันที่ ๓ - ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร เนื่องในวาระครบรอบ ๔๐ ปี วันลงนามรับรองอนุสัญญาไซเตส ๓ มีนาคม ๒๕๑๖ เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักให้กับกลุ่มประเทศภาคีอนุสัญญาไซเตสทั้ง ๑๗๘ ประเทศ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษยชาติ      ซึ่งในปีนี้ พ.ศ. ๒๕๖๖ ครบรอบ ๕๐ ปี ของการรับรองอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) มีการจัดงานภายใต้แนวคิดหลัก  "ร้อยมือ ร่วมรักษ์ พิทักษ์สรรพชีวิต - Partnerships for Wildlife Conservation" โดยตลอดระยะเวลา ๕๐ ปี ที่ผ่านมา “พันธมิตร (Partnerships)” ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานอนุสัญญาประสบผลสำเร็จลุล่วงด้วยดีเสมอมา ทั้งนี้ ก็ด้วยความตั้งใจของภาคีสมาชิก (Parties) และการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติ (UN agencies) องค์กรภาคเอกชน (private sector) องค์กรการกุศล (philanthropies) และองค์กรพัฒนาเอกชน (non-governmental organizations) ตลอดจนความร่วมมือในระดับชาติและระดับท้องถิ่น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำให้ชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ยังคงอยู่ต่อไป ด้วยการผนึกกำลังในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่าและพืชป่าอย่างยั่งยืน รวมถึงการต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมายและการลดลงของประชากรสัตว์ป่าและพืชป่า ดังนั้น วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก จึงถือเป็นการเฉลิมฉลองให้กับอนุสัญญาไซเตสที่เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงกลุ่มพันธมิตรทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน และสร้างการมีส่วนร่วมที่สำคัญต่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่าและความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน      การรักษาไว้ซึ่งกลุ่มพันธมิตรที่มีอยู่เดิมไปพร้อมกับการสร้างพันธมิตรใหม่ ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของทุกชีวิตบนโลก ความเป็นอยู่ของมนุษยชาติในฐานะชนิดพันธุ์หนึ่งนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของจำนวนประชากรสัตว์ป่าและพืชป่า และความเฟื่องฟูของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะช่วยค้ำจุนให้โลกใบนี้มีสุขภาวะที่ดีและเป็นแหล่งพึ่งพิงให้ทุกชีวิตต่อไป การที่จะเป็นเช่นนั้นได้ จำเป็นต้องอาศัยความพยายามในการทำงานร่วมกันจากหลายภาคส่วน อันเป็นการเปิดโอกาสกับผู้คนที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น และนี่จึงเป็นสิ่งที่วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ต้องการมุ่งเน้นและเป็นที่มาของแนวคิดหลัก (Theme) ประจำปีที่ว่า “Partnerships for Wildlife Conservation” ขณะนี้ หอสมุดฯ ยังเปิดทำการอยู่ แวะมาอ่านกันได้นะคะ อ้างอิง กรมประชาสัมพันธ์. วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day). [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖, จาก: https://www.prd.go.th/.../category/detail/id/31/iid/161979  กองคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา. วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖, จาก: https://portal.dnp.go.th/Content/citesdnp?contentId=1227  World Wildlife Day Thailand. ประวัติที่มา Background. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖, จาก: https://wildlifedaythailand.org/about.php  จัดทำโดย พัชมณ ศรีสัตย์รสนา บรรณารักษ์ชำนาญการ


รายงานผลการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล กรมศิลปากร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565


เลขทะเบียน : นพ.บ.504/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 42 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 168  (216-223) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : รามชาตก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม



      ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี       เรียบเรียง/ภาพ : นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย       ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง  เดิมเรียก ศาลเทพารักษ์หลักเมือง   ตั้งอยู่ในตัวเมืองเก่าสุพรรณบุรี พื้นที่ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง   จังหวัดสุพรรณบุรีถือกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนในจังหวัดสุพรรณบุรีเคารพนับถือกันมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว เจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี เป็นประติมากรรมศิลาสลักรูปทิพยบุคคล 2 องค์ เป็นรูปพระวิษณุตามพระมติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงสันนิษฐานไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2479               ศาลหลักเมืองสุพรรณบุรีนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีมาแล้วตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสรุปเรื่องราวที่ชาวเมืองสุพรรณบุรีนับถือเจ้า ผี และปลูกศาลให้พำนัก จนกลายเป็นศาลเทพารักษ์ต่างๆ ในหนังสือโบราณคดี เรื่องที่ 4 “ห้ามไม่ให้เจ้ามาเมืองสุพรรณ” และในหนังสือ “สาส์นสมเด็จฯ” ว่า คงเป็นอุปนิสัยของชาวเมืองที่ติดมาช้านาน โดยเชื่อว่าเจ้า ผี สามารถบันดาลให้ตนเองอยู่เย็นเป็นสุข หรือทำร้ายเมื่อทรงพิโรธ จึงพากันกราบไหว้และเส้นสรวงเป็นอย่างดี เพื่อให้ เจ้า ผี หรือ เทพารักษ์มีความพอใจ มิให้เบียดเบียน ที่กล่าวว่า “เทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรี” ดุร้าย ก็น่าจะเอาคติการนับถือเจ้า ผี ไปปนกับเทพารักษ์ก็เป็นได้ ต่อมาจึงเคารพบูชาเป็นหลักของเมือง เช่นเดียวกับเสาไม้แก่นลงอาคมปักไว้กลางเมือง เหมือนเมืองอื่นทั่วไป        ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สุพรรณบุรี เป็นทรงไทยอยู่ใต้อาคารหลังใหญ่แบบก๋งจีน ประกอบไปด้วย ศาลทรงไทยที่ประดิษฐานองค์เจ้าพ่อหลักเมือง เป็นศาลทรงไทยรูปพระอุโบสถ มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบัน คันทวย ทรงคล้ายโบสถ์ หน้าบันมีช้างสามเศียร ด้านซ้ายมีราชสีห์ ด้านขวาคือคชสีห์ชูฉัตร 5 ชั้น หมายถึงกระทรวงมหาดไทยและกลาโหมในสมัยก่อน       ภายในศาลทั้ง 3 ด้าน แสดงภาพเขียนศิลปะจีน เป็นเทพธิดาบรรเลงทิพยสังคีต ด้านหลังศาลมีภาพแกะสลักนูนต่ำ เรื่องราวของเทพทั้ง 8 (โป๊ยเซียน) ที่มารวมกลุ่มบันดาลความสุข โชคลาภและอำนวยพรให้ผู้เข้ามาสักการบูชา ด้านข้างทั้ง 2 ของศาลแกะสลักภาพนูนต่ำเป็นรูปลูกพญามังกร และภาพวาดแสดงสัญญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลคบไฟที่สืบทอดกันมาเป็นพันกว่าปี ในปลายเดือน 6 ของปฏิทินเกษตร เพื่อรำลึกถึงบรรพชนและขอพรปีใหม่จะมีการถือคบไฟแห่แหนไปในทุ่งกว้าง และดื่มเหล้าจาจิ่ว โดยเทใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วเวียนกันดื่มด้วยหลอดก้านปอ ครบทุกคน ตามความเชื่อของชาวเมืองสุพรรณบุรีมาช้านานว่า เจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีทั้ง 2 องค์ โปรดปราณความรื่นเริง       ปัจจุบันศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สุพรรณบุรี เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ชาวสุพรรณบุรีนับถือกันมาก มีพิธีแห่อันเชิญเจ้าพ่อและงานทิ้งกระจาดทุกปี ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 กรมศิลปากรได้ ประกาศ ขึ้นทะเบียนโบราณสถานศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี   ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม  พ.ศ. 2478   อ้างอิง : คู่มือสุพรรณบุรี.  นนทบุรี : สื่อเสรี, 2544.  เลขหมู่ 915.937 ค695 ตรี อมาตยกุล.  เรื่องจังหวัดสุพรรณบุรี.   พระนคร : ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยวัฒนาพานิช แผนกการพิมพ์, 2500.   เลขหมู่ 915.9593 ต181รพ พระมหาอดิศร ถิรสีโล.  ประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณบุรี.   กรุงเทพฯ :โอเดียนสโตร์, 2547.   เลขหมู่ 959.373 พ358ป 49 ปี แห่งความมุ่งมั่น จารึกไว้...ในแผ่นดิน.  เพชรบุรี : เพชรภูมิการพิมพ์, 2556.  เลขหมู่ 915.9373 ส733 สุพรรณบุรี 400 ปี ยุทธหัตถี.  สุพรรณบุรี : ม.ป.พ., ม.ป.ป.   เลขหมู่ 959.373 ส829 สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี.  ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สุพรรณบุรี .  [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก https://www.finearts.go.th/fad2/ (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565) สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี กรมศิลปากร กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม




ชื่อเรื่อง                                        สพ.บ.424/7ก พระเจ้าห้าสิบชาติ (ห้าสิบชาติ) สพ.บ.                                          424/7ก ประเภทวัดุ/มีเดีย                            คัมภีร์ใบลาน หมวดหมู่                                      พุทธศาสนา ลักษณะวัสดุ                                  54 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม. หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนา                                                  เทศน์มหาชาติ บทคัดย่อ/บันทึก                เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับล่องชาต ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


กรมอุตินิยมวิทยาได้ประกาศ การเริ่มต้นฤดูฝนของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๖ ในวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ พบว่า จะมีฝนตกชุกหนาแน่นและต่อเนื่องครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบกับลมที่พัดปกคลุมประเทศไทยที่ระดับผิวพื้นถึงความสูงประมาณ ๓.๕ กิโลเมตร ได้เปลี่ยนทิศเป็นลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดนำความชื้นจากทะเลอันดามันเข้ามาปกคลุมบริเวณประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และลมชั้นบนตั้งแต่ระดับความสูง 5 กิโลเมตรขึ้นไป ได้เปลี่ยนทิศเป็นลมฝ่ายตะวันออก ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ฤดูฝนของ ประเทศไทยในปีนี้ . ในฤดูฝนก็มีปรากฏการณ์ลมกรรโชกแรง ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ซึ่งคนไทยในอดีตเชื่อกันว่าเหตุที่ฟ้าแลบนั้นเป็นเพราะนางมณีเมขลาหรือนางเมขลา ผู้ดูแลรักษามหาสมุทร ถือแก้ววิเศษแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนก้อนเมฆ ส่วนเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นเสียงของขวานเพชรที่ยักษ์รามสูรขว้างออกไปหวังประหารนางเมขลา เพราะรามสูรอยากได้แก้วในมือนางมณีเมขลา . หากสืบความพบเรื่องราวเมขลาล่อแก้ว ปรากฏในหนังสือ “เฉลิมไตรภพ” เป็นวรรณกรรมโบราณที่มีลักษณะเป็นตำนานหรือนิทาอธิบายเหตุ มีที่มาจากตํานานในคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ พุทธศาสนา และวรรณกรรมไทย และมีแนวคิดเกี่ยวข้องกับเรื่องเทพเจ้า โลก-จักรวาล และชีวิต ที่ผู้แต่งได้ร้อยเรียงเรื่องไตรภพหรือสามโลก ตำนานการสร้างโลก เทวกำเนิด และปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ . เฉลิม ไตรภพ กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนางเมขลาแอบกินน้ำอมฤตและขโมยดวงแก้ว ไปจนถึงยักษ์ (รามสูร) ไล่ชิงดวงแก้วนางเมขลาจนเกิดปรากฏการณ์ฝนฟูานั้น เฉพาะเหตุการณ์ ยักษ์ (รามสูร) ไล่ชิงดวงแก้วนางเมขลาจนเกิดปรากฏการณ์ฝนฟ้า เป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏให้เห็นในรามายณะฉบับอินเดียตอนใต้ซึ่งเข้าใจว่ามีอิทธิพลต่อวรรณกรรมไทยโบราณ ดังปรากฏหลักฐานให้ เห็น เช่น สมุดภาพไตรภูมิฉบับอยุธยา หรือในรามเกียรติ์สํานวนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่กล่าวถึงรามสูร ปะโรต และนางเมขลาทําให้เกิด ปรากฏการณ์ฝนฟ้า แม้เหตุการณ์ยักษ์ (รามสูร) ไล่ชิงดวง แก้วนางเมขลาจนเกิดปรากฏการณ์ฝนฟ้า ซึ่งโครงเรื่องนี้คงเป็นแนวคิดร่วมกันที่พบตั้งแต่ “เฉลิมไตรภพ” กลุ่มสุริยาศศิธรในสมัยอยุธยา มาจนถึงกลุ่มพระยาราชภักดี (ช้าง) สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งผู้ประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ประพันธ์ประเภทกลอนสวด ประกอบด้วย โคลงสี่สุภาพ ร่าย และกาพย์ ไว้ให้อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน . ที่มาข้อมูลและภาพ ๑. หนังใหญ่ เมขลาล่อแก้ว อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๕ เก็บรักษาที่ห้องหนัง คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ๒. เว็บไซด์ กรมอุตุนิยมวิทยา https://www.tmd.go.th/ ๓. เปรมวัฒนา สุวรรณมาศ, “เฉลิมไตรภพ”: การศึกษาแนวคิดและกลวิธีสร้างสรรค์, วิทยานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทยและภาษาวัฒนธรรมตะวันออก คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีการศึกษา ๒๕๖๐. ๔. ภาพเมขลาในสมุดไทยดำ จาก https://th.wikipedia.org/ . เผยแพร่โดย นางสาวศรินยา ปาทา ภัณฑารักษ์ชำนาญการ กลุ่มวิจัย สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ


#พิพิธภัณฑ์สรรหาสาระ : บทความออนไลน์จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี "พระพุทธรูปที่เก่าที่สุดจากเมืองศรีมโหสถ เมืองทวารวดีในภาคตะวันออก" - พระพุทธรูปปางสมาธิ พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ (ประมาณ ๑,๔๐๐ – ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว) หินทราย ขนาด ตักกว้าง ๑๗.๕ ซม. สูง ๒๗ ซม. - พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ ขมวดพระเกศาค่อนข้างใหญ่ พระอุษณีษะนูน พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระเนตรโปน พระขนงต่อกัน พระนาสิกแบน พระโอษฐ์หนา พระกรรณยาวจรดพระอังสา ถึงแม้รายละเอียดค่อนข้างลบเลือนแต่ยังปรากฏร่องรอยการครองจีวรห่มเฉียง ลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้เป็นลักษณะที่พบในพระพุทธรูปศิลปะทวารวดีในภาคกลาง และมีความใกล้เคียงกับพระพุทธรูปแบบอังกอร์โบเรย ในวัฒนธรรมเขมรโบราณสมัยก่อนเมืองพระนครซึ่งมีอายุร่วมสมัยกัน ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - พระพุทธรูปแกะสลักจากหินทรายองค์นี้ พบในขณะที่หน่วยศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี ได้ดำเนินการลอกบ่อน้ำหน้าอาคารประดิษฐานรอยพระพุทธบาท โบราณสถานสระมรกต ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๖ ซึ่งบริเวณนี้ ปรากฏหลักฐานทั้งรูปแบบวัฒนธรรมทวารวดี และวัฒนธรรมเขมรโบราณในพื้นที่เดียวกัน การพบพระพุทธรูปและรอยพระพุทธบาทคู่ในพื้นที่นี้ แสดงถึงการนับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยได้อิทธิพลจากอินเดีย และลังกา ที่แพร่เข้ามายังดินแดนนี้ในช่วงเวลาดังกล่าว - ปัจจุบัน พระพุทธรูปองค์นี้ กรมศิลปากรได้อัญเชิญไปร่วมจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ เรื่อง "พระพุทธรูปสำคัญในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ" ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ท่านผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ ระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๐ กันยายน ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. วันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร) อ้างอิง: - กรมศิลปากร. พระพุทธรูปสำคัญในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗), ๒๕๖๖ ผู้เรียบเรียบ: นางสาววัชรี ชมภู ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร


 องค์ความรู้ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก เรื่อง “ท้อ” สัญลักษณ์แห่งการมีอายุยืนยาว   “ลูกท้อ” หรือ “ลูกพีช” ในการรับรู้ของชาวตะวันตก (ภาษาจีน : 桃子 เถาจื่อ, ชื่อวิทยาศาสตร์ : Prunus persica) เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ก่อนจะแพร่หลายไปยังยุโรปผ่านพ่อค้าชาวเปอร์เซีย และไปถึงทวีปอเมริกาพร้อมนักเดินเรือชาวสเปนในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลูกท้อจึงกลายเป็นผลไม้ที่รู้จักกันทั่วโลกนับแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากความสำคัญในฐานะสมุนไพรที่มีสรรพคุณต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และระบบขับถ่ายแล้ว ลูกท้อยังมีบทบาทต่อวัฒนธรรมจีนเป็นอย่างมากซึ่งถือว่าลูกท้อเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาวและความเป็นอมตะ และถูกใช้เป็นตัวแทนของเทพเจ้าโซ่ว ๑ ใน ๓ เทพแห่งดวงดาวของลัทธิเต๋า ฝู ลู่ โซ่ว (หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อ ฮก ลก ซิ่ว) นอกจากนี้ ลูกท้อยังหมายถึงฤดูใบไม้ผลิและความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากดอกท้อจะบานในเดือนมีนาคมซึ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันเป็นฤดูกาลที่พืชพรรณต่าง ๆ เริ่มผลิดอกออกผลหลังผ่านพ้นฤดูหนาวที่แห้งแล้ง อีกทั้งชาวจีนยังมีความเชื่อว่าต้นท้อสามารถป้องกันขับไล่ปีศาจได้ จึงนิยมนำต้นท้อหรือกิ่งท้อมาประดับตกแต่งภายในบ้าน ไม่เพียงเท่านั้น ลูกท้อยังปรากฏในตำนานเทพและวรรณกรรมหลายเรื่องของจีน เช่น เชื่อกันว่าพระแม่ซีหวังหมู่ ราชินีสวรรค์ผู้ปกครองเทพฝ่ายหญิง มีสวนท้อวิเศษอยู่บนเขาคุนหลุนที่มีสรรพคุณทำให้ผู้รับประทานเป็นอมตะ ดังที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง “ไซอิ๋ว” ที่ซุนหงอคงได้แอบกินลูกท้อในสวนของพระแม่ซีหวังหมู่จนหมดและกลายเป็นอมตะ หรือในบทประพันธ์ เรื่อง “สามก๊ก” ได้กล่าวว่าเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุยสาบานเป็นพี่น้องกันในสวนท้อของเตียวหุย ซึ่งสวนท้อนั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงมิตรภาพของทั้งสามที่มีความยั่งยืนยาวนานดุจลูกท้อ รวมไปถึงซาลาเปาที่ปั้นและแต้มสีแดงให้เหมือนกับลูกท้ออย่างโซ่วเถา (壽桃, ภาษาแต้จิ๋ว : ซิ่วท้อ) อันเป็นอาหารที่ชาวจีนนิยมมอบให้ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุในโอกาสสำคัญ เพื่อเป็นการอวยพรให้มีอายุยืนยาว จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ต้นท้อจึงมีอิทธิพลกับความเชื่อของชาวจีนเป็นอย่างมากเพราะมิได้ปรากฏอยู่แค่ในงานศิลปกรรม งานวรรณศิลป์เท่านั้น หากยังแฝงอยู่ในวิถีชีวิตของชาวจีนอีกด้วย เมื่อจีนมีการติดต่อกับดินแดนต่าง ๆ ดินแดนเหล่านั้นก็พลอยได้รับอิทธิพลทางความเชื่อเหล่านี้ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่ประเทศไทยนั่นเอง ---------------------------------------------- ที่มาของข้อมูล : Facebook Page พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก : Sawanvoranayok National https://www.facebook.com/sawanvoranayok/posts/pfbid0D4TM1NwLDPWSMnQCnBEes6diUxXu6tkYjhzhwqJ4uvGsbQd4yfEkkFrHnzf8XWBJl  



black ribbon.