ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,597 รายการ

กำเนิดคริสตจักรโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย           คริสตจักรโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย มีประวัติศาสตร์ย้อนไปตั้งแต่ในปี พ.ศ.๒๓๗๑ เมื่อศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน จากสมาคมมิชชันนารีลอนดอน และศาสนาจารย์นายแพทย์คาร์ล กุตสลาฟ จากสมาคมมิชชันนารีฮอลันดา เข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนานิกายโปรเตสแตนต์เป็นครั้งแรกในประเทศสยาม ต่อมาจึงมีคณะมิชชันนารีเดินทางเข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนาอีกหลายคณะ รวมทั้งมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนด้วยมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน           ในปี พ.ศ.๒๓๘๐ มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนเข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และเมื่อถึงพ.ศ.๒๓๙๒ ศาสนาจารย์สตีเฟน แมตตูน แหม่มแมตตูน(ภรรยา) ศาสนาจารย์นายแพทย์แซมมูเอล เรโนลด์ เฮาส์ ศาสนาจารย์สตีเฟน บุช และภรรยา ได้ดำเนินการประชุมเพื่อสถาปนาคริสตจักรอเมริกันเพรสไบทีเรียนในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตั้งที่ทำการของมิชชันอยู่ที่บริเวณชุมชนกุฎีจีน กรุงเทพมหานคร และต่อมาย้ายไปยังย่าน สำเหร่ทั้งหมดในพ.ศ.๒๔๐๐           สำเหร่จึงกลายมาเป็นศูนย์กลางการทำงานของคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน เป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสตจักรที่ ๑ มีบ้านพักมิชชันนารี โรงเรียน โรงพิมพ์ ครบครัน มิชชันนารีที่เพิ่งเดินทางมาใหม่สามารถเข้ามาอาศัยเพื่อเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมไทย ก่อนที่จะเดินทางออกไปเผยแผ่ศาสนาและจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีในเมืองต่างๆ สำหรับในภาคใต้ได้มีการจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีที่นครศรีธรรมราชเมื่อพ.ศ.๒๔๔๓ และจัดตั้งศูนย์มิชชันนารีที่ตรังในพ.ศ.๒๔๕๓แรกเริ่มศาสนาคริสต์ในตรัง           ราว ๒๔๔๘(ค.ศ.๑๙๐๕) ศาสนาจารย์จอห์น แคริงตัน(Rev.John Carrington) แห่งสมาคมพระคริสตธรรมอเมริกันเดินทางมาเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่จังหวัดตรัง ในครั้งนั้นท่านได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งแก่หลวงเพชรสงคราม (นายบุญนารถ ไชยสอน) ซึ่งทำให้หลวงเพชรสงครามหันมานับถือคริสต์ศาสนาในเวลาต่อมา แต่เนื่องจากเมืองตรังในขณะนั้นไม่มีหมอสอนศาสนาประจำอยู่ จึงทำให้ยังไม่มีโอกาสเข้าพิธีรับบัพติศมา(พิธีรับศีลล้างบาป) จนกระทั่งศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) เดินทางมายังจังหวัดตรังจึงได้เข้ารับบัพติศมา และถือว่าหลวงเพชรสงครามเป็นคริสเตียนคนแรกของจังหวัดตรังกำเนิดคริสตจักรตรัง           คริสตจักรตรัง เป็นส่วนหนึ่งของคณะเพรสไบทีเรียนสยาม(คริสตศาสนานิกายโปรแตสแตนท์) ปัจจุบันสังกัดคริสตจักรภาคที่ ๑๗ คริสตจักรตรังกำเนิดขึ้นในพ.ศ.๒๔๔๘(ค.ศ.๑๙๐๕) เมื่อพระยารัษฎานุปะดิษฐ์(คอซิมบี้ ณ ระนอง) มอบเงิน ๓,๐๐๐ ดอลลาร์ ให้ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) เพื่อดำเนินการสร้างโรงพยาบาลทับเที่ยงขึ้นที่จังหวัดตรัง และอนุญาตให้ดำเนินการเผยแผ่คริสตศาสนาได้โดยเสรี แต่ก็ยังไม่นับเป็นวันเริ่มต้นของคริสตจักรตรังอย่างเป็นทางการสถานีประกาศทับเที่ยง           วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๕๓ (ค.ศ.๑๙๑๐) ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป ได้เลือกที่ดินในบริเวณตลาดทับเที่ยงเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลทับเที่ยงและเป็นที่ตั้งของสถานีมิชชั่น(Station)หรือสถานีประกาศ ซึ่งหมายถึงฐานหรือสถานีปฏิบัติงานของคณะ จึงนับเป็นวันเริ่มต้นของคริสตจักรตรังอย่างเป็นทางการ โดยผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดำเนินงานในระยะเริ่มแรกนี้ได้แก่ ศาสนาจารย์ ดร.ยูจีน เพรสลี ดันแลป (Rev.Dr. Eugene Pressly Dunlap) นางอีเมไลน์ วิลสัน คริสส์(Mrs.Emaline Wilson Criss) ภรรยาของท่าน นายแพทย์ลูเชียส คอนสแตนท์ บัลค์ลีย์ (Dr.Lucius Constant Bulkley) นางเอ็ดน่า บูรเนอร์ บัลค์ลีย์ (Mrs.Ednah Bruner Bulkley) ครูตุ้น(ชาวจีน) และนายจวง จันทรดึกผู้ช่วยด้านการแพทย์ชาวไทย ทั้งนี้ได้เริ่มให้มีการถือศีลระลึกถึงความมรณาของพระเยซู และมีการให้บัพติศมา ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ (ค.ศ.๑๙๑๒)โรงสวดทับเที่ยง           ต่อมาในพ.ศ.๒๔๕๖ (ค.ศ.๑๙๑๓) คริสตจักรตรังได้รับอนุญาตให้ซื้อที่สำหรับสร้างสุสานและโบสถ์ ทั้งนี้ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๕๖ มีสมาชิกคริสตจักรตรัง ๗๐ คน มาช่วยกันปรับที่ดิน และสร้างโบสถ์ทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจาก บนดินที่ได้ช่วยกันปรับพูนขึ้น รวมทั้งสร้างม้านั่ง และประดับประดาจนเสร็จสิ้นภายใน ๑ วัน เรียกกันว่า “โรงสวดทับเที่ยง” ใช้เป็นสถานที่นมัสการแทนสถานที่เดิมคือห้องประชุมของโรงพยาบาลทับเที่ยงวิหารทับเที่ยง           ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๕) ได้สร้างโบสถ์หลังใหม่ก่อด้วยอิฐฉาบปูนเรียกชื่อว่า “วิหารทับเที่ยง” ซึ่งยังคงปรากฏมาถึงปัจจุบัน โดยในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ ได้มีการประกอบพิธีถวายอาคารหลังนี้ และทำการการฉลองเป็นเวลา ๓ วันในระหว่างวันที่ ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๕๘ วิหารแห่งนี้สามารถรองรับผู้คนซึ่งเดินทางมานมัสการได้ราว ๒๐๐ คนลักษณะทางสถาปัตยกรรม           “วิหารทับเที่ยง” มีลักษณะเป็นอาคารชั้นเดียว ก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๑๙ เมตร มีหน้าต่างด้านละ ๗ บาน ประตูด้านหน้า ๑ ประตู ด้านหลัง ๒ ประตู หน้าต่างและประตู มีกรอบวงกบรูปวงโค้ง มีคิ้วปูนอยู่เหนือกรอบวงกบ ภายในแบ่งเป็นห้องโถงเล็กด้านหน้าประตู และห้องโถงใหญ่ภายใน โดยที่ผนังเหนือซุ้มหน้าห้องโถงเล็กมีอักษรจารึกว่า “วิหารคริศศาสนาสร้างค.ศ.๑๙๑๕” ส่วนหลังคามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์แบบเก่า ด้านข้างของอาคารมีหอระฆัง โดยส่วนหลังคาของหอระฆังเมื่อแรกสร้างนั้นมีลักษณะเป็นดาดฟ้า รูปทรงคล้ายป้อมทหารโบราณ โดยในเวลาต่อมาได้ทำการต่อเติมหอระฆังและย้ายระฆังจากชั้นที่ ๒ ไปไว้ชั้นที่ ๓ รวมทั้งเปลี่ยนรูปทรงหลังคาของหอระฆังด้วยการบูรณะ พ.ศ.๒๕๒๘ (ค.ศ.๑๙๘๕)           ดำเนินการระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม การบูรณะในครั้งนี้ได้เปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาจากกระเบื้องซีเมนต์แบบเก่า มาเป็นกระเบื้องใยสังเคราะห์ ปรับปรุงเพดานด้วยการบุกระเบื้องยิปซัม เปลี่ยนพื้นจากพื้นปูนหยาบเป็นปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิกส์สีขาวครีม ทาสีผนังทั้งภายนอกและภายใน และทำเวทีใหม่ให้ลดความสูงลง การบูรณะ พ.ศ.๒๕๕๐(ค.ศ.๒๐๐๗) พ.ศ.๒๕๕๐ คณะกรรมการบริหารคริสตจักรตรังเห็นสมควรให้มีการบูรณะวิหารทับเที่ยงที่ชำรุดทรุดโทรมลง จึงมีคำสั่งลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ แต่งตั้งนายเทิดศักดิ์ ตรีรัตนพันธ์ เป็นผู้ควบคุมดูแลการบูรณะ ให้นายสนิท พานิช เป็นวิศวกรที่ปรึกษา โดยใช้งบประมาณจากการถวายของสมาชิกคริสตจักรตรังในการดำเนินการ การบูรณะในครั้งนี้ได้เปลี่ยนกลับมาใช้กระเบื้องว่าวตามแบบโบราณ ซ่อมแซมผนังส่วนที่แตกร้าวโดยใช้กรรมวิธีแบบโบราณ เสริมกระจกใสบริเวณหน้าต่าง ออกแบบตู้ไม้สำหรับติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนวัสดุปูพื้นจากเซรามิกส์เป็นแผ่นหินอ่อนจากสระบุรี ปรับปรุงระบบไฟฟ้าทั้งหมด ทั้งนี้การบูรณะได้ดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑รางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น          พ.ศ.๒๕๕๒ วิหารคริสตจักรตรัง ได้รับการคัดเลือกจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทปูชนียสถานและวัดวาอารามโบราณสถานวิหารคริสตจักรตรัง           พ.ศ.๒๕๔๕ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวิหารคริสตจักรตรัง เป็นโบราณสถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๑๗ ง วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕------------------------------------------------------ เรียบเรียงโดย นายสารัท ชลอสันติสกุล นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


ชื่อเรื่อง                     พระไตรลักษณ์ (พระไตรลักษณ์เทศนา)สพ.บ.                       295/2ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               28 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 54.9 ซม.หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              เทศนาบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี    


ชื่อเรื่อง                                มหาฉนฺทชาตก (ชนสันทะ) สพ.บ.                                  346/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           54 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                            ชาดก                                          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.166/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  58 หน้า ; 4 x 50 ซ.ม. : ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับ, มีฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 98 (49-66) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : นิทานพระศรีอริยเมตไตร --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.47/1-1  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)  ชบ.บ.88ค/1-43  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.216/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  40 หน้า ; 5 x 59 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 111 (159-169) ผูก 1ก (2565)หัวเรื่อง : สังฮอมธาตุ --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.357/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 66 หน้า ; 4.5 x 53.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 138  (402-410) ผูก 5 (2565)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (วิภังคปริจเฉท อภิธรรมปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


       เข้าสู่ปลายเดือนตุลาคมกับการเฉลิมฉลองของชาวตะวันตกในเทศกาลฮาโลวีน  ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี เรียกวันนี้ว่า “วันปล่อยผี” ขอกล่าวถึง “นัต” ผีกึ่งเทพของประเทศพม่า ที่มีการเคารพบูชากันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน หลายท่านอาจเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก หากกล่าวถึง “เทพทันใจ” ที่จะดลบันดาลพรที่ปรารถนาให้สัมฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็วทันใจ ที่เป็นที่รู้จักของคนไทย คือ“นัตโบโบยี” เป็นนัตตนหนึ่งที่ได้รับการเคารพนับถือเป็นอย่างมากในพม่า วันนี้เชิญชวนทุกท่านมาทำความรู้จัก "นัต" ให้มากยิ่งขึ้น        ภายใต้ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาในสังคมพม่า ปรากฏการบูชาผีอย่างเข้มข้นในเวลาเดียวกัน หิ้งนัตถูกตั้งบูชารองลงมาจากหิ้งพระเกือบทั่วทุกบ้านเรือน ชี้ให้เห็นว่า นัตเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพม่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระพุทธศาสนา    “นัต”(ภาษาพม่า: နတ်) มาจากคำว่า “นาถ” ในภาษาบาลี หมายถึง “ผู้เป็นที่พึ่ง” ณ ที่นี้คือ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทรงอิทธิฤทธิ์ เป็นที่พึ่งพิงและปกป้องคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขได้  นัตจึงไม่ใช่วิญญาณธรรมดาสามัญ มีสถานะกึ่งผีกึ่งเทพ แต่ไม่เทียบเท่ากับเทพ ส่วนใหญ่มักเป็นบุคคลที่เสียชีวิตผิดธรรมชาติ เสียชีวิตด้วยภัยร้ายแรง และจำเป็นต้องมีฤทธานุภาพในการคุ้มครองปกปักรักษาด้านต่าง ๆ จึงถือว่ามีคุณสมบัติที่จะเป็นนัตได้       การจัดระบบนัตเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พุกาม ได้อัญเชิญพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทจากเมืองมอญมายังพุกาม ด้วยความช่วยเหลือจากพระเถระชินอรหันต์ พระองค์มีพระราชโองการให้กวาดล้างพระพุทธศาสนา นิกายอารี และความเชื่อนอกรีตต่างๆ รวมถึงการยกเลิกพิธีบูชานัตที่เขาโปปา ทรงจัดระบบนัตแล้วรวบรวมไว้ที่พระเจดีย์ชเวชิโกง นัตบางตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนัตหลวง เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาพระเจดีย์  เป็นการจัดระเบียบและตั้งศูนย์รวมจิตใจใหม่ให้ชาวพม่า  ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา  โดยแต่งตั้ง “ตะจามิง” พระอินทร์ หรือ ท้าวสักกะ ขึ้นเป็นประมุขของนัตทั้งปวง และแบ่งนัตเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่   “นัตพุทธ” คือ นัต 37 ตน ตามคัมภีร์มหาสมยสูตร และอาฏนาฏิยสูตรของพระพุทธศาสนา    “นัตใน” คือ นัต 37 ตน ที่ถูกกำหนดให้อยู่ภายในเขตกำแพงพระเจดีย์ชเวชิโกง นัตบางตนปรากฏชื่อในคัมภีร์ศาสนาพุทธและฮินดู    “นัตนอก” คือ นัต 37 ตน ที่ถูกกำหนดให้อยู่นอกเขตกำแพงพระเจดีย์ชเวชิโกง       นัตที่ได้รับการนับถืออย่างมาก อาทิ “มิงมหาคีรี” นัตหลวงแถบเมืองตะกอง เป็นนัตบ้านนัตเรือนดูแลความปลอดภัยในบ้าน หรือ “ชเวพีญญีนอง”  นัตหลวงสองพี่น้อง เมืองมัณฑะเลย์ มีฐานะเป็นนัตครู ร่างทรงทั้งหลายต้องเคารพบูชา และมีเทศกาลบูชาทุกปี  เป็นต้น       คลังกลางฯ เก็บรักษานัตที่สำคัญองค์หนึ่ง คือ พระนางโปปาแมด่อ เจ้าแม่ผู้ดูแลเขาโปปา ตามตำนานพระนาง คือ พระนางแหม่วรรณะ  ภรรยาของหม่องพยะตะ  และเป็นมารดาของนัตหลวงสองพี่น้อง ชเวพีญญีนอง  เป็นเครือญาติกับมิงมหาคีรีนัต พระนางบำเพ็ญเพียรและสร้างคุณงามความดี รวมถึงสร้างสถานที่บำเพ็ญเพียร ณ ภูเขาโปปา จนกระทั่งเป็นผู้ได้รับพรพิเศษ ขอสิ่งใดก็สัมฤทธิ์ผล  เมื่อเสียชีวิตจึงกลายเป็นนัตที่มีคนเคารพนับถือ ชาวพม่านิยมขอพรในเรื่องความสำเร็จความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และขอให้อยู่เย็นเป็นสุข       ความเชื่อที่ฝังรากลึกเรื่องการบูชานัตของชาวพม่ายังมิหมดไป  เพราะนัตยังสามารถตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน อันจะเห็นได้จาก การยังคงมีพิธีบวงสรวงบูชานัต และอัญเชิญเข้ามาประทับทรง สืบมาจนถึงปัจจุบัน      เผยแพร่โดย  รัตนรัตน์ กุลสาคร  ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ ภาพโดย กิตติยา  เชื้อทอง  นายช่างภาพปฏิบัติงาน กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  กรมศิลปากร


ชื่อผู้แต่ง          แม้นมาส ชวลิต ชื่อเรื่อง            การระวังและซ่อมแซมหนังสือ ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์    พระนคร สำนักพิมพ์      กรุงเทพการพิมพ์ ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๖ จำนวนหน้า      ๘๐ หน้า หมายเหตุ        พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงว่าที่อำมาตย์ตรี ขุนพิทักษ์ประชารมย์ (อัสว์ ลีละหุต) ณ ฌาปนสถานวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๑๖                       หนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการซ่อมแซม และเก็บรักษาหนังสือ ประกอบด้วย การระวังรักษาหนังสือ, หน้งสือที่ควรซ่อม, เตรียมการซ่อมหนังสือ, การซ่อมหนังสือ, การเข้าเล่ม และนิตยสาร และอนุสาร


ชื่อเรื่อง : ปฏิมากรรมแห่งศิลปคันธาระ ชื่อผู้แต่ง : มานิต วัลลิโภดม. ปีที่พิมพ์ : 2512 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : กรมศิลปากรจำนวนหน้า : 20 หน้า สาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องปฏิมากรรมแห่งศิลปคันธาระ ของกรมศิลปากร ที่มีนายมานิต วัลลิโภดม เป็นผู้เขียน ซึ่งได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้เนื่องในพิธีหล่อพระประธานประจำพระอุโบสถ ณ วัดเวฬุวัน หมู่บ้านหนองถ้ำ ตำบลนิคม อำเมือเมือง จังหวัดลพบุรี ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2512




          วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วย นางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นางกมลชนก ชวนะเกรียงไกร ผู้อำนวยการสำนักหอจดหมายแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สถาปนิก วิศวกร และผู้ควบคุมงาน ประชุมคณะกรรมการตรวจรับการจ้างงาน (ประจำงวดงานที่ ๑๔) ในโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมตรวจเยี่ยมหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี



black ribbon.