ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,628 รายการ
พระพิมพ์ลีลา
สมัยสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ประมาณ ๖๐๐ ปีมาแล้ว)
ได้จากกรุที่มุมกำแพงแก้ว วิหารพระอัฏฐารส โบราณสถานวัดสะพานหิน เมืองเก่าสุโขทัย
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พระพิมพ์ดินเผารูปทรงคล้ายใบหอก กดประทับรูปพระพุทธเจ้า ตามแบบศิลปะสุโขทัย มีพุทธลักษณะสำคัญคือ พระรัศมีเป็นเปลวแหลม พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระอังสากว้าง ครองจีวรห่มเฉียง พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นแสดงอภัยมุทรา (ปางประทานอภัย) พระกรขวาแนบพระวรกาย พระบาทขวายกขึ้นแสดงอิริยาบถลีลาบนฐานเขียง
พระพุทธรูปลีลา เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของงานศิลปกรรมสุโขทัย และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ปรากฏทั้งงานประติมากรรมปูนปั้นประดับสถาปัตยกรรม งานประติมากรรมสัมฤทธิ์ และพระพิมพ์ โดยสัมพันธ์กับเรื่องราวทางพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา อีกทั้งรูปแบบของพระพุทธรูปลีลายังปรากฏในฐานะอดีตพุทธเจ้า เช่น ลวดลายบนรอยพระพุทธบาทสัมฤทธิ์วัดเสด็จ จังหวัดกำแพงเพชร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๐* หรือรูปพระสาวกที่ฐานเจดีย์ประธานวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัยก็แสดงอิริยาบถลีลาด้วยเช่นกัน
สำหรับแรงบันดาลใจของการสร้างพระพุทธรูปลีลานั้น น่าจะได้รับอิทธิพลงานศิลปะลังกา มีตัวอย่างคือจิตรกรรมฝาผนัง วิหารติวังกะ (Tivanka Pilimage) สมัยโปลนนารุวะ (ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘) นอกจากนี้การสร้างพระพุทธรูปลีลายังปรากฏในบ้านเมืองต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับสุโขทัย อาทิ พระพุทธรูปลีลาบนแผ่นทองจังโก พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน และพระพุทธรูปลีลา ณ วัดพระธาตุช้างค้ำ วัดพญาภู จังหวัดน่าน
*ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
--------------------------------------------------------
อ้างอิง :
กรมศิลปากร. พระพิมพ์ : พระเครื่องเมืองไทย. นครปฐม: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๖๔.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย: บทวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี จารึกและศิลปกรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗.
----------------------------------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูล : นายพนมกร นวเสลา ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เวียนบรรจบครบรอบความสัมพันธ์ทางพระราชไมตรี ๑๓๕ ปี ระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นสมัยเมจิ กับรัฐบาลไทยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ร่วมลงนามในหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ทางการค้าแลการเดินเรือเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๓๐ ทว่าโดยแท้จริง ชาวญี่ปุ่นรู้จักเราในนาม “ชิยามุโระ” (สยาม?) หรือ “ชามุโรโกกุ” (อยุธยา) มาแล้วกว่า ๖๐๐ ปี แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีของสองอาณาจักรที่มีต่อกันตั้งแต่ระดับราชสำนักถึงการพาณิชย์ในระดับรัฐบาล เพจคลังกลางฯ จึงขอใช้โอกาสนี้ เสนอเนื้อหาว่าด้วยเรื่อง ...๑๓๕ ปีแห่งพระราชไมตรีทางการค้า สนธิสัญญา กับความสัมพันธ์ระหว่างกรุงสยาม แลกรุงญี่ปุ่น
โดยการค้าระหว่างอาณาจักรช่วงยุคแรก เกิดขึ้นระหว่างกรุงศรีอยุธยากับ “ริวกิว” อาณาจักรอิสระที่ตั้งอยู่ในเกาะโอกินาวะ มีสินค้าที่นิยมใช้แลกเปลี่ยนค้าขาย เช่น สุรา ผ้าฝ้าย ผ้าไหม พริกไทย ไม้ฝาง ตลอดจนสินค้ากลุ่มเครื่องปั้นดินเผา ดังมีหลักฐานการขุดค้นบริเวณปราสาทซูริ และปราสาทนาคิจิน ไม่ว่าจะเป็นตลับเคลือบขาวเขียนลายสีน้ำตาล และเศษสังคโลกเคลือบเขียวจากจังหวัดสุโขทัย แต่ส่วนใหญ่เป็นไหสี่หูจากเตาแม่น้ำน้อย จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งแต่ละที่ก็มีวิธีการใช้งานแตกต่างกัน อย่างภาชนะที่พบบริเวณปราสาทซูริน่าจะนำมาใช้ประกอบพิธีกรรมด้วยพบอยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงใช้บรรจุกระดูกเจ้าเมืองในอดีต ส่วนภาชนะที่พบบริเวณใจกลางปราสาทนาคิจิน สันนิษฐานว่าภาชนะเหล่านี้น่าจะถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้น ยังเคยขุดพบภาชนะที่มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๒ เช่น ไหประทับลายดอกไม้ ซึ่งเทคนิคการกดประทับแสดงให้เห็นว่าโบราณวัตถุชิ้นนี้ผลิตจากเตาบ้านบางปูน จังหวัดสุพรรณบุรี หรือหม้อซุงโกะรุกุ (สวรรคโลก?) กำหนดอายุอยู่ในสมัยอยุธยาตอนกลาง สอดรับกับที่ช่วงเวลาหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นมีการสร้างเครื่องปั้นดินเผาเลียนแบบศิลปะอยุธยา เรียกว่า ภาชนะกลุ่มเตาซะซุมะ
จนเมื่อมีการทำสนธิสัญญาระหว่างกันเมื่อปี ๒๔๓๐ แล้ว ได้เกิดความร่วมมือกันในหลายด้านโดยลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้เกิดกรมช่างไหมในกระทรวงเกษตรและพาณิชย์ สมัยรัชกาลที่ ๕ การก่อตั้งโรงเรียนประจำสำหรับผู้หญิง ภายหลังสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงแวะสังเกตการณ์กิจการด้านการศึกษา ณ ประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้จ้างครูมาอยู่ประจำที่โรงเรียนนั้นถึง ๓ คน นอกจากนี้ ยังมีนายช่างญี่ปุ่น “มิกิ ซาคาเอะ” ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงรัก ได้เข้ามาปฏิบัติราชการในสำนักพระราชวัง รับหน้าที่ซ่อมแซมงานศิลปกรรม ตลอดจนเครื่องราชูปโภคต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง กระทั่งภายหลังได้บรรจุเป็นครูมหาวิทยาลัยศิลปากร รวมถึงในด้านศาสนา เมื่อประเทศไทยได้รับมอบพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดีย รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประสานขอพระราชทานพระบรมสาริกธาตุนั้น ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานที่วัดนิทไทจิ เมืองนาโงยา แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีของสองอาณาจักรที่เจริญวัฒนาสืบมา อย่างไรก็ดี แม้ญี่ปุ่นจะกำลังเข้าสู่ปีที่ ๔ ของยุคเรวะและประเทศไทยอยู่ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐ ก็ตาม ความสัมพันธ์ของสองอาณาจักรก็จะยังแนบแน่น มั่นคงไม่เสื่อมคลายเฉกเช่นที่ผ่านมา
ภาพที่ ๑ ตัวอย่างชั้นดินและเครื่องปั้นดินเผาจากการขุดค้นทางโบราณคดี ภาพที่ ๒ ตัวอย่างไหสี่หูและภาชนะกระเบื้องเคลือบที่พบในประเทศญี่ปุ่น ภาพที่ ๓ ตัวอย่างไหสี่หูญี่ปุ่นที่นำเข้าจากประเทศไทย
เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
พะหมี หรือผะหมี เป็นการเล่นปริศนาคำทาย พระเจนจีนอักษรอธิบายว่าคำนี้เป็นคำมาจากภาษาจีน คำว่า ผะ หมายถึง การตี ทำให้แตก หมี หมายถึง คำอำพราง รวมความแล้วผะหมีก็คือการตีปัญหาให้แตก หรือการเล่นทายปริศนานั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงวังจัดงานฤดูหนาวขึ้น ในปี 2462 ณ พระราชวังอุทยานวังสราญรมย์ มีการจัดออกร้าน ค้าขาย การแสดงต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือร้านพะหมี โดยมีพระสมัคร์ราชกิจ (หม่อมหลวงสายัณห์ อิศรเสนา) เป็นเจ้าหน้าที่ ลักษณะภายในร้านเป็นห้องโถง ตรงกลางห้องจัดเป็นห้องรับแขกสวยงาม มีฝาห้อง 3 ด้าน สำหรับแขวนกระดานชนวนที่เป็นคำถาม และด้านที่ติดถนนมีผ้าม่านรูดปิดเปิด โดยด้านในตรงกลางทำช่องเหมือนช่องขายตั๋วรถไฟ มีทางเข้าออกของเจ้าหน้าที่ ผู้ใดที่จะเล่นสามารถเดินดูข้อความบนกระดานชนวน เมื่อคิดคำตอบและแน่ใจว่าจะทายก็นำกระดานชนวนแผ่นนั้นยื่นให้กับเจ้าหน้าที่พร้อมกับเสียค่าธรรมเนียม 1 บาท เจ้าหน้าที่จะทวนคำทาย เลขลำดับคำทายและให้ผู้เล่นตอบ เมื่อถึงเวลาเปิดซองคำเฉลยระหว่างนั้นจะมีเสียงตีกลองรัว ถ้าตอบถูกหลังเสียงรัวกลองจะมีเสียงดัง ตุ้ง พร้อมแสงไฟสว่างและของรางวัลยื่นออกมา แต่ถ้าทายผิดหลังเสียงรัวกลองจะมีเสียงดัง แก๊ก ของไม้กลองที่ตีโดนข้างกลอง และไฟจะมืดลง สำหรับคำทายนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงให้พระบรมวงศานุวงศ์หลายท่านช่วยตั้งปัญหามาสำรองไว้มากมาย มีทั้งคำโคลง และร้อยแก้ว ยกตัวอย่างเช่น คำทาย : เป็นชื่อ 2 พยางค์ พยางค์ที่ 1 หมายถึง สิ่งที่คนบูชากราบไหว้ พยางค์ที่ 2 หมายถึง รุ่งเรืองพรายแสง คำตอบ : พระร่วง เป็นต้น ในส่วนของรางวัลนั้นเป็นประเภทของชำร่วยมีราคา นอกจากนี้พระองค์ทรงตั้งคำทายพิเศษไว้ว่า “ใครเก่งที่สุดในโลก” มีของรางวัลเป็นนาฬิกาข้อมือเรือนทองคำ ซึ่งคำถามนี้ได้รับความสนใจมากมายและได้ค่าธรรมเนียมสูงสุด จนกระทั่งก่อนงานจบ นายสนิทหุ้มแพร (บุญมา หิรัณยะมาน) ได้ตอบคำทายนี้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกโกรธที่โดนถามซ้ำจากเจ้าหน้าที่ จึงตอบว่า “บอกว่าไม่รู้ ไม่รู้ ยังถามอยู่ได้” และนั่นก็คือคำตอบที่ถูกต้อง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งเกี่ยวกับคำทายนี้ว่า “การที่ฉันตั้งกระทู้พะหมี ถามว่า “ใครเก่งที่สุดในโลก” ครั้งนี้ก็เพราะจะลองดีพวกถืออวดดี อวดว่า อะไรๆ ฉันก็รู้ทั้งนั้น บางท่านก็ตอบว่าพระพุทธเจ้าก็มี ฉันและใครๆ ก็คงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า พระพุทธเจ้าจะเคยสู้รบกับพระเยซูหรือพระมะหะหมัดมาบ้างแล้วหรือไม่ ฉะนั้นจะมีทางรู้ได้อย่างไร? ...บรรดาคนที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้รู้ หรือนักปราชญ์ นั้นดูจะพูดคำว่า ไม่รู้ ไม่ได้เอาเสียเลย... นับเป็นเรื่องที่ฉันมีความรำคาญใจมานานแล้ว”
ภาพ : การเล่นพะหมี
ภาพ : การอธิบายกติกาการเล่นพะหมี
---------------------------------------------------------
รายการอ้างอิง
พระราชนิพนธ์ ปริศนาคำโคลงและความเรียง. พระนคร: โรงพิมพ์ไทยเขษม, 2481.
สารานุกรมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: เจริญวิทย์การพิมพ์, 2524.
วัฒนะ บุญจับ. “พะหมี : ปริศนาแบบสหวิทยาบูรณาการ,” วชิราวุธานุสรณ์สาร 30, 2 (6 เมษายน 2554): 29-42.
---------------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย : นางสาวพีรญา ทองโสภณ บรรณารักษ์ปฏิบัติการ สำนักหอสมุดแห่งชาติ--------------------------------------------------------
*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
หนังสือเรื่อง “ลูกเจ้าพระยาในกระแสการเปลี่ยนแปลง” เป็นการ รวบรวมชีวประวัติบุตรธิดาของเจ้าพระยาที่ได้รับการสถาปนาในสมัย รัชกาลที่ ๕ – รัชกาลที่ ๗ อันเป็นสมัยของการปฏิรูประบบราชการและ การปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย เพื่อให้ประเทศไทย หรือ “สยาม” ในเวลานั้น ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ โดยที่ “ลูกเจ้าพระยา” หลายท่าน มีโอกาสได้ไปศึกษาหรือดูงานในต่างประเทศ และนำความรู้กลับมาพัฒนา บ้านเมือง จนสามารถวางรากฐานของกิจการสำ คัญ ๆ หลายประการ อันส่งผลมาถึงปัจจุบัน
เครื่องประดับทองคำรูปหน้ายักษ์ พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
เครื่องประดับทองคำ ขนาดกว้าง ๑.๑ เซนติเมตร สูง ๑.๙ เซนติเมตร สันนิษฐานว่าเป็นรูปใบหน้ายักษ์ สวมเครื่องประดับศีรษะยอดแหลม ขอบกระบังหน้าเป็นสันนูน คิ้วหนาตกแต่งด้วยขีดเป็นร่อง ระหว่างคิ้วเหนือจมูกมีรอยย่น ตาโปนกลมโต จมูกกลมใหญ่ แก้มป่อง หูสั้นมีปลายแหลม ริมฝีปากหนา อ้าปากเห็นฟันซี่ใหญ่ที่ขีดเป็นร่อง เหนือริมฝีปากด้านซ้ายและขวามีลายขีดเป็นร่องอาจเป็นหนวด ด้านหลังทำเป็นห่วงกลม และมีเดือยเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมอยู่ด้านล่าง กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว
ประติมากรรมรูปยักษ์ ปรากฏมาแล้วตั้งแต่สมัยอินเดียโบราณ และมีพัฒนาการทางรูปแบบศิลปะของแต่ละยุคสมัยเรื่อยมา ทั้งยังส่งอิทธิพลให้ศิลปกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น สำหรับงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี นอกจากเครื่องประดับทองคำรูปหน้ายักษ์ชิ้นนี้แล้ว ยังพบประติมากรรมรูปยักษ์ทำจากดินเผาหรือปูนปั้นตามเมืองโบราณสมัยทวารวดีต่าง ๆ พบทั้งประติมากรรมลอยตัวและประติมากรรมนูนสูงสำหรับประดับศาสนสถาน บางชิ้นสันนิษฐานว่าเป็นทวารบาลผู้พิทักษ์ศาสนสถาน เช่น เศียรยักษ์ปูนปั้นพบที่เมืองโบราณอู่ทอง เศียรยักษ์พบที่หน้าบริเวณที่ทำการไปรษณีย์ จังหวัดลพบุรี ทวารบาลดินเผารูปยักษ์ พบที่โบราณสถานวัดพระงาม จังหวัดนครปฐม เป็นต้น
เครื่องประดับรูปหน้ายักษ์ชิ้นนี้แม้มีขนาดเล็ก แต่ก็มีรายละเอียดที่คมชัด งดงาม เป็นหลักฐานที่แสดงถึงแสดงถึงความชำนาญและฝีมือของช่างสมัยทวารวดี ที่ทำเครื่องประดับทองคำนี้เมื่อกว่าพันปีมาแล้ว นอกจากนี้ที่เมืองโบราณอู่ทอง ยังพบเครื่องประดับทำด้วยทองคำอีกจำนวนหนึ่ง ได้แก่ เครื่องประดับรูปกินรี ตุ้มหู แหวน จี้และลูกปัด เป็นต้น
---------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
กรมศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์. กรุงเทพฯ : อมรินพริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๖๔
เฉิดฉันท์ รัตน์ปิยะภาภรณ์. “การศึกษาคติความเชื่อและรูปแบบของ “ยักษ์” จากประติมากรรมที่พบในประเทศไทย.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๑.
----------------------------------------------------
ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
https://www.facebook.com/Uthongmuseum/posts/pfbid02N59fbeRwJEM4L17dYF8JozvoiBZ57S2FvYmosk25J1yGQ5DoGT8cob846HbqKT19l
----------------------------------------------------
*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต. พรรณไม้และบทบาทของพรรณไม้ในวรรณกรรมของสุนทรภู่. กรุงเทพฯ: ธนาเพรส, 2564. 406 หน้า. ภาพประกอบ. 330 บาท.
ให้ความรู้เรื่องประวัติของสุนทรภู่ คำเรียกพรรณไม้ในวรรณกรรมของสุนทรภู่ ที่ระบุชนิดและไม่ระบุชนิดของพรรณไม้ การแบ่งประเภทพรรณไม้ในตำนานและจินตนาการ พรรณไม้ที่มีในธรรมชาติ การนำพรรณไม้มาใช้ในความเปรียบแบบอุปมาอุปไมย แบบอุปลักษณ์ แบบเกินจริงในวรรณกรรมของสุนทรภู่ บทบาทของพรรณไม้ที่มีต่อองค์ประกอบของเรื่อง ต่อเนื้อหา ต่อการดำเนินเรื่อง ต่อตัวละคร ต่อฉาก ต่อการใช้ภาษาในวรรณกรรมของสุนทรภู่ และเรื่องพรรณไม้ในวรรณกรรมสุนทรภู่กับการสะท้อนตัวตนของสุนทรภู่
895.9112
ช221พ ( ห้องหนังสือทั่วไป 2 )
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 30/7ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 26 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
โบราณสถานป้อมไพรีพินาศ ตำบลบางกะไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี
โบราณสถานป้อมไพรีพินาศตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ บ้านแหลมสิงห์ ตำบลบางกะไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี หรือพิกัดภูมิศาสตร์ที่รุ้ง ๑๓ องศา ๒๗ ลิปดา ๕๗ พิลิปดาเหนือ แวง ๑๐๑ องศา ๙ ลิปดา ๕๒ พิลิปดาตะวันออก โดยสันนิษฐานว่า เป็นป้อมที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นไทยเกิดกรณีพิพาทกับญวน เนื่องจากเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุหรือเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทร์และกบฏองค์จันแห่งเขมร ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขัดเคืองญวนที่ให้การช่วยเหลือเจ้าอนุและองค์จัน จึงมีพระราชดำริให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาและเจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่ทัพควบคุมไพร่พลไปรบญวนในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ กระทั่งในปีพ.ศ. ๒๓๗๗ จึงทรงเกรงว่าญวนจะยกไพร่พลมารบไทยคืนบ้าง จึงมีพระราชดำริให้เตรียมต่อเรือและสร้างป้อมขึ้นเพื่อป้องกัน โดยให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองเกณฑ์คนทำการต่อเรือ และให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองไปสร้างเมืองจันทบุรีขึ้นใหม่ที่ค่ายเนินวงพร้อมกับสร้างวัดโยธานิมิตเพื่อเป็นวัดประจำเมืองแล้วให้จมื่นราชามาตย์ ชื่อขำ หรือต่อมาเป็นเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ไปสร้างป้อมที่ปากน้ำจันทบุรี ดังความว่า
“... ให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองไปสร้างเมืองจันทบุรี เจ้าพระยาพระคลังให้รื้อกำแพงเมืองเก่าเสีย เพราะด้วยอยู่ลึกเข้าไปนัก ไม่เป็นที่รับรองข้าศึก จึ่งสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เนินวง ด้วยบ้านราษฎรอยู่ลึกเข้าไปข้างหลัง เมืองเป็นที่ป้องกันครอบครัวพลเมืองได้ แล้วจึงสร้างวัดขึ้นสำหรับเมืองวัด ๑ ชื่อวัดโยธานิมิต แล้วให้จมื่นราชามาตย์ ชื่อขำ ไปทำป้อมที่แหลมด่านปากน้ำป้อม ๑ ชื่อ ป้อมภัยพินาศ ที่เขาแหลมสิงห์ป้อมเก่าทำเสียใหม่ ป้อม ๑ ชื่อ ป้อมพิฆาฏปัจจามิตร แล้วโปรดให้จมื่นไวยวรนารถ ชื่อช่วง ต่อกำปั่นขึ้นลำ ๑ ปากกว้าง ๑๐ ศอก เป็นตัวอย่าง...”
อีกทั้งยังมีพระราชดำริให้สร้างป้อมเมืองฉะเชิงเทราและป้อมคงกระพันที่ปากคลองบางปลากดเมืองสมุทรปราการเพื่อเตรียมการป้องกันในครั้งนี้ด้วย
ป้อมที่ปากน้ำจันทบุรีทั้งสองแห่งที่ปรากฏในหลักฐานเอกสารนี้ ภายหลังได้รับการพระราชทานชื่อใหม่โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งยังทรงผนวชและได้เสด็จประพาสเมืองจันทบุรีพร้อมกับได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรป้อมทั้งสองแห่งนี้ ซึ่งได้พระราชทานชื่อป้อมที่เขาแหลมสิงห์ (ป้อมพิฆาฏปัจจามิตรในสมัยรัชกาลที่ ๓) ว่า “ป้อมไพรีพินาศ” และป้อมที่หัวแหลม (ป้อมภัยพินาศ) ว่า “ป้อมพิฆาฏข้าศึก” โดยในปัจจุบันป้อมไพรีพินาศยังคงหลงเหลือร่องรอยหลักฐานให้เห็น แต่ป้อมพิฆาฏข้าศึกนั้น แทบไม่หลงเหลือร่องรอยหลักฐาน เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของป้อมพิฆาฏข้าศึกเป็นที่ตั้งของตึกแดงที่สร้างขึ้นภายหลังในสมัยที่ฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๓๖
ลักษณะของป้อมไพรีพินาศเป็นป้อมที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาแหลมสิงห์ที่ยื่นออกไปทางทะเลด้านตะวันออก มีลักษณะเป็นแนวกำแพงป้อมก่ออิฐถือปูนที่ก่อขึ้นมาบนพื้นเขาธรรมชาติ โค้งไปตามแนวเชิงเขา มีขนาดความกว้างประมาณ ๓ เมตร ยาวประมาณ ๕ เมตร และแนวกำแพงป้อมหนาประมาณ ๖๐ เซนติเมตร บริเวณป้อมพบปืนใหญ่ที่ผลิตโดยบริษัทอาร์มสตรอง ประเทศอังกฤษ ซึ่งผลิตขึ้นในปี ค.ศ. ๑๘๖๘ (พ.ศ. ๒๔๑๑) มีลักษณะเป็นปืนใหญ่ที่หล่อด้วยเหล็ก บรรจุกระสุนทางปากลำกล้อง มีขนาดความยาวประมาณ ๒.๓ เมตร นอกจากนี้บริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของป้อมมีคลังกระสุนดินดำก่ออิฐถือปูนมีขนาดความกว้างประมาณ ๑ เมตร ยาว ๒.๘๐ เมตร โดยผลการขุดตรวจทางโบราณคดีในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าป้อมไพรีพินาศเป็นป้อมที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งไม่พบหลักฐานการสร้างเพิ่มเติมในสมัยหลัง และคลังกระสุนดินดำสร้างขึ้นพร้อมกันกับตัวป้อม
บริเวณใกล้กับป้อมไพรีพินาศมีเจดีย์ทรงระฆังจำนวน ๑ องค์ ซึ่งชาวจันทบุรีสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่กองทหารฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากเมืองจันทบุรี โดยได้สร้างครอบเจดีย์องค์เดิมที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งปรากฏเรื่องราวอยู่ในหลักฐานเอกสารพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เรื่องเสด็จประพาสจันทบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๙ ดังความว่า
“… แล้วเดินขึ้นไปเขาสูงประมาณสัก ๓๐ วา มีใบเสมาป้อมก่อไปตามไหล่เขาอีกชั้นหนึ่ง ข้างบนนั้นเป็นพระเจดีย์ ว่าพระพิพิธเมืองตราดมาสร้างไว้ เป็นพระเจดีย์ตามธรรมเนียม...”
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนป้อมไพรีพินาศ ตำบลบางกะไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ หน้า ๓๖๘๑ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานป้อมไพรีพินาศ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๒๙ง ลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๕ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑๗ ไร่ ๕๘ ตารางวา
เอกสารอ้างอิง
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จ. (๒๕๑๔). เสด็จประพาสจันทบุรี. ใน กรมศิลปากร (บ.ก.), ชุมนุมเรื่องจันทบุรี (น.๘๗ - ๑๘๐). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, เจ้าพระยา. (๒๕๓๘). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.
ห้างหุ้นส่วนจำกัด หินสามก้อน. (๒๕๕๕). รายงานการขุดตรวจทางโบราณคดีเจดีย์อิสรภาพป้อมไพรีพินาศ ตำบลบางกะไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี โครงการบูรณะเจดีย์อิสรภาพป้อมไพรีพินาศ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕. เอกสารอัดสำเนา.
ผู้เรียบเรียง
นางสาวเลิศลักษณ์ สุริมานนท์ นักโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี
#สำนักศิลปากรที่๕ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 139/1 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 173/7เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
หนังสือกล่าวถึงประวัติของวัดตันตยาภิรม, จดหมายเหตุรายวันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสแหลมมลายู ร.ศ. 109 (เฉพาะส่วนของเมืองตรัง), พระมหากรุณาธิคุณอุ่นเกล้าชาวตรัง, ภูมิปัญญาแผ่นดินท้องถิ่นตรัง
ชื่อเรื่อง สุพรรณบ้านเรา...ของดีเมืองสุพรรณผู้แต่ง สุนันทา สุนทรประเสริฐผู้แต่งเพิ่มเติม คมคาย เกรอด และ พัชรี ธนสาร.ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN -หมวดหมู่ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เลขหมู่ 915.9373 ส816สสถานที่พิมพ์ ราชบุรีสำนักพิมพ์ บริษัท ธรรมรักษ์การพิมพ์ จำกัดปีที่พิมพ์ ม.ป.ป. ลักษณะวัสดุ 30 หน้า : ภาพประกอบ ; 26 ซม.หัวเรื่อง สุพรรณบุรี – ภูมิประเทศและการท่องเที่ยวภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก. “ของดีเมืองสุพรรณบุรี” มีเนื้อหาเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของจังหวัดสุพรรณบุรีในด้านแหล่งท่องเที่ยว หัตถกรรมงานฝีมือ อาหารการกิน ล้วนเป็นความภาคภูมิใจของชาวสุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 11/7ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
กรมศิลปากร ขอเชิญร่วมกิจกรรมเนื่องในเทศกาลมหาสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รับความรู้คู่ความสนุกกับ “สงกรานต์แฟร์ : นพเคราะห์บูชาดาราจร รับพรสงกรานต์ปีเถาะ” วันที่ 7 - 9 เมษายน 2566 และร่วมสรงน้ำพระธาตุและเทวดานพเคราะห์ในวันที่ 12 – 14 เมษายน 2566
นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลมหาสงกรานต์ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดกิจกรรมสรงน้ำพระธาตุและเทวดานพเคราะห์ ณ ศาลาสำราญมุขมาตย์ เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ได้เพิ่มเติมการจัดกิจกรรมในลักษณะการออกร้านศิลปะเชิงสร้างสรรค์ และกิจกรรมต่าง ๆ ในหัวข้อ “สงกรานต์แฟร์ : นพเคราะห์บูชาดาราจร รับพรสงกรานต์ปีเถาะ” ระหว่างวันที่ 7 – 9 เมษายน 2566 ซึ่งประกอบด้วย 9 กิจกรรม ดังนี้
1. นิทรรศการ “เก้าดารา” เรียนรู้เกี่ยวกับเทวดานพเคราะห์ในวิถีชีวิตไทย
2. เปิด “ตลาดเก้าล้าน” แสดงและจำหน่ายสินค้าที่นักศึกษา ศิลปิน และอาสาสมัคร ได้พัฒนาต่อยอดมาจากโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
3. “สถานีเก้าสิปป์” กิจกรรมเวิร์กชอปงานศิลปะที่หยิบเล่นได้ โดยนักศึกษาและศิลปินอาร์ตทอย ณ ระเบียงด้านข้างหมู่พระวิมานฝั่งทิศเหนือ ข้างอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์
4. กิจกรรม “ทัวร์เก้ามณี” นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเรียนรู้ถึงที่มาของเทวดานพเคราะห์และเทศกาลมหาสงกรานต์ ผ่านโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในห้องจัดแสดงต่าง ๆ
5. กิจกรรม “ล่าขุมทรัพย์เก้าแต้ม” รับสมุดประทับตราแล้วออกตามหาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับเทวดานพเคราะห์ จำนวน 9 จุด เพื่อแลกรับถุงเครื่องราง “นวธัญมงคล” (เมล็ดพืชอันเป็นมงคล 9 ชนิด) เป็นของที่ระลึก วันละ 500 ชิ้นเท่านั้น
6. จิบชาเก้าชนิด “จิ๋วจ่งฉา” โดย อ๋อง ที บาย บี๋ (Ong Tea by Bee) ณ เรือนชาลีลาวดี
7. ลุ้นกาชาปองชุดพิเศษ “นวพ่าห์” สัตว์พาหนะเก้าชนิดของเทพนพเคราะห์โดย Little Turtle Studio
8. พิเศษสุดกับการเสี่ยงทายพระคเณศ “นวคเณศ” ซึ่งออกแบบโดยศิลปินอาร์ตทอยเพื่องานสงกรานต์แฟร์ 2566 โดยเฉพาะและมีจำนวนจำกัด
9. ทุกคนที่เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในช่วงงานสงกรานต์แฟร์ วันที่ 7 - 9 เมษายน 2566 จะได้รับเหรียญที่ระลึก “พิพิธคเณศ” เป็นรูปพระคเณศแบบต่าง ๆ ที่ศิลปินร่วมกันออกแบบไว้ 15 แบบ จำนวน 15,000 ชิ้น โดยจำกัดคนละ 1 เหรียญ/คน/วัน
สำหรับกิจกรรมสรงน้ำพระธาตุและเทวดานพเคราะห์ ระหว่างวันที่ 12 - 14 เมษายน 2566 ณ ศาลาสำราญมุขมาตย์ กรมศิลปากรได้อัญเชิญพระธาตุในพระกรัณฑ์ ซึ่งเดิมทีประดิษฐานในก้านพระรัศมีของ พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปองค์สำคัญ ซึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวังบวรสถานมงคล มาเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยเทวดานพเคราะห์ทั้ง 9 องค์ ผู้เป็นเจ้าเรือนชะตามนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ตามความเชื่อโบราณ มาให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะและสรงน้ำขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต อันเป็นวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่และเป็นการสืบสานประเพณีที่ดีงามของไทย
กรมศิลปากร จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมเนื่องในเทศกาลมหาสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เวลา 09.00 – 16.00 น. เพื่อความเป็นสิริมงคลในปีใหม่ไทย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟสบุ๊ก เพจ National Museum Bangkok : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หรือ โทรศัพท์ 0 2224 1333, 0 2224 1402