ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง มาตานุสรณ์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ มิตรนราการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ 2513
จำนวนหน้า 238 หน้า
รายละเอียด หนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจศพนางเศรษฐบุตรสิริสาร ( เวียน เศรษฐบุตร) ซึ่ง
จัดพิมพ์ ๒ เล่ม เล่มนี้เป็นเรื่องของราชกิจจานุเบกษาซึ่งเริ่มออกในสมัย ร.๔ และราชกิจจานุเบกษาในสมัย ร.๕
การบรรยายหัวข้อ "Open Data : การปรับตัวของห้องสมุดในยุคสังคมดิจิทัล" ออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom Meeting
สำนักหอสมุดแห่งชาติ จัดกิจกรรมพัฒนาและเผยแพร่ความรู้ด้านวิชาการ ครั้งที่ ๒ ประจำปี ๒๕๖๕ การบรรยายหัวข้อ "Open Data : การปรับตัวของห้องสมุดในยุคสังคมดิจิทัล" ออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom Meeting วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๕.๓๐ น. กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ Open Data การปรับตัวของห้องสมุดในยุคสังคมดิจิทัล แก่บุคลากรในวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กิจกรรมแบ่งการบรรยายเป็น ๓ หัวข้อย่อย ได้แก่ ๑. การบรรยายเรื่อง “Open Government กับการเปิดเผยข้อมูล (Open Data)” วิทยากรโดย นายไกลก้อง ไวทยการ ที่ปรึกษาสถาบันเทคโนโลยีเพื่อนวัตกรรมสังคม มูลนิธิบูรณชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๒. การบรรยายเรื่อง “มาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ”วิทยากรโดย ดร.อุรัชฎา เกตุพรหมผู้อำนวยการฝ่ายมาตรฐานดิจิทัลภาครัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ๓. การบรรยายเรื่อง “การปรับตัวของห้องสมุดในยุคการศึกษาแบบเปิด (Toward Open Access)” วิทยากรโดย ดร.ฐิติมา ดีบุญมี ณ ชุมแพผู้จัดการงานบริการและจัดการความรู้ ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านการสแกน QR Code ด้านล่าง หรือไปที่ https://forms.gle/TcZgWFHWGGscZQsy5 (ปิดรับลงทะเบียนวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕ หรือหากมีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวนแล้ว) รีบสมัครด่วน รับจำนวนจำกัด
กรมศิลปากร ขอเชิญชมนิทรรศการถาวร “ประณีตศิลป์สยาม ณ หมู่พระวิมาน พระราชวังบวร สถานมงคล” จัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเอก ศิลปะช่างหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์พระราชวังบวรสถานมงคล พร้อมแนะนำโบราณวัตถุ ๑๐ ชิ้นต้องชมในหมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หมู่พระวิมาน พระมณเฑียรที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้ง รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หมู่พระวิมานมีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่เรียงกัน ๓ หลัง สำหรับประทับในฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน เชื่อมต่อกันด้วยมุขเป็นห้องหลังขวางทั้ง ๔ ทิศ รวมมีพระที่นั่ง ๑๑ องค์ ท้องพระโรง ๑ องค์ พุทธศักราช ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานหมู่พระวิมาน พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ให้เป็นห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร จนกระทั่ง พุทธศักราช ๒๕๕๕ กรมศิลปากรได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) โดยมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ บูรณะอาคารต่าง ๆ ตลอดจนกลุ่มอาคารหมู่พระวิมาน และปรับปรุงการจัดแสดงนิทรรศการถาวรให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ โดยหมู่พระวิมานใช้เป็นห้องจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเอกที่แสดงเอกลักษณ์อันวิจิตรของศิลปะช่างหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวม ๑๔ ห้องจัดแสดง เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้งานประณีตศิลป์ของชาติ โดยมีฉากหลังเป็นบรรยากาศสถาปัตยกรรมและกลิ่นอายของวิถีชีวิตวังหน้า ประกอบด้วย พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ท้องพระโรงวังหน้า มุขกระสัน ทางเชื่อมระหว่างมณเฑียรที่ประทับด้านในกับท้องพระโรง จัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติยศ กรมพระราชวังบวนสถานมงคล พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร จัดแสดงเครื่องราชยาน คานหาม พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ จัดแสดงเครื่องสูง พระแท่นราชบัลลังก์และพระโธรน พระที่นั่งทักษิณาภิมุข จัดแสดงเครื่องมหรสพและการละเล่น พระที่นั่งวสันตพิมาน (บน) จัดแสดงเครื่องที่ประทับวังหน้า พระที่นั่งวสันตพิมาน (ล่าง) จัดแสดงเครื่องถ้วยในราชสำนัก พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข จัดแสดงเครื่องโลหะศิลป์ พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข จัดแสดงเครื่องสัปคับ มุขเด็จ จัดแสดงเครื่องไม้แกะสลัก พระที่นั่งอุตราภิมุข จัดแสดง อิสริยพัสตราภูษาภัณฑ์ พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ล่าง) จัดแสดงศิลปะเครื่องมุก พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (บน) จัดแสดงเครื่องใช้ในพุทธศาสนา และพระที่นั่งบูรพาภิมุข จัดแสดงเครื่องศัสตราวุธโบราณ ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้แนะนำโบราณวัตถุ ๑๐ ชิ้นต้องชมในหมู่พระวิมาน ได้แก่๑. พระที่นั่งพุดตานฝ่ายพระราชวังบวร (พระที่นั่งพุดตานวังหน้า) ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ กระทรวงวังส่งมา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องเฉลิมพระเกียรติกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มุขกระสัน พระที่นั่งพุดตาน พระราชยานสำหรับเสด็จกระบวนพยุหยาตรา ใช้พลแบกหาม ๑๖ นาย สันนิษฐานว่ารัชกาลที่ ๔ พระราชทานแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นวังหน้าที่มีพระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง ภายหลังจึงใช้เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับพระมหาอุปราชและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร๒. พระที่นั่งราเชนทรยาน ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ สำหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กระทรวงวังส่งมา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องราชยานคานหาม พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร พระที่นั่งราเชนทรยาน มีลักษณะเป็นทรงบุษบก ทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก ใช้พลแบกหาม ๕๖ นาย สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในเวลาเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนแห่อย่างใหญ่ที่เรียกว่า กระบวนพยุหยาตราสี่สาย เช่น ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และใช้ในการอัญเชิญพระบรมโกศพระบรมอัฐิพระมหากษัตริย์ หรือพระโกศพระอัฐิพระบรมวงศ์จากพระเมรุท้องสนามหลวงเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง๓. กลองวินิจฉัยเภรี สมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๘๐ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ สำหรับร้องทุกข์ถวายฎีกา ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องพระแท่นราชบัลลังก์และพระโธรน พระที่นั่งวายุสถานอมเรศ เจ้าพระยาพระคลัง สร้างน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกลองวินิจฉัยเภรีที่ทิมดาบกรมวังในพระบรมมหาราชวัง สำหรับให้ราษฎรใช้ตีกลองร้องทุกข์ถวายฎีกา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปไว้ที่หอริมประตูเทวาพิทักษ์ และโปรดเกล้าฯ ให้เลิกวิธี “ตีกลองร้องฎีกา” เปลี่ยนเป็นเสด็จรับฎีการาษฎรด้วยพระองค์เองทุกวันโกนเดือนละ ๔ ครั้ง ที่พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตีกลองวินิจฉัยเภรีเป็นอาณัติสัญญาณ๔. ศีรษะหุ่นพระยารักน้อย พระยารักใหญ่ ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ กรมพิณพาทย์และโขนหลวงมอบให้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องนาฏดุริยางค์ พระที่นั่งทักษิณาภิมุข ศีรษะหุ่นหลวงพระราม-พระลักษมณ์ คู่นี้ เรียกกันว่า พระยารักใหญ่ พระยารักน้อย แกะสลักจากไม้รัก เป็นฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งทรงมีพระปรีชาชาญในการแกะสลักไม้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างใหญ่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ออกแบบวัดเบญจมบพิตร ตรัสชมว่า “งามไม่มีหน้าพระอื่นเสมอสอง” ๕. แพลงสรงจำลอง ศิลปะรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๔๒๙ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชทาน เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๐ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องโลหศิลป์ พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข แพลงสรงจำลอง ทำด้วยเงินกะไหล่ทองกับนาก สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงสร้างถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ในพระราชพิธีลงสรง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ พระราชพิธีลงสรงเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมพระนามาภิไธยตั้งพระนามพระราชกุมารที่ดำรงพระอิสริยยศชั้นเจ้าฟ้าอย่างเต็มตำราครั้งกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏหลักฐานการประกอบพระราชพิธีลงสรงเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น ๖. สัปคับ สมัยรัตนโกสินทร์ ฝีมือช่างล้านนา ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (๑๕๐ ปีมาแล้ว) พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษา (พ.ศ. ๒๔๑๖) ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องสัปคับ พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข สัปคับจำหลักงาช้าง ฝีมือช่างชั้นเยี่ยมชาวล้านนา ฉลุโปร่งเป็นลายพันธุ์พฤกษา นกยูง และรูปบุคคล ทั้งนี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษา มีเหตุการณ์สำคัญกล่าวคือ พระราชพิธีทรงผนวช เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๔๑๖ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๑๖ โดยทรงมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยสมบูรณ์ มิต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเดิม๗. ประตูพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ศิลปะรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๖๕ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องเครื่องไม้จำหลัก มุขเด็จทิศตะวันตก เดิมเป็นบานประตูคู่กลางด้านหน้าพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงมีส่วนร่วมในการจำหลักด้วยพระองค์เอง ประตูจำหลักจากไม้แผ่นเดียวคว้านผิวลึกลงเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษาตวัดเกี่ยวกันคล้ายกำลังเคลื่อนไหว สอดแทรกรูปสรรพสัตว์นานาพันธุ์ ลงรักปิดทองฝีมือประณีตงดงามอย่างยิ่ง ต่อมาในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ เกิดไฟไหม้บานประตูชำรุดบานหนึ่ง จึงได้นำบานประตูคู่กลางด้านหลังมาใส่ไว้แทน และถอดบานประตูเดิมนี้ออกเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร๘. ฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องอิสริยพัสตราภูษาภัณฑ์ พระที่นั่งอุตราภิมุข ฉลองพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ลักษณะเป็นเสื้อนอกแบบยุโรป ชายเสื้อยาว แขนยาว คอตั้ง และที่ปกเสื้อปักรูปพระมหามงกุฎ พระบรมราชสัญลักษณ์ในรัชกาลที่ ๔ ฉลองพระองค์นี้มีต้นแบบจากชุดเครื่องแบบทหารยุโรป อันแสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมการแต่งกายแบบตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในราชสำนักขณะนั้น ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ จึงพัฒนาลวดลายปักที่เป็นแบบตะวันตกให้ผสมผสานกับลวดลายและฝีมือประณีตชั้นสูงของช่างไทยในราชสำนัก และใช้เป็นเครื่องแบบเต็มยศของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ๙. ฉากไม้ลงรักประดับมุกพระพุทธเจ้าปางห้ามญาติ ขนาบข้างด้วยพระอัครสาวก ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องเครื่องประดับมุก พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ล่าง) ฉากไม้ประดับมุกภาพพระพุทธเจ้าปางห้ามญาติ ขนาบข้างด้วยพระอัครสาวกในซุ้มเรือนแก้ว ฉากประดับมุกนี้แสดงถึงความวิจิตรบรรจงของช่างไทยในการฉลุเปลือกหอยให้เป็นลวดลายชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนติดลงบนแผ่นไม้ แล้วใช้รักสมุกถมลงช่องว่างจนเกิดลวดลายสีขาวของเปลือกหอยตัดกับสีดำของยางรัก ฉากนี้ยังมีประวัติว่าได้นำไปจัดแสดงในนิทรรศการที่ต่างประเทศอยู่หลายวาระ อาทิ งานแสดงศิลปหัตถกรรมนานาชาติ ณ ชังป์ เดอมารส์ (Champ-de-Mars) ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ หรือ มหกรรมแสดงสินค้าโลก ที่เมืองเซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ เป็นต้น ๑๐. กลองสำหรับพระนคร สมัยรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (๒๐๐ ปีมาแล้ว) สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ ห้องศัสตราวุธ พระที่นั่งบูรพาภิมุข กลองทั้งสามใบนี้แต่เดิมอยู่ที่หอกลองประจำเมืองกรุงเทพฯ ที่สวนเจ้าเชตุ หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) หอกลองมี ๓ ชั้น ชั้นล่าง “กลองย่ำพระสุริย์ศรี” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณย่ำรุ่ง-ย่ำค่ำ เวลาเปิดปิดประตูเมือง ชั้นกลาง “กลองอัคคีพินาศ” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณเมื่อเกิดอัคคีภัย และกลองชั้นสุดบน “กลองพิฆาตไพรี” ใช้สำหรับตีบอกสัญญาณเมื่อมีข้าศึกมาประชิดเมือง และเมื่อมีการใช้นาฬิกาแพร่หลายพ้นสมัยการตีกลองให้สัญญาณ จึงย้ายกลองทั้งสามใบนี้ไปยังหอนาฬิกาศาลสถิตยุติธรรม และหอนาฬิกาศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมตามลำดับ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๔ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาเก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถาน ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการถาวร “ประณีตศิลป์สยาม ณ หมู่พระวิมาน พระราชวังบวร สถานมงคล” เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ทุกวัน (ปิดวันจันทร์และอังคาร) ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อัตราค่าเข้าชม คนไทย ๓๐ บาท ชาวต่างชาติ ๒๐๐ บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "ไขความหมายอักษรขอมบาลีจากภาพจิตรกรรมฝาผนังศาลาแดง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม" วิทยากรโดย นายภูชัย กวมทรัพย์ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส กองโบราณคดี ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร
ในวาระพุทธศักราช ๒๕๖๕ “จารึกพระศรีสูริยลักษมี” หนึ่งในจารึกหลักสำคัญที่เก็บรักษาอยู่ในคลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มีเนื้อหาระบุถึงช่วงเวลาครบรอบสหัสวรรษในปีนี้นั้น วันนี้ เพจคลังกลางฯ ใคร่ขอหยิบยกจารึกหลักนี้ขึ้นมากล่าวถึง โดยจารึกหลักนี้ ลักษณะคล้ายใบเสมา สลักจากหินทราย ใช้อักษรขอมโบราณจารไว้ ๔ ด้าน ซึ่งในส่วนของด้าน ๓ มีการจารถึงช่วงเวลาไว้ความว่า “ศก ๙๔๔ ขึ้น ๕ ค่ำ เสวยฤกษ์กฤตติกา วันพุธ” นำไปสู่การตีความว่าคือช่วงเวลา “มหาศักราช ๙๔๔” ตรงกับ “พุทธศักราช ๑๕๖๕” หรือกว่า ๑๐๐๐ ปีมาแล้ว.โดยจากการตรวจสอบช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ จารึกหลักนี้คงถูกจารขึ้นในรัชกาลพระเจ้าสูริยวรมันที่ ๑ (ครองราชย์ราวพ.ศ. ๑๕๔๕ - ๑๕๙๓) สอดรับกับเนื้อหาในจารึกที่ได้ออกนามพระองค์ไว้หลายครั้ง ดังความในจารึกด้าน ๑ มีข้อความกล่าวสรรเสริญพระศรีสูรยวรมเทวะ ระบุว่า “...ข้าพเจ้าขอนอบน้อม พระศรีสูรยวรมเทวะ ผู้ครองราชสมบัติด้วยอำนาจอันเข้มแข็ง ... พระศรีสูรยวรมเทวะ ผู้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่...” และปรากฏอีกครั้งในเนื้อหาหลักว่า “เมื่อมีการแบ่งราชสมบัติของพระศรีสูรยวรมัน พระนางผู้เป็นเทวีได้รับมรดกในราชสมบัติ” อีกด้วย.จึงอาจตีความได้ว่าจารึกหลักนี้ เป็นจารึกเฉลิมพระเกียรติเจ้านางสตรีผู้มีนามว่า “กัมรเตงอัญเทวี ศรีสูรยลักษมี” ด้วยเนื้อหามีการกล่าวถึงพระราชกิจสำคัญ เช่น ทรงกัลปนาทรัพย์สินและบริวารถวายแด่พระแห่งสิงหล (ลังกา) โดยประวัติระบุว่าพระนางเป็นธิดาของพราหมณ์ผู้แตกฉานในฤคเวท มีพระอนุชานามว่าศิวาสบท ผู้เป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก ทั้งนี้ บทบาทสำคัญของพระนาง ยังระบุในจารึกว่า “...พระเทวีพร้อมด้วยคณะ ผู้มุ่งหน้าต่อบาทของพระศิวะ ได้ประดิษฐานรูปพระปฏิมาของพระวิษณุและพระหริเทพผู้ทำลาย ศิวลึงค์ พร้อมกับดินแดนตำแหน่งที่ตั้ง ให้วางชิดกันในถ้ำอันเป็นแหล่งน้ำแห่งลูกศร ไว้ให้เป็นที่บูชาในหมู่บ้าน ในกาลนั้น พระนางได้สร้างพระศิวลึงค์ยอดทองคำไว้ในเมืองที่กลุ่มบัณฑิตชนจำนวนมากซื้อไว้ ชื่อว่า สกันทวารนา ให้เป็นที่กล่าวถึงความสำเร็จ และชัยชนะของพระองค์” แสดงให้เห็นว่าพระนางมีบทบาทเรื่องการบำรุงศาสนา มีการสร้างศาสนวัตถุประดิษฐานบูชา แม้จะไม่ทราบถึงตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านที่ทรงมากัลปนา หรือถ้ำที่ทรงกล่าวถึงในจารึกก็ตาม แต่ก็สามารถอธิบายได้ถึงการเข้ามาของวัฒนธรรมเขมรช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วัฒนธรรมทวารวดีเสื่อมลงในพื้นที่ภาคกลาง.นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับจารึกหลักสำคัญ คือ จารึกศาลสูงภาษาเขมร (หลักที่ ๑) ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นจารึกเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทกัมรเตง กำตวน อัญศรีสุริยวรรมเทวะ” พระราชสวามีของพระนาง ทั้งยังสอดรับกับช่วงเวลา “ศักราช ๙๔๔ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ วันอาทิตย์” อันเป็นปีบรรจบครบ ๑๐๐๐ ปีเช่นเดียวกัน (ปัจจุบันจารึกศาลสูงภาษาเขมร (หลักที่ ๑) จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร).เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ และวริยา โปษณเจริญ ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพโดย อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ / ภาพโดย กิตติยา เชื้อทอง นายช่างภาพปฏิบัติงาน กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
100 ปี อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี (พ.ศ. 2465 - ปัจจุบัน)ประวัติการใช้อาคารในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา กว่าจะถึงวันนี้เราผ่านความเปลี่ยนแปลงมาอย่างไร12 ปี (2465-2476) ในฐานะ ศาลารัฐบาลมณฑลราชบุรี50 ปี (2476-2525) ในฐานะ ศาลากลางจังหวัดราชบุรี37 ปี (2529-2565) ในฐานะ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรีมาร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 100 ปีของอาคารเราอาคารโบราณสถานที่สำคัญและเป็นความภาคภูมิใจของชาวราชบุรีค่ะ
เมื่อ พ.ศ. 2545 กรมศิลปากรดำเนินงานโบราณคดีในพื้นที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ พบหลักฐานทางโบราณคดีประเภทต่างๆ มากมาย แต่โบราณวัตถุชิ้นพิเศษ ที่ขุดพบในครั้งนั้น คือประติมากรรมหินอ่อน ที่มีรูปแแบบศิลปะทางวัฒนธรรมชาติตะวันตก โดยพบบริเวณวิหารหลวง จำนวน 3 ชิ้น สภาพแตกหัก รายละเอียดดังนี้
ชื้นที่ 1 ชิ้นส่วนรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ เพศหญิง มีหน้าอกนูน ที่คอประดับด้วยเชือกหรือขนสัตว์ถักเปีย ขนาดกว้าง 39 สูง 33.5 เซนติเมตร
ชื้นที่ 2 ชิ้นส่วนท่อนล่างของสัตว์ มีกรงเล็บขนาดใหญ่ ขนาดกว้าง 35.5 สูง 37 เซนติเมตร
ชื้นที่ 3 ชิ้นส่วนรูปสัตว์ มีเกล็ด ส่วนกลางประดับด้วยลายพรรณพฤกษาใบไม้ม้วนแบบตะวันตก ขนาดกว้าง 51.2 สูง 28.5 เซนติเมตร
จากการเปรียบเทียบรูปแบบ โดยเฉพาะชิ้นส่วนรูปอกและรูปขาสัตว์ สันนิษฐานว่าเป็นประติมากรรมรูป แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) ที่เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต ประติมากรรมรูปแบบนี้ นิยมประดับตามพื้นที่พระราชวังหรือสถานที่สำคัญในยุโรป ที่กรุงศรีอยุธยาก็นำประติมากรรมจากต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นของใหม่และหายาก มาประดับ ณ สถานที่สำคัญเช่นกัน ดังหลักฐานที่ขุดพบบริเวณวิหารหลวง วัดพระศรีสรรเพชญ์
------------------------------------------------
แหล่งข้อมูล :
โครงการการขุดแต่งและออกแบบเพื่อการบูรณะวัดพระศรีสรรเพชญ์ พ.ศ. 2545
------------------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูล : นายวีระศักดิ์ แสนสะอาด นักโบราณคดีชำนาญการ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
https://www.facebook.com/AY.HI.PARK/posts/pfbid02bk1rm1ojGBxFCM7fZmb6cENQCwCRcUHYREQ1FXWD8b8JLTBza2ARZEmoTMLaj673l
------------------------------------------------
*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
ชื่อผู้แต่ง คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูสงขลา
ชื่อเรื่อง คำยืมภาษามาลายูในจังหวัดสงขลา
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ สงขลา
สำนักพิมพ์ ม.ป.พ.
ปีที่พิมพ์ ม.ป.ป.
จำนวนหน้า ๓๒ หน้า
รายละเอียด
เนื่องจากจังหวัดสงขลา มีชายแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ประกอบกับชาวสงขลาส่วนหนึ่งนับถือศาสนาอิสลามทำให้ภาษามาลายูกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือ สำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาภามาลายู มีทั้งคำเรียกเครือญาติ อาหาร สิ่งของ สัตว์ พืช เป็นต้น เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 146/4เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 178/4จเอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : นิทานอิหร่านราชธรรม (ประชุมปกรณัม)ชื่อผู้แต่ง : กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ปีที่พิมพ์ : 2506สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภา จำนวนหน้า : 352 หน้าสาระสังเขป : นนทุกปกรณัมเป็นหนังสือที่มีผู้นำเนื้อเรื่องมาจากอินเดียซึ่งที่มาคือปัญจตันตระที่เป็นหนังสือเป็นชาดก นนทุกปกรณัมมีในภาษาไทยนานแล้ว
ชื่อผู้แต่ง นายยกรัฐมนตรี, สำนักทำเนียบ.
ชื่อเรื่อง คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศคดีปราสาทเขาพระวิหาร
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๕
จำนวนหน้า ๒๓๗ หน้า : ภาพประกอบ.
หมายเหตุ -
วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ ศาลโลกตัดสินด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และคะแนนเสียง ๗ ต่อ ๕ ตัดสินว่าไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลาส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณ และปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา
ชื่อเรื่อง : ไทยรบพม่า ชื่อผู้แต่ง : ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา ปีที่พิมพ์ : 2514 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : ศรีเมืองการพิมพ์ จำนวนหน้า : 884 หน้า สาระสังเขป : ไทยรบพม่า เป็นการรวมเรื่องไทยรบกับพม่าเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีสงครามเกิดขึ้น ๒๔ ครั้ง ครั้งสมัยกรุงธนบุรี ๑๐ ครั้ง และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ๑๐ ครั้ง หนังสือเรื่องนี้ เมื่อพิมพ์ครั้งแรกข้าพเจ้าทราบว่าผู้ที่ชอบอ่านมักเป็นทหารมากกว่าพลเรือน บางทีจะเป็นเพราะพวกพลเรือนเห็นชื่อเรื่องก็เข้าใจเสียว่า เป็นหนังสือแสดงแต่การรบพุ่งอันเป็นประโยชน์ในทางความรู้ของผู้เป็นทหาร ข้าพเจ้าจึงขอแจ้งความให้ทราบในที่นี้ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจแต่งหนังสือเรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ในทางความรู้พงศาวดารเป็นสำคัญ ในหนังสือนี้มีคติทางการเมืองฝ่ายพลเรือนอยู่แต่ต้นจนปลาย ใครอ่านถึงจะเป็นทหารหรือพลเรือนก็คงจะได้ความรู้เรื่องพงศาวดารสยาม ซึ่งยังไม่ปรากฏในหนังสือเรื่องอื่นมีอยู่มาก
ชื่อเรื่อง โหราศาสตร์เบื้องต้น และการใช้ฤกษ์
ชื่อผู้แต่ง -
พิมพ์ครั้งที่ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
ปีที่พิมพ์ 2522
จำนวนหน้า 117 หน้า
รายละเอียด
โหราศาสตร์เบื้องต้น และการใช้ฤกษ์ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระสิทธิสารโสภณ (สงวน โฆสโก) ณวัดอาวุธสิตาราม แขวงบางพลัด เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร วันที่ 22 เมษายน 2522 ซึ่งเนื้อหาในหนังสือจะเกี่ยวกับโหราศาสตร์ การใช้ฤกษ์ยามในการทำพิธี และการดูดวง