ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,656 รายการ
ซากเรือบ้านคลองยวน สำรวจพบที่บ้านเลขที่ ๑๑๙/๒ หมู่ที่ ๘ บ้านคลองยวน ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนางพรพิมล มีนุสรณ์ เจ้าของบ้านเล่าว่าได้พบซากเรือไม้ในที่ดินของตนเองระหว่างการขุดสระเพื่อกักเก็บน้ำใช้ทำสวนปาล์มและได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีโดยการก่อพื้นเทปูนมุงหลังคาคลุมซากเรือลำนี้ไว้ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๕ นอกจากหลักฐานตัวเรือแล้ว บริเวณที่พบซากเรือก็นับว่ามีความสำคัญทางโบราณคดีด้วยเช่นกัน เนื่องจากตั้งอยู่ไม่ห่างจากคลองท่าชนะ (๓ กิโลเมตร) ซึ่งเป็นคลองที่ไหลออกสู่อ่าวไทย ณ บริเวณที่เรียกว่าแหลมโพธิ์ ต.พุมเรียง อ.ไชยา จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในพื้นที่แหลมโพธิ์บ่งชี้ว่า บริเวณนี้เป็นชุมชนเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔ ดังสะท้อนผ่านหลักฐานการค้านานาชาติ เช่น ลูกปัดโบราณ เครื่องถ้วยจีนและเปอร์เซียที่พบ จากการตรวจสอบพบว่า บริเวณหลังบ้านของ นางพรพิมล เป็นพื้นที่สวนปาล์ม มีการขุดสระน้ำสำหรับใช้ภายในสวน ภายในมีซากของไม้เรือโบราณถูกเก็บรักษาอยู่ภายในโรงเปิดโล่งมีหลังคาคลุม ซากเรือดังกล่าวประกอบด้วยไม้ ๘๔ ชิ้น เป็นไม้กระดานขนาดยาว ไม้ที่ทำเป็นทรงแหลมสำหรับหัวเรือ และเศษไม้ที่ไม่สามารถระบุส่วนได้ ไม้กระดานเรือแต่ละแผ่น มีการเจาะรูที่ด้านสันของไม้ตลอดความยาว อีกทั้งยังพบลูกประสักหรือสลักไม้สวนอยู่ในรูบางส่วน นอกจากนี้ที่แผ่นกระดานเปลือกเรือด้านในมีการทำปุ่มสันทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านูนออกมาจากระดับพื้นกระดาน ยาวตลอดความยาวของแผ่นเปลือกเรือ นอกจากไม้เรือแล้ว ในบริเวณที่เป็นที่เก็บซากเรือยังพบว่าเศษเชือกสภาพเปื่อยยุ่ยอยู่ที่พื้นและปะปนอยู่กับซากเรือ คาดว่าน่าจะเป็นเชือกที่มากับเรือ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปตรวจหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ สภาพของซากเรือยังอยู่ในสภาพที่แข็งแรง แต่เนื่องจากไม่ได้รับการอนุรักษ์อย่างถูกวิธีตัวเรือจึงเริ่มเสื่อมสลายผุพังไปตามกาลเวลา เมื่อวิเคราะห์จากลักษณะของซากเรือลำนี้โดยคร่าวเป็นเรือที่ต่อด้วยเทคนิค Lashed-Lug หรือ เชือกรัดสันรูเจาะ เป็นเทคนิคแบบโบราณที่มีมานานกว่า ๑,๐๐๐ ปี พบแพร่กระจายอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทะเล กองโบราณคดีใต้น้ำจึงได้ขอให้ นางพรพิมล มีนุสรณ์ มอบซากเรือโบราณให้แก่กองโบราณคดีใต้น้ำ เพื่อนำกลับไปอนุรักษ์และศึกษาวิเคราะห์ยังกองโบราณคดีใต้น้า จังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการถ่ายรูปไม้เรือทุกชิ้นที่พบจากนั้นทยอยลำเลียงขึ้นบนรถบรรทุกเพื่อนำมาเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานการวิเคราะห์ชนิดไม้และการหาค่าอายุ หลังจากที่นำซากเรือบ้านคลองยวนกลับมาเก็บรักษาที่สำนักงานกองโบราณคดีใต้น้ำแล้ว ได้นำตัวอย่างไม้เรือส่งไปวิเคราะห์ตรวจหาชนิดของไม้ที่นำมาใช้ในการต่อเรือ ณ สํานักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ โดยส่งตัวอย่างชิ้นไม้จำนวน ๓ ชิ้น ประกอบด้วย เปลือกเรือ ๑ ชิ้น และลูกประสัก ๒ ชิ้น ผลการตรวจพิสูจน์พบว่า ไม้เปลือกเรือบ้านคลองยวนนั้นทำจากไม้ในสกุลตะเคียน (Hopea sp.) แต่ไม่ทราบชนิด และลูกประสักทำจากไม้ตะแบกเลือด (Terminalia mucronata Craib & Hutch.) นอกจากการตรวจหาชนิดไม้แล้ว กองโบราณคดีใต้น้ำยังนำตัวอย่างจากตัวเรือไปหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธี Accelerator Mass Spectrometry (AMS) ณ ห้องปฏิบัติการในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยส่ง ๓ ตัวอย่าง ประกอบด้วย ไม้เปลือกเรือ เศษเชือก และลูกประสัก ซึ่งผลของค่าอายุที่ได้บ่งชี้ว่า เรือบ้านคลองยวนมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ (คริสต์ศตวรรษที่ ๙)รูที่สันไม้กระดาน (dowel & lashing holes) เปลือกเรือแต่ละแผ่นที่พบมีการเจาะรูที่ด้านสันของไม้กระดานยาวไปตลอดแนวของไม้เปลือกเรือและพบมีลูกประสักเสียบอยู่ในรูที่ถูกเจาะ จากการพินิจแล้วพบว่า การเจาะรูสันเปลือกเรือมีรูปแบบที่ซ้ำกันชัดเจน กล่าวคือ เจาะเพื่อใช้ยึดลูกประสัก ๔ รู สลับกับรูร้อยเชือกที่ด้านบนของกระดานทะลุกออกด้านสัน ๒ รู เป็นเช่นนี้ตลอดแนวสันเปลือกเรือ ถือเป็นลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเรือบ้านคลองยวน ที่ไม่อาจพบได้ในการต่อเรือไม้สมัยใหม่ ลูกประสักที่พบ มีลักษณะเป็นไม้ทรงกระบอกยาว ๔ เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒ ขนาด คือ ๗ และ ๑๐ มิลลิเมตร พบว่าลูกประสักที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๐ มิลลิเมตร จะใช้กับส่วนไม้ที่ต่อกับหัวเรือเท่านั้น แผ่นไม้เปลือกเรือบ้านคลองยวนนั้น หนา ๓.๕ – ๔ เซนติเมตร กว้าง ๒๗ เซนติเมตร (ส่วนที่กว้างที่สุด) ฝั่งกราบขวามี ๕ แผ่น ส่วนกราบซ้ายมี ๓ แผ่น (เท่าที่เหลือ) เมื่อพิจารณาจากกระดานเปลือกเรือแผ่นที่ ๕ ของกราบขวาพบว่า ที่ด้านสันของเปลือกเรือยังมีการเจาะรูรับลูกประสักอยู่ สิ่งนี้บ่งชี้ว่ากระดานเปลือกเรือแผ่นที่ ๕ ยังไม่ใช่แผ่นสุดท้าย ที่ส่วนปลายของไม้เปลือกเรือแต่ละแผ่นจะมีการทำให้เป็นรูปทรงแหลม เพื่อให้สามารถเข้าไม้ได้อย่างพอดีกับไม้หัวและท้ายเรือ ไม้เปลือกเรือของเรือบ้านคลองยวนไม่ได้สมบูรณ์ตลอดลำเรือ ส่วนที่คาดว่าจะเป็นท้ายเรือได้ขาดหายไปจึงไม่อาจสรุปได้ว่าไม้เปลือกเรือแต่ละชั้นจะเป็นไม้แผ่นเดียวยาวตลอดลำเรือหรือไม่ แต่จากข้อมูลของเรือประเภทเดียวกันที่พบในต่างประเทศ เช่น แหล่งเรือ Punjurhajo บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซียนั้น พบเปลือกเรือเป็นไม้แผ่นเดียวยาวตลอดลำเรือ จึงพอสันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีลักษณะเหมือนกันสันรูเจาะ (lug) เปลือกเรือแต่ละแผ่น ทำขึ้นด้วยการถากไม้ให้เป็นแผ่นกระดานและรูปทรงตามที่ช่างต้องการเพื่อให้เข้ากับรูปทรงของเรือ และจะเว้นสันรูเจาะ หรือ lug ไว้ตลอดความยาวของเรือ เป็นลักษณะอันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรือประเภทนี้ โดยสันรูเจาะเหล่านี้มีไว้สำหรับรองรับกงเรือที่จะถูกนำมาเสริมในภายหลัง มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใกล้เคียงกัน คือ ยกสูงกว่าส่วนเรียบของแผ่นกระดานประมาณ ๑.๕ – ๒ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร กว้างประมาน ๒๐ เซนติเมตร ในส่วนที่กว้างที่สุด และจะค่อย ๆ แคบลงเรื่อย ๆ ไปทางหัวและท้ายเรือ สันที่แคบที่สุดกว้างเพียง ๔ เซนติเมตร แต่ละสันจะเว้นระยะห่างกันประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ยกเว้นบริเวณกึ่งกลางลำเรือบนกระดานกระดูกงูและเปลือกเรือแผ่นที่ ๑ และ ๒ ของทั้งสองกราบจะเว้นช่วงห่างมากกว่าส่วนอื่น คือ ห่างประมาณ ๑๒๐ เซนติเมตรไม้กระดานกระดูกงู (keel plank) ไม้ส่วนที่เป็นแกนกลางของเรือบ้านคลองยวนหรือที่มักเรียกกันว่ากระดูกงูนั้น มีลักษณะเป็นกระดูกงูที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเปลือกเรือไปด้วยหรือที่เรียกว่า keel plank ซึ่งกระดูกงูแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะของเรือที่ต่อแบบต่อเปลือกก่อนแล้วนำกงมาเสริมทีหลัง หรือ shell-based เมื่อวางกระดูกงูบนพื้นราบพบว่าปลายกระดานกระดกขึ้นสูงจากพื้นประมาณ ๕๐ เซนติเมตร พิจารณาจากลักษณะแล้วคาดว่าเรือบ้านคลองยวนเป็นเรือที่มีหัวและท้ายเชิดขึ้นและท้องเรือแอ่น ส่วนสันรูเจาะบนกระดูกงูมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างไปจากสันรูเจาะบนกระดานแผ่นอื่น กล่าวคือ ระหว่างสันรูเจาะแต่ละสันจะมีสันแคบ ๆ กว้างประมาณ ๑๐ – ๑๒ เซนติเมตร เชื่อมต่อไปตลอดความยาวของกระดูกงู ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าช่างจงใจทำสันแคบ ๆ นี้ไว้เพื่ออะไร เบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาจทำไว้เพื่อเสริมความแข็งแรงตามแนวยาวของเรือหัวเรือและท้ายเรือ (wing-end) หัวและท้ายของเรือบ้านคลองยวนมีรูทรงและลักษณะที่โดดเด่นอย่างมาก ซึ่งเรือกว่า wing-end กล่าวคือ ช่างจะแกะไม้เป็นรูปทรงคล้ายตัว V และนำมาซ้อนกัน 2 ชั้น โดยแต่ละชั้นจะมีการเจาะรูเพื่อใส่ลูกประสักเตรียมไว้ การเข้าไม้หัวและท้ายเรือ ช่างจะนำ wing ชั้นที่ ๑ มาวางบนกระดูกงู หัวเรือและกระดูกงูจะได้ระยะเสมอกันพอดี แขนของ wing จะต่อชนกับกระดานแผ่นที่ ๑ พอดี ด้านบนของแขนจะเว้นช่องว่างไว้เพื่อให้ไม้กระดานแผ่นที่ ๒ มาต่อชนกันส่วนโคนของแขนรูปตัว V เมื่อชั้นที่ ๑ สามารถต่อเข้ากับกระดูกงู ไม้กระดานแผ่นที่ ๑ และ ๒ ได้แล้ว จึงนำเอา wing ชั้นที่ ๒ มาวางซ้อนบนชั้นที่ ๑ แล้วนำกระดานชั้นที่ ๓ และ ๔ มาต่อแบบเดียวกับชั้นที่ ๑ เป็นที่น่าสังเกตว่าหัวและท้ายเรือแบบ wing-end นั้น มีขนาดค่อนข้างใหญ่และทำจากไม้ชิ้นเดียว เป็นไปได้ว่าช่างในสมัยนั้นอาจนำไม้จากบริเวณของโคนต้นมาผ่าตามแนวขวางแล้วจึงแกะให้เป็นรูปตัว V ดังสังเกตได้จากวงปีไม้ที่มีลักษณะเป็นวงวางตัวขวางกับแนวเรือ ส่วนกลางลำต้นจะนำไปทำไม้กระดาน---------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร
พระพิมพ์รูปพระโพธิ์สัตว์ (นางตารา)
สมัยพุกาม พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙
กองตำรวจรักษาของโบราณประเทศพม่า ส่งมาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ ห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
-----------------------------------------------
ดินเผากลมรูปพระโพธิสัตว์ทรงยืนตริภังค์* แสดงวรทมุทรา (ปางประทานพร) พระเกศารวบขึ้นเป็นพระเมาลี รอบพระเศียรแสดงศิรประภา หรือรัศมี (สื่อถึงเป็นผู้มีพระธรรมเป็นแสงสว่าง) พระพรหาขวาแนบพระวรกาย ยกพระกรหันฝ่าพระหัตถ์ขวาออก พระหัตถ์ซ้ายทรงก้านดอกบัวอุตปละ (utpala) หรือ บัวสาย พระวรกายท่อนล่างแสดงการทรงพระภูษายาวจรดข้อพระบาท ด้านข้างของพระโพธิ์สัตว์มีจารึกอักษรเทวนาครี และสถูป
พระพิมพ์ชิ้นนี้เป็นหนึ่งในรายการพระพิมพ์ที่กองแผนกตรวจรักษาของโบราณประเทศพม่าส่งมาแลกเปลี่ยนกับราชบัณฑิตยสภาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๔ โดยส่งพระพิมพ์มาแลกเปลี่ยนทั้งหมด ๑๖ รายการ (ประกอบด้วยพระพิมพ์ที่พบจากเมือง PAGAN จำนวน ๔ รายการ และพระพิมพ์ที่พบจากเมือง HMAWZA จำนวน ๑๒ รายการ) ทั้งนี้ราชบัณฑิตยสภาได้ส่งพระพิมพ์ไปยังประเทศพม่า จำนวน ๒๗ รายการ
สำหรับพระพิมพ์ชิ้นนี้ Charles Duroiselle ระบุว่าเป็นพระพิมพ์ที่ขุดค้นพบในบริเวณเมือง HMAWZA (ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งโบราณคดีอาณาจักรศรีเกษตร) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยตีความว่าเป็นรูปพระโพธิ์สัตว์ตาราซึ่งสอดคล้องกับแสดงการถือดอกบัวอุตปละ และจารึกที่ปรากฏคือจารึกคาถา “เยธฺมา เหตุปฺปภวา” และกำหนดอายุไว้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ จากรูปแบบของพระพิมพ์ชิ้นนี้แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอินเดียเหนือ (แบบปาละ) ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยพุกาม (ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙) เช่น การยืนตริภังค์ การแสดงพระกรสองข้างตรงข้ามกัน เป็นต้น
พระโพธิ์สัตว์ตาราเป็นพระโพธิ์สัตว์เพศหญิง เป็นเทพีองค์สำคัญในพุทธศาสนามหายาน กล่าวคือ เป็นเทพีแห่งความกรุณา และเป็นผู้ปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่มนุษย์ โดยพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นศักติของพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร ภาคปรากฏของพระนางตารานั้น มีหลายวรรณะและหลายลักษณะ (บางตำรากล่าวว่ามีทั้งหมด ๒๑ วรรณะ) แต่ที่รู้จักอย่างแพร่หลายนั้นได้แก่ ตาราวรรณขาว (สิตตารา) และตาราวรรณเขียว (ศยามตารา)
*ตริภังค์ หมายถึง ท่ายืนเอียงกายสามส่วน อันได้แก่ ส่วนที่หนึ่งเอียงจากเท้าถึงสะโพก ส่วนที่สองเอียงจากสะโพกถึงไหล่ ส่วนที่สามเอียงจากไหล่ถึงศีรษะส่วนใหญ่พบในศิลปะอินเดีย (อ้างอิงจาก กรมศิลปากร. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๐ หน้า๒๐๐)
------------------------------------------------
อ้างอิง :
กรมศิลปากร. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๐.
เชษฐ์ ติงสัญชลี. มุทรา ท่าทาง เครื่องทรง สิ่งของรูปเคารพในศาสนาพุทธ เชน ฮินดู. นนทบุรี: มิวเซียม เพรส, ๒๕๖๕.
ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมามหายาน. กรุงเทพฯ: อักษรสมัย, ๒๕๔๓.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะพม่า. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๗.
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. (๔)ศธ ๒.๑.๑/๑๘๐. เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร. เรื่อง แลกเปลี่ยน พระพิมพ์ดินเผาระหว่างกองตำรวจรักษาของโบราณประเทศพม่ากับราชบัณฑิตยสภา (๒๒ เมษายน ๒๔๗๔-๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๕).
H. Hargreaves, editor. Annual Report of the Archaeological Survey of India for the year 1927-1928. Calcutta: Government of India Central Publication Branch, 1931.
------------------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูล : นายพนมกร นวเสลา ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เวลา ๐๗.๓๐ น. กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิธีเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๑๓ ตุลาคม โดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธีจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัย และจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการระดับสูงกระทรวงวัฒนธรรม และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมในพิธีสวดพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลในครั้งนี้ ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
การเสด็จประพาสส่วนพระองค์อย่างสามัญชนของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปะปนไปกับราษฎร โดยมิให้ผู้ใดรู้จักและไม่มีหมายกำหนดการล่วงหน้า จะประทับ ค้างแรมที่ใดก็สุดแล้วแต่พระราชประสงค์ เป็นเรื่องราวที่แสดงถึง ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎร ซึ่งยัง คงอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรไทยสืบมาตราบจนถึงทุกวันนี้ การเสด็จประพาสส่วนพระองค์นี้ เรียกว่า “การเสด็จประพาสต้น” เป็นพระราชนิยมในรัชกาลที่ ๕ เพื่อทอดพระเนตรสภาพบ้านเมือง ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการดำเนินพระบรมราโชบายในการพัฒนาชาติบ้านเมือง เพื่อประโยชน์สุขแก่ปวงอาณาประชาราษฎร
เมื่อ พ.ศ. 2545 กรมศิลปากรดำเนินงานโบราณคดีในพื้นที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ พบหลักฐานทางโบราณคดีประเภทต่างๆ มากมาย แต่โบราณวัตถุชิ้นพิเศษ ที่ขุดพบในครั้งนั้น คือประติมากรรมหินอ่อน ที่มีรูปแแบบศิลปะทางวัฒนธรรมชาติตะวันตก โดยพบบริเวณวิหารหลวง จำนวน 3 ชิ้น สภาพแตกหัก รายละเอียดดังนี้
ชื้นที่ 1 ชิ้นส่วนรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ เพศหญิง มีหน้าอกนูน ที่คอประดับด้วยเชือกหรือขนสัตว์ถักเปีย ขนาดกว้าง 39 สูง 33.5 เซนติเมตร
ชื้นที่ 2 ชิ้นส่วนท่อนล่างของสัตว์ มีกรงเล็บขนาดใหญ่ ขนาดกว้าง 35.5 สูง 37 เซนติเมตร
ชื้นที่ 3 ชิ้นส่วนรูปสัตว์ มีเกล็ด ส่วนกลางประดับด้วยลายพรรณพฤกษาใบไม้ม้วนแบบตะวันตก ขนาดกว้าง 51.2 สูง 28.5 เซนติเมตร
จากการเปรียบเทียบรูปแบบ โดยเฉพาะชิ้นส่วนรูปอกและรูปขาสัตว์ สันนิษฐานว่าเป็นประติมากรรมรูป แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) ที่เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต ประติมากรรมรูปแบบนี้ นิยมประดับตามพื้นที่พระราชวังหรือสถานที่สำคัญในยุโรป ที่กรุงศรีอยุธยาก็นำประติมากรรมจากต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นของใหม่และหายาก มาประดับ ณ สถานที่สำคัญเช่นกัน ดังหลักฐานที่ขุดพบบริเวณวิหารหลวง วัดพระศรีสรรเพชญ์
------------------------------------------------
แหล่งข้อมูล :
โครงการการขุดแต่งและออกแบบเพื่อการบูรณะวัดพระศรีสรรเพชญ์ พ.ศ. 2545
------------------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูล : นายวีระศักดิ์ แสนสะอาด นักโบราณคดีชำนาญการ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
https://www.facebook.com/AY.HI.PARK/posts/pfbid02bk1rm1ojGBxFCM7fZmb6cENQCwCRcUHYREQ1FXWD8b8JLTBza2ARZEmoTMLaj673l
------------------------------------------------
*เผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ โดยกลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร
หนังสือ พระประธาน พระสมเด็จ ญสส. พระธรรมคำสั่งสอน และพระธรรมเทศนา. กรุงเทพฯ: เอส. ออฟเซ็ท กราฟฟิคดีไซน์, 2564. 216 หน้า. ภาพประกอบ.
อธิบายความหมายของพระประธาน ข้อความในพระเครื่อง ประวัติพระเครื่อง พระประธาน พระสมเด็จ ญสส. พระบูชา พิมพ์พระพุทธเจ้าปิดตา พิมพ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิมพ์หลวงปู่ทวด พิธีผสมชนวนมวลสาร พิธีพุทธาภิเษกชนวนมวลสาร พิธีหลอมชนวนโลหะผสม พิธีถวายสังฆทาน มีพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเทศนาและพระโอวาทธรรมเพื่อผู้อ่านที่สนใจได้ศึกษาเป็นคติธรรม
294.31218
ห144 (ห้องหนังสือทั่วไป1)
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 30/6ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 40 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 138/7เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 173/6ขเอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมครั้งที่ 4 สมเด็จกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ โปรสให้พิมพ์ขึ้นอีกเมื่อปีมะเมีย 2473 ชื่อผู้แต่ง : จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ ปีที่พิมพ์ : 2473สถานที่พิมพ์ : พระนครสำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากรจำนวนหน้า : 166 หน้าสาระสังเขป : หนังสือเล่มนี้รวบรวมพระราชหัตถเลขา (จดหมายที่พระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งเองหรือเขียนเองและลงพระนามด้วยพระราชหัตถ์ไปถึงผู้ใดผู้หนึ่ง) ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเนื้อหาสำคัญ อาทิ พระราชหัตถเลขาถึง เสอร ชยอน เบาว์ริง ลงวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1855 เรื่องทรงอนุญาตให้เรือรบยิงสลูตเคารพแดนในแม่น้ำเป็นครั้งแรก พระราชหัตถเลขาถึงพระยาวิชิตชลธี ลงวันจันทร์ เดือน 9 ขึ้น 6 ค่ำ ปีระกา จุลศักราช 1223 เรื่องมีผู้ยื่นเรื่องราวกล่าวโทษพระยาตาก ว่ากล่าวคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นต้น
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 11/6ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 32 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
กลับมาอีกครั้งกับกิจกรรรม “ ฮีต ๑๒ ฮอยฮีตคองวัฒนธรรม” เปิดศักราชใหม่ด้วยประเพณีบุญใหญ่ของชาวอีสาน “บุญเดือนสี่ : บุญผะเหวด” โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ร่วมกับพันธมิตรเครือข่าย ทุกท่านจะได้พบกับกิจกรรม ดังนี้
- “ธุงผะเหวด” ลวดลายวิจิตร และการบรรยายความรู้เกี่ยวกับ “ธุงผะเหวด” จากกลุ่มช่างทอธุงบ้านบัวเจริญ ตำบลทุ่งเทิง อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ทุงอีสาน -ทุงบ้านบัวเจริญ อุบลราชธานี และความรู้เกี่ยวกับประเพณีบุญผะเหวดของชาวอีสาน โดยพระวิทยากร พระปกรณ์ ชินวโร วัดมณีวนาราม และขอเชิญร่วมขบวนแห่ธุงผะเหวดโบราณที่ม่วนซื่นสวยงาม
- วาดงานศิลป์บนผืนธุงผะเหวด โดยนักศึกษาคณะศิลปกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี
- สาธิตการทำธุงใยแมงมุม ที่มีรูปแบบและสีสันอันหลากหลาย
- ตลาดอุบลฮักคราฟท์ ได้นำผลิตภัณฑ์ออแกนิค และงานฝีมือต่างๆจากชุมชนคนอุบลฯ อุบล"ฮัก"คราฟท์-Ubon Hugs Crafts มาให้เลือกชม ชิม ช็อป
ขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมกิจกรรมได้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๘.๐๐ น. ทั้งนี้ หากไม่สามารถไปร่วมกิจกรรมได้ สามารถรับชมถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊กเพจ Ubon Ratchathani National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี https://www.facebook.com/UbonNationalMuseum อย่าลืมกดถูกใจ กดติดตาม จะได้ไม่พลาดกิจกรรมดีๆ
๓ มีนาคม ๒๕๖๖
วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day)
วันอนุรักษ์สัตว์ป่าโลก หรือ วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ตรงกับวันที่ ๓ มีนาคม ของทุกปี โดยข้อเสนอของประเทศไทย ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมไซเตสครั้งที่ ๑๖ เมื่อวันที่ ๓ - ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร เนื่องในวาระครบรอบ ๔๐ ปี วันลงนามรับรองอนุสัญญาไซเตส ๓ มีนาคม ๒๕๑๖ เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักให้กับกลุ่มประเทศภาคีอนุสัญญาไซเตสทั้ง ๑๗๘ ประเทศ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษยชาติ
ซึ่งในปีนี้ พ.ศ. ๒๕๖๖ ครบรอบ ๕๐ ปี ของการรับรองอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) มีการจัดงานภายใต้แนวคิดหลัก "ร้อยมือ ร่วมรักษ์ พิทักษ์สรรพชีวิต - Partnerships for Wildlife Conservation" โดยตลอดระยะเวลา ๕๐ ปี ที่ผ่านมา “พันธมิตร (Partnerships)” ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานอนุสัญญาประสบผลสำเร็จลุล่วงด้วยดีเสมอมา ทั้งนี้ ก็ด้วยความตั้งใจของภาคีสมาชิก (Parties) และการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์การสหประชาชาติ (UN agencies) องค์กรภาคเอกชน (private sector) องค์กรการกุศล (philanthropies) และองค์กรพัฒนาเอกชน (non-governmental organizations) ตลอดจนความร่วมมือในระดับชาติและระดับท้องถิ่น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำให้ชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ยังคงอยู่ต่อไป ด้วยการผนึกกำลังในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่าและพืชป่าอย่างยั่งยืน รวมถึงการต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่ผิดกฎหมายและการลดลงของประชากรสัตว์ป่าและพืชป่า ดังนั้น วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก จึงถือเป็นการเฉลิมฉลองให้กับอนุสัญญาไซเตสที่เปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงกลุ่มพันธมิตรทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน และสร้างการมีส่วนร่วมที่สำคัญต่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่าและความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน
การรักษาไว้ซึ่งกลุ่มพันธมิตรที่มีอยู่เดิมไปพร้อมกับการสร้างพันธมิตรใหม่ ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของทุกชีวิตบนโลก ความเป็นอยู่ของมนุษยชาติในฐานะชนิดพันธุ์หนึ่งนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของจำนวนประชากรสัตว์ป่าและพืชป่า และความเฟื่องฟูของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะช่วยค้ำจุนให้โลกใบนี้มีสุขภาวะที่ดีและเป็นแหล่งพึ่งพิงให้ทุกชีวิตต่อไป การที่จะเป็นเช่นนั้นได้ จำเป็นต้องอาศัยความพยายามในการทำงานร่วมกันจากหลายภาคส่วน อันเป็นการเปิดโอกาสกับผู้คนที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น และนี่จึงเป็นสิ่งที่วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ต้องการมุ่งเน้นและเป็นที่มาของแนวคิดหลัก (Theme) ประจำปีที่ว่า “Partnerships for Wildlife Conservation”
ขณะนี้ หอสมุดฯ ยังเปิดทำการอยู่ แวะมาอ่านกันได้นะคะ
อ้างอิง
กรมประชาสัมพันธ์. วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก (World Wildlife Day). [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖,
จาก: https://www.prd.go.th/.../category/detail/id/31/iid/161979
กองคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา. วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖,
จาก: https://portal.dnp.go.th/Content/citesdnp?contentId=1227
World Wildlife Day Thailand. ประวัติที่มา Background. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖,
จาก: https://wildlifedaythailand.org/about.php
จัดทำโดย
พัชมณ ศรีสัตย์รสนา
บรรณารักษ์ชำนาญการ