ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ


ชื่อเรื่อง                         นิสัยสินชัย (นิไนสินชัย)สพ.บ.                           397/2หมวดหมู่                       พุทธศาสนาภาษา                           บาลี-ไทยอีสานหัวเรื่อง                         พุทธศาสนา                                   ชาดก                                   เทศน์มหาชาติ                                   คาถาพันประเภทวัสดุ/มีเดีย           คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                   52 หน้า : กว้าง 4 ซม. ยาว 56.5 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี




          กุฏิฤาษีโคกเมือง หมู่ที่ ๖ บ้านโคกเมือง ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘และกำหนดขอบเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๙ ตอนที่ ๑๕๕ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ พื้นที่โบราณสถาน ๓ ไร่ ๒ งาน ๗๐ ตารางวา          องค์ประกอบของโบราณสถาน          ๑.ปรางค์ประธาน ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย ฐานปรางค์เป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ขนาด ๗x๗ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกเป็นมุขยื่น ยาวออกไปเป็นประตูเข้าออก มีขนาดประมาณ ๒.๒๐x๓.๒๐ เมตร           ๒.บรรณาลัย ก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย มีขนาดประมาณ ๔x๗.๕๐ เมตร ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ภายในกำแพงแก้ว           ๓.กำแพงแก้วและซุ้มประตู กำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง มีขนาดประมาณ ๒๖.๗๐x๓๕.๔๐ เมตร มีซุ้มประตูอยู่ทางด้านทิศตะวันออกก่อด้วยศิลาแลงกรอบประตูเป็นหินทราย ซุ้มประตูแบ่งเป็น ๓ คูหา คูหาช่องซ้ายขวามีช่องหน้าต่างทั้งด้านนอกและด้านในข้างล่ะ ๑ ช่อง คูหากลางมีมุขหน้าขนาด ๔x๒.๕๐ เมตร และมุขหลังมีขนาด ๔x๔.๗๐ เมตร ๔.สระน้ำประจำโบราณสถาน ตั้งอยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกุฏิฤาษี ด้านทิศตะวันออกตรงแกนกลางมีบารายหรือสระน้ำขนาดใหญ่ ประมาณ ๕๐๐x๘๐๐ เมตร เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลเมืองต่ำ และห่างจากกุฏิฤาษีโคกเมืองไปด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่ตั้งของปราสาทเมืองต่ำ--------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นายรัชฎ์ ศิริ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา


ประวัติศาสตร์แห่งการแรกนาขวัญ            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนา ไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธีสิบสองเดือนตอนพระราชพิธีเดือนหก ความตอนหนึ่งว่า "...การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้ซึ่งเป็นใหญ่ในแผ่นดินเป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณ เช่นในเมืองจีน สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ลงทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทําเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทํานา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การซึ่งมีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่าง เหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปรกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือน้ำฝนน้ำท่ามากไปน้อยไป ด้วงเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นเหตุอันตราย ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกําลัง จึงได้ต้องแส่หาทางที่จะแก้ไข และทางที่จะอุดหนุน และที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปโดยฤดูปรกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรงลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สุด..." แรกนาขวัญในหัวเมืองภาคใต้           นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีหัวเมืองซึ่งประกอบพิธีแรกนาด้วยเช่นกัน เมืองเหล่านี้ล้วนเป็นเมืองเก่าแก่ และมีธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องมาแต่โบราณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายเรื่องการแรกนาในหัวเมืองไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน(พระราชพิธีเดือนหก)ตอนหนึ่งว่า “...หัวเมืองซึ่งมีการแรกนา มีของหลวงพระราชทานเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๔ คือกรุงเก่าเมือง ๑ เพชรบุรีเมือง ๑ แต่เมืองซึ่งเขาทําแรกนามาแต่เดิม ไม่มีของหลวงพระราชทาน คือเมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา ๒ เมืองนี้เป็นเมืองมีพราหมณ์ๆ เป็นธุระในการพิธี แต่ผู้ว่าราชการเมืองไม่ได้ลงแรกนาเอง มอบให้หลวงนาขุนนาเป็นผู้แรกนาแทนตัว เมืองสุพรรณบุรีอีกเมืองหนึ่งก็ว่ามีแรกนา ไม่ได้เกี่ยวข้องในการหลวงเหมือนกัน แต่ในปีนี้ได้จัดให้มีการแรกนาขึ้นเป็นการหลวงอีกเมืองหนึ่ง...” แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนัง           สำหรับงานจิตรกรรมฝาผนัง ภาพของพิธีแรกนาขวัญจะปรากฏอยู่ในส่วนของภาพพุทธประวัติ ตอน “วัปปมงคล” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา ประกอบพิธีแรกนาขวัญ ส่วนเจ้าชาย สิทธัตถะราชกุมารนั้นโปรดให้ลาดพระแท่นบรรทมที่ใต้ต้นหว้าใหญ่ แต่พระราชกุมารกลับนั่งทำสมาธิจนได้ ปฐมฌาน และเกิดเหตุมหัศจรรย์เงาต้นหว้าซึ่งพระราชกุมารประทับอยู่นั้นไม่เคลื่อนที่แม้เวลาจะล่วงเลยไป เพียงใดก็ตาม จนเป็นเหตุให้พระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) พระราชกุมาร เป็นครั้งที่ ๒ ดังปรากฏความในพรปฐมสมโพธิกถา กปิลวัตถุคมนปริวัตต์ ปริเฉทที่ ๑๗ ความว่า “...ในสมัยนั้นสมเด็จกรุงสุทโธทนมหาราชพระพุทธบิดา ได้ทรงทัศนาพระปาฏิหารเปนมหัศจรรย์ จึงถวายอภิวันทนาการแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาค กาลในวันพระองค์ประสูติ์นั้นนำพระองค์มา เพื่อจะให้วันทนาพระกาลเทวิลดาบส ก็กระทำพระปาฏิหารขึ้นยืนเหยียบพระบาทอยู่ณเบื้องบนชฎาแห่ง พระมหาชฎิล ครั้งนั้นข้าพระองค์ก็ถวายอภิวันทนา พระบาทยุคลเปนปฐมวันทนา แลกาลเมื่อวันกระทำวัปปมงคลแรกนาขวัญก็นำพระองค์ไปบันทมในร่มไม้หว้า ได้ทัศนาฉายาไม้นั้นมิได้ชายไปตามตวัน ข้าพระองค์ก็ถวายบังคมเปนทุติยวันทนาวารคำรบ ๒ แลกาลบัดนี้ได้เห็นประปาฏิหารอันมิได้เคยทัศนากาลมาแต่ก่อน ข้าพระองค์ก็ถวายอัญชลีกรพระบวรบาทเปนตติยวันทนาวารคำรบ ๓ ในครั้งนี้...”แรกนาขวัญในจิตรกรรมฝาผนังภาคใต้          ภาพจิตรกรรมฝาผนัง พุทธประวัติตอนวัปปมงคล ในพื้นที่ภาคใต้พบไม่มากนัก โดยวัดที่พบการเขียนภาพจิตรกรรมตอนนี้ได้แก่ วัดวัง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เขียนภาพโดยหลวงเทพบัณฑิต(สุ่น) กรมการเมืองพัทลุง โดยเขียนภาพขึ้นราวปลายรัชกาลที่ ๓ – ต้นรัชกาลที่ ๔ วัดท้าวโคตร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และวัดพัฒนาราม ตำบลตลาด อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นภาพที่เขียนขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ แรกนาขวัญในผ้าพระบฏในภาคใต้          ผ้าพระบฏ พบที่วัดหัวเตย ตำบลดอนทราย อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นผ้าพระบฏที่เขียนภาพพุทธประวัติ เป็นช่องที่เรียงต่อกันไปนั้น พบว่ามี ๑ ช่อง ซึ่งมีการเขียนภาพเกี่ยวกับพิธีแรกนาขวัญ โดยภาพในช่องดังกล่าวเป็นการเล่าเรื่องพระเจ้าสุทโธทนะถวายอภิวันทนา(ไหว้) เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร กระทำปาฎิหาริย์เสด็จประทับเหนือเศียรอสิตดาบส และครั้งที่ ๒ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารประทับใต้ต้นหว้า ขณะที่พระเจ้าสุทโธทนะประกอบพิธี แรกนาขวัญ ผ้าพระบฏผืนนี้มีข้อความกำกับระบุว่าเขียนขึ้นในพ.ศ.๒๓๔๕ (ช่วงปลายรัชกาลที่ ๑)คนไถนาวิถีชีวิตท้องถิ่นชาวใต้          นอกจากภาพจิตรกรรมเรื่องแรกนาขวัญอันเนื่องมาจากพุทธประวัติแล้ว ยังภาพกฎภาพ “คนไถนา” ซึ่งสะท้อนภาพวิถีชิวิตของชาวใต้ ดังเช่นภาพคนไถนาที่เพดานอุโบสถวัดฉัททันต์สนาน ตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และภาพคนไถนาบนเพดานศาลา ภายในวัดชลธาราสิงเห ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งภาพจิตรกรรมทั้งสองภาพนี้สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นราวกลางสมัยรัชกาลที่ ๘ ถึงช่วงต้นรัชกาลที่ ๙--------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


ชื่อเรื่อง                     มาเลยฺยสุตฺต...(มาลัยหมื่น-มาลัยแสน)สพ.บ.                       294/2ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               28 หน้า : กว้าง 4.3 ซม. ยาว 57.2 ซม.หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              เทศนาบทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี    


ชื่อเรื่อง                                มหาพุทธคุณกถา (มหาพุทธคุณ) สพ.บ.                                  345/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           64 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา--บทสวดมนต์                                          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


เลขทะเบียน : นพ.บ.163/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  44 หน้า ; 4 x 54 ซ.ม. : ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับ, มีฉลากไม้ไผ่ชื่อชุด : มัดที่ 98 (49-66) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : ฉลองร่มเศวตฉัตร(ฉลองร่มเสตฉัตร)  --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺมเทศนา (เทศนาสังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.46/1-7ค  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)  ชบ.บ.88ค/1-41  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.215/1กห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  30 หน้า ; 5 x 59.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 111 (159-169) ผูก 1ก (2565)หัวเรื่อง : แทนน้ำนมแม่ --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.357/2ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4.5 x 53.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 138  (402-410) ผูก 2 (2565)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (วิภังคปริจเฉท อภิธรรมปัฏฐาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


     ๘ พฤศจิกายน ๒๔๓๖ (๑๒๘ ปีก่อน) – วันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗)        พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) กับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง “สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ” (พระนามเดิม : สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์) เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ เสด็จดำรงราชสมบัติ ๙ ปี สวรรคตวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ พระชนมพรรษา ๔๘ พรรษา (ดูเพิ่มเติมใน กรมศิลปากร, ราชสกุลวงศ์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๔, (กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๔), ๑๐๓ - ๑๐๔.)     Cigarette Cards ชุดเจ้านายไทย (๑ สำรับ ประกอบด้วย พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปเขียนคล้ายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์บนแผ่นกระดาษ จำนวน ๕๐ รูป) ลำดับที่ ๗ โดยบริษัท ยาสูบซำมุ้ย จำกัด (SUMMUYE & CO) ผลิตราวปี พ.ศ. ๒๔๗๗ (หมายเลขทะเบียน ๒/๒๕๑๖/๑) มีประวัติระบุว่า คุณหลวงฉมาชำนิเขต มอบให้เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๑๖          เผยแพร่โดย ศรัญ กลิ่นสุคนธ์ ภัณฑารักษ์ / เทคนิคภาพ อริย์ธัช นกงาม ภัณฑารักษ์ปฏิบัติการ กลุ่มทะเบียน คลังพิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร


ชื่อเรื่อง : พระราชกรณียกิจ ระหว่างเดือนตุลาคม 2511 - กันยายน 2512 ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2512 สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท. สำนักพิมพ์ : สำนักราชเลขาธิการ จำนวนหน้า : 312 หน้า สาระสังเขป : สำนักราชเลขาธิการได้ประมวลพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2511 จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2512 พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ นำเสนอข้อมูลในรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สรุปรวมพระราชกรณียกิจมีกำหนดการ 497 ครั้ง 25 จังหวัด จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ในงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9


          อุทยานประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี จากการศึกษาทางโบราณคดีที่ผ่านมา พบว่าภูพระบาทได้ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อราว 3,000 – 2,500 ปีมาแล้ว จากการพบภาพเขียนสีบนเพิงผาและผนังถ้ำมากกว่า 54 แห่งบนภูเขาแห่งนี้ นอกจากนี้ยังพบการดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้เป็นพื้นที่ใช้งานในวัฒนธรรมทวารวดี เขมรโบราณ จนถึงวัฒนธรรมล้านช้าง ซึ่งหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ แสดงให้เห็นพัฒนาการทางสังคม และวัฒนธรรมของ ภูพระบาทได้เป็นอย่างดี          วัฒนธรรมล้านช้างปรากฏขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 – 20 ศูนย์กลางของวัฒนธรรมอยู่ที่เมืองเชียงดงเชียงทอง หรือหลวงพระบาง โดยมีแม่น้ำคานไหลสู่แม่น้ำโขงและมีพูสี (ภูศรี) เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองตามคติศูนย์กลางจักรวาล ซึ่งนิยมสร้างพระธาตุเจดีย์บนยอดเขา ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาดินแดนของล้านนา สุโขทัย อยุธยา และล้านช้าง มีการนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สำหรับอาณาจักรล้านช้างนั้นพงศาวดารล้านช้างได้กล่าวว่า พระยาฟ้างุ้มลี้ภัยไปยังอินทปัตต์นคร (พระนครหลวงของกัมพูชา) และกลับมาพร้อมพระมหาเถรปาสมันต์ โดยอัญเชิญพระบางพระพุทธรูปองค์สำคัญมาด้วย และได้ประดิษฐานไว้ที่เมืองเวียงคำ จนถึงรัชกาลพระยาวิชุนราชจึงอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐาน ณ เมืองเชียงดงเชียองทอง นับเป็นจุดเริ่มต้นของพุทธศาสนานิกายเถรวาทในอาณาจักรล้านช้าง          ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 สมัยสมเด็จพระไชยเชษฐาราช ได้มีการติดต่อทางพุทธศาสนาครั้งสำคัญระหว่างล้านช้างและล้านนา ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านภาษา อักษร และงานศิลปกรรมทางศาสนา เกิดการสร้าง ปฏิสังขรณ์วัด และพระธาตุเจดีย์ที่สำคัญหลายแห่ง เช่น วัดเชียงทอง เมืองหลวง พระบาง พระธาตุบังพวน จังหวัดหนองคาย และพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม          ในรัชกาลของพระยาสุริยวงศาธรรมิกราชถือเป็นยุคทองของล้านช้าง บ้านเมืองมีความสงบสุข และมีความเจริญทางพุทธศาสนาอย่างมาก มีการสร้างศาสนสถานและพระพุทธรูป รวมทั้งมีการแต่งวรรณคดีทางศาสนาคือ อุรังคธาตุนิทาน ภายหลังพระยาสุริยวงศาธรรมิกราชสิ้นพระชนม์ บ้านเมืองเกิดความแตกแยกกลายเป็นสามนครรัฐ คือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาสัก ระยะนี้อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย จากนั้นเมื่อกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรล้านช้างคือ เจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเคยพำนักในกรุงเทพฯ และกลับไปครองนครเวียงจันทน์ ส่งผลให้ศิลปกรรมของวัฒนธรรมล้านช้างในยุคนี้ได้รับอิทธิพลศิลปะรัตนโกสินทร์ ต่อมาเจ้าอนุวงศ์เกิดความขัดแย้งกับราชสำนักในกรุงเทพฯ จนเกิดสงครามยืดเยื้อ ท้ายที่สุดเจ้าอนุวงศ์ถูกสำเร็จโทษ ส่วนเมืองเวียงจันทน์ได้ถูกทำลายลง ถือเป็นการสิ้นสุดลงของสมัยล้านช้าง โดยภูพระบาทได้พบหลักฐานการเข้ามาใช้พื้นที่ของผู้คนในวัฒนธรรมล้านช้าง 3 แห่ง ดังนี้           1. ถ้ำช้าง มีลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ 2 ก้อนซ้อนกัน ตั้งอยู่บนลานพื้นหินที่ยกตัวสูงขึ้น โดยพบภาพจิตรกรรมฝาผนังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวถ้ำ เขียนสีแดงเป็นลวดลายช้าง ลายเส้นดูอ่อนช้อย สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในช่วงวัฒนธรรมล้านช้าง ราวพุทธศตวรรษที่ 21 – 23          2. เจดีย์ร้าง ผู้คนในท้องถิ่นเรียกเจดีย์ดังกล่าวว่า อูปโมงค์ ลักษณะเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมก่อผนังอิฐทึบ 3 ด้าน มีประตูทางเข้า 1 ด้าน ตั้งอยู่บนลานหิน สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท รูปแบบของอาคารคล้ายคลึงกับอูบมุง มาจากคำว่าอุโมงค์ ในศิลปะล้านช้างที่มักก่อหลังคาเป็นทรงจั่ว และมีการประดับหลังคาด้วยช่อฟ้าปราสาทกลางหลังคา และลักษณะดังกล่าวยังคล้ายคลึงกับเจดีย์ครอบพระพุทธบาทที่วัดพระพุทธบาทบัวบานอีกด้วย รูปแบบเช่นนี้มีลักษณะเป็นคันธกุฎี หรือกุฎิส่วนพระองค์ของพระพุทธเจ้า ถูกระบุในวินัยว่าเป็นสถานที่สำราญพระสรีระของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ จึงสร้างให้พอดีกับพระพุทธรูปองค์เดียว           3. วัดพระพุทธบาทบัวบก ตามประวัติว่าแต่เดิมมีอุบมง (มณฑป) ขนาดเล็กสร้างครอบพระพุทธบาทไว้ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2463 พระอาจารย์สีทัตถ์ สุวรรณมาโจ ได้ธุดงค์มาพบจึงได้ปฏิสังขรณ์สร้างพระธาตุครอบใหม่ดังปรากฏในปัจจุบัน โดยเสร็จสิ้นราวพ.ศ. 2479 ซึ่งนำรูปแบบทางศิลปกรรมมาจากองค์พระธาตุพนม คือ เป็นพระธาตุทรงเหลี่ยมฐานกว้างด้านละ 8.50 เมตร สูงประมาณ 45 เมตร ส่วนฐานชั้นล่างก่อเป็นห้อง สามารถเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทได้ ส่วนยอดพระธาตุทรงบัวเหลี่ยมสูงเพรียว ประดับด้วยฉัตร 9 ชั้น ในส่วนยอดประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบในรอยพระพุทธบาทเดิม          จากหลักฐานดังกล่าวจะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมล้านช้างมีความสำคัญต่อพื้นที่ภูพระบาทอย่างมาก ดังปรากฏในรูปแบบของภาพเขียนสีบนผนังถ้ำ รวมถึงงานศิลปกรรมอย่างเจดีย์ และพระธาตุที่สะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่อ ศาสนา และวัฒนธรรมในสมัยวัฒนธรรมล้านช้างบนพื้นที่ภูพระบาทได้เป็นอย่างดี---------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นางสาวนิชา คำสิงห์ ผู้ช่วยนักโบราณคดีอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ภาพโดย นายจักรชัย พรหมวิชัย นายช่างศิลปกรรมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท--------------------------------------------------------บรรณานุกรม กรมศิลปากร, ตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ อ.ต. หลวงประชุม บรรณสาร (พิณ เดชะคุปต์) วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2483 ณ สุสานวัดมกุฎกษัตริยาราม , 2483. จักรพันธ์ เพ็งประไพ, การสำรวจสภาพปัจจุบันของแหล่งโบราณคดีและภาพเขียนสีในเขตอุทยาน ประวัติศาสตร์ภูพระบาท (เอกสารประกอบการประเมินผลการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ, มปป). ประภัสสร์ ชูวิเชียร, ศิลปะลาว (กรุงเทพฯ: มติชน, 2557). สุรศักดิ์ ศรีสำอาง, ลำดับกษัตริย์ลาว (กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2545).


black ribbon.