ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,656 รายการ
ชื่อผู้แต่ง กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง อตีตังสญาณหรือเครื่องวิทยาการกำหนดรู้เรื่องในอดีต
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ ศิวพร
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๑
จำนวนหน้า ๔๐ หน้า
หมายเหตุ -
อตีตังสญาณ ตามความหมายในพระพุทธศาสนา หมายถึง ญาณ คือ ความหยั่งรู้เรื่องราวในอดีต เป็นความรู้อย่างหนึ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก แต่ ความหมายในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี คือ เป็นความรู้ถอยหลังเข้าไปในอดีตกาล โดยนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีแต่ก่อนได้อาศัยจดหมายเหตุ เอกสาร พงศาวดาร ตำนานและจารึก ตลอดจนหลักฐานทางโบราณวัตถุและโบราณสถาน
สัตตัปปกรณาภิธรรม สหัสสนัย อภิธัมมัตถสังคหะ ชบ.ส. ๑๓
เจ้าอาวาสวัดรังษีสุทธาวาส ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
มอบให้หอสมุด ๑๘ ก.ค. ๒๕๓๕
เอกสารโบราณ (สมุดไทย)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.19/1-2
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อผู้แต่ง สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย
ชื่อเรื่อง ครบรอบ ๑๐ ปี สธวท ๒๕๑๘
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพมหานคร
สำนักพิมพ์ กรุงสยามการพิมพ์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๘
จำนวนหน้า ๑๕๘ หน้า
เอกสารเล่มนี้จัดทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อให้ทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ของสตรีไทย
ทั้งในระดับผู้บริหาร และผู้ใช้พลังงาน ด้วยความหวังว่า เราจะสามารถช่วยให้สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ดีขึ้นสำหรับสมาชิก ทุกเพศ ทุกวัย ในสังคมของไทยเรา เอกสารนี่จะ “สะท้อนภาพสตรีไทย” ในบทบาท สภาพ สถานภาพ และทัศนคติ ของสตีไทยที่ทำงานในเขต กทม. พ.ศ.๒๕๑๘
+++ ธรรมาสน์เสาเดียว : การผสมผสานความเชื่อพุทธและผี +++
----- ธรรมาสน์ คือ ที่นั่งแสดงธรรมสำหรับพระสงฆ์ ในภาคอีสานสามารถพบเห็นได้ทั้งธรรมาสน์ไม้และธรรมาสน์ปูน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะธรรมาสน์ไม้อีสาน ที่จำแนกออกได้เป็น ๓ ประเภทหลักๆ ได้แก่
๑) หอธรรมาสน์ ลักษณะเป็นธรรมาสน์ที่มีฐานสูงและมียอดเป็นชั้น
๒) ธรรมาสน์ตั่ง ลักษณะคล้ายเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยม มีพนักพิงด้านหลัง ไม่มีหลังคา
๓) ธรรมาสน์เตียง ลักษณะคล้ายเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่มีพนักพิง ไม่มีหลังคา
----- ธรรมาสน์เสาเดียว จัดอยู่ในกลุ่มของหอธรรมาสน์ มีลักษณะเด่น คือ ส่วนฐานของธรรมาสน์จะมีเสาเดียว และมีคันทวยหรือแขนนาง รองรับน้ำหนักจากตัวเรือนธรรมาสน์ลงสู่เสา ส่วนตัวเรือนและส่วนยอดของธรรมาสน์ จะมีความคล้ายคลึงกับหอธรรมาสน์ที่พบได้ทั่วไปในภาคอีสาน เช่น ส่วนตัวเรือนมักนิยมสร้างในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส และได้รับการประดับตกแต่งให้สวยงามด้วยการทาสี เขียนภาพจิตรกรรม ที่ส่วนใหญ่สะท้อนความเชื่อทางพุทธศาสนา วิถีชีวิต และนิทานพื้นบ้าน ผสมผสานงานแกะสลักหรืองานฉลุไม้ โดยนิยมสลักรูปดอกไม้ ใบไม้ และลวดลายตามธรรมชาติ นอกจากความสวยงามแล้ว เจตนาก็เพื่อทำช่องให้อากาศถ่ายเท และเป็นการอำพรางอิริยาบทของพระสงฆ์ขณะนั่งเทศน์บนธรรมาสน์ ตัวเรือนมีทั้งแบบผนังโปร่งและผนังทึบ ส่วนยอดพบทั้งหลังคาทรงจั่ว หลังคาทรงจัตุรมุข (ทรงจั่วซ้อนชั้น) และหลังคาทรงมณฑป (ทรงปราสาท) ซึ่งจำนวนชั้นหลังคาที่ซ้อนก็ขึ้นอยู่กับช่างฝีมือผู้สร้าง ธรรมาสน์เสาเดียวถือเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่พบเฉพาะในกลุ่มผู้ไท เช่นที่วัดโพธิ์ชัย บ้านหนองห้าง วัดศรีภูขันธ์ บ้านโคกโก่ง วัดหอคำ บ้านคำกั้ง วัดจุมจังเหนือ บ้านจุมจัง วัดบ้านหนองบัวทอง บ้านหนองบัวทอง อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และ วัดพิจิตรสังฆาราม อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร
----- การสร้างธรรมาสน์นอกจากความเชื่อทั่วไปเรื่องบุญกุศลที่ทำให้ผู้สร้างได้รับอานิสงส์ เกิดในชาติหน้าจะพบแต่ความสุขความเจริญ เมื่อตายไปก็ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า ชาวผู้ไทยังมีความเชื่อเกี่ยวกับอานิสงส์ของการสร้างธรรมาสน์เสาเดียว ว่าจะส่งผลให้ในชาตินี้ผู้คนจะให้ความเคารพนับถือ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับความเชื่อเรื่อง “หลักบ้าน” ที่ในภาคอีสานนิยมตั้งไว้กลางหมู่บ้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของการยึดเหนียวจิตใจ และทำให้คนในชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตามคติความเชื่อเรื่องการนับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
----- ธรรมาสน์เสาเดียวมักสร้างไว้ในหอแจก (ศาลาการเปรียญ) ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับให้คนในชุมชนมารวมตัวเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การฟังเทศน์ในงานบุญเดือนสี่ (บุญผะเหวด หรือ บุญพระเวส) หรืองานบุญกฐินที่องค์มหากฐินจะถูกตั้งอยู่บนธรรมาสน์ ทำให้ธรรมาสน์กลายเป็นสิ่งที่สื่อถึงการรวมตัวกันอย่างสงบสุขของคนในชุมชน
----- จากความเลื่อมใสศรัทธาของชาวผู้ไทที่มีต่อพุทธศาสนา ทำให้เกิดการผสมผสานทางคติความเชื่อเรื่องการนับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเรื่อง “หลักบ้าน” ผนวกรวมกับคติความเชื่อทางพุทธศาสนา ก่อให้เกิดสัญลักษณ์ทางคติความเชื่อเรื่องศูนย์รวมจิตใจ ที่คลี่คลายกลายมาเป็น “ธรรมมาสน์เสาเดียว” สะท้อนให้เห็นถึงการรวมทั้งพุทธและผีเข้าไว้ด้วยกันของชาวผู้ไท
-----------------------------------------------------------------------
++ อ้างอิงจาก ++
--- คำพันธ์ ยะปะตัง. ธรรมาสน์เสาเดียว : รูปแบบโครงสร้างและคติความเชื่อของชาวผู้ไท อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๕๕.
--- ทิพย์วรรณ วงศ์อัสสไพบูลย์, “ธรรมาสน์ไม้อีสาน” ใน เอกสารประกอบการนำเสนอผลงานทางวิชาการของ กรมศิลปากร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ วิจัย วิจักขณ์, วันที่ ๒๒ - ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๒, ณ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร, หน้า ๑๗๐ - ๑๗๕.
ข้อมูล : นางสาวศุภภัสสร หิรัญเตียรณกุล นักโบราณคดีชำนาญการ
ชื่อเรื่อง นิสัยสินชัย (นิไนสินชัย)สพ.บ. 397/3หมวดหมู่ พุทธศาสนาภาษา บาลี-ไทยอีสานหัวเรื่อง พุทธศาสนา ชาดก เทศน์มหาชาติ คาถาพันประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ 52 หน้า : กว้าง 4 ซม. ยาว 56.5 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หัวเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณแหลมมลายูนั้น ถูกแบ่งออกเป็น ๒ เขต คือ หัวเมืองบริเวณชายทะเลอ่าวสยาม (หัวเมืองปักษ์ใต้) ได้แก่ มณฑลชุมพร มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลปัตตานี และหัวเมืองบริเวณชายทะเลอ่าวเบงกอล (หัวเมืองทะเลตะวันตก) ได้แก่ มณฑลภูเก็ต นอกจากนี้ยังมีหัวเมืองมลายูประเทศราช ซึ่งได้แก่ เมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน เมืองตรังกานู โดยหัวเมืองต่างๆ เหล่านี้เดินทางไปได้ยากมาก ยังมิได้ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดได้เสด็จประพาส จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๑ (ร.ศ. ๗๗) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จประพาสเมืองแหลมมลายูครั้งแรกเมื่อคราวเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา พ.ศ. ๒๔๑๓ (ร.ศ. ๘๙) หลังจากนั้นก็ทรงเว้นว่างไปถึง ๑๗ ปี จนมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๑ (ร.ศ. ๑๐๗) จึงได้เสด็จประพาสหัวเมืองแหลมมลายูอีกครั้งทั้งในดินแดนไทยและอังกฤษ ซึ่งเป็นการเสด็จตามมณฑลปักษ์ใต้ในพระราชอาณาเขตเป็นหลัก ในปีพ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองปัตตานี โดยเสด็จพระราชดำเนินไปตามถนนสายอาเนาะรู ไปยังศาลเจ้าซูกง (ศาลเจ้าเล่วจูเกียหรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในปัจจุบัน) ตามหลักฐานที่ระบุในจดหมายเหตุรายวันของสมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ตอนหนึ่งว่า “เวลาสี่โมงเช้าเรือทอดสมอที่หน้าเมืองปัตตานี เจ้าเมืองกรมการเมืองตานีมาคอยรับเสด็จถึงเรือโดยเร็ว เสด็จไปประทับที่เรือเวสาตรี ทรงครึ่งยศทหาร เราก็แต่งครึ่งยศตามเสด็จไป ผู้ที่มาเยือนนั้น พระยาตานีตาย พระศรีบุรีรัฐพินิต ๑ พระพิพิธภักดี ๑ เมืองยิหริ่งพระยายิหริ่ง ๑ พระโยธานุประดิษฐ ๑ เมืองสายพระยาสาย ๑ พระวิเศษวังชา ๑ ประทางตราภัทราภรณ์ ผู้ช่วยทั้งสี่คนคนละดวง แล้วเสด็จกลับมาเรืออุบล วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติสมเด็จแม่ ที่เรือเวสาตรีได้ยิงสลุต ๒๑ นัด สองโมงเศษเสด็จขึ้นเมืองตานี เมื่อถึงท่าเขาลงมาคอยรับเสด็จทั้งผู้ชายผู้หญิง ทรงพระดำเนินไปตามตลาดจนถึงพลับพลาซึ่งปลูกไว้รับเสด็จ ทำดี ดูเข้าใจไทยมาก การรับรองแข็งแรง ของถวายก็มาก ข้างในพวกผู้หญิงก็มาถวายของมาก มีฝนตกเล็กน้อย แล้วเสด็จมาทรงเรือพระที่นั่งมาประทับที่วัดของจีนจูหลาย กัปตันจีนสร้าง มีพระสงฆ์อยู่ ๑๔ รูป โบสถ์ทำอย่างจีน พระเข้าบ้านแขกไม่ได้ รับสั่งให้นิมนต์มาถวายเงิน สมเด็จแม่ก็ถวายด้วย แล้วประทานเงินกัปตันจีนไว้ห้าชั่ง ให้ทำศาลาการเปรียญ เป็นที่สำหรับเด็กเรียนหนังสือ ให้เป็นที่สำหรับเจ้าเมืองกรมการประชุมถือน้ำด้วย” ต่อมาเมื่อคราวเสด็จเมืองหนองจิก วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ ขณะที่ประทับอยู่ในเรือพระที่นั่งหน้าเมืองหนองจิกนั้น ทรงทราบว่าศาลาการเปรียญที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นที่วัดบางน้ำจืด เมื่อคราวเสด็จตรังกานูเกือบเสร็จแล้วจึงอัญเชิญพระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๓ ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ดังนี้ “พระยาตานีมาคอยอยู่ ๔ วันแล้วพึ่งกลับไปพระยาหนองจิกให้ไปบอก ก็ขึ้นมาพร้อมกับพระศรีบุรีรัฐ พระพิพิธภักดี หลวงจีนคณานุรักษ์ ทราบว่าศาลาการเปรียญที่วัดตานี ซึ่งฉันสร้างไว้นั้น เกือบเสร็จแล้ว จึงคิดว่าเป็นโอกาสดีพอที่จะฉลองได้ จึงปล่อยให้พวกเมืองตานีกลับไปจัดการรับที่เมืองตานี” วันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ วัดบางน้ำจืด โดยเรือพระที่นั่งบูรทิศในการพระราชพิธีฉลองศาลาการเปรียญ ทรงมีพระราชหัตถเลขา ในการพระราชพิธีดังกล่าวถึงเหตุการณ์ในการฉลองศาลาการเปรียญและได้พระราชทานนามวัดว่า "วัดตานีนรสโมสร" และได้รับยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรีชนิดสามัญ นับเป็นอารามหลวงแห่งแรกของจังหวัดปัตตานี ตั้งแต่วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๙--------------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ยะลา https://www.facebook.com/751655098538170/posts/1332154277154913/ --------------------------------------------------------------เอกสารอ้างอิง : ห้องสมุดดิจิทัลวชิรณาญ (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://vajirayana.org/.../%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0... ห้องสมุดดิจิทัลวชิรณาญ (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://vijirayana.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8... มาฆีตานิง : ท่องไปในวงแหวนพหุวัฒนธรรมเมืองปัตตานี. สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ออนไลน์). แหล่งที่http://xn--pattaniheritagecity-z70dtn.psu.ac.th/.../%E0.../ South deep outlook.com (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://southdeepoutlook.com/.../detail_south_editorial/77/ จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย. สำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://rama5.flexiplan.co.th/th/timeline/detail/4859