ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,755 รายการ
ชื่อเรื่อง : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จังหวัดลำพูน
ผู้แต่ง : กรมศิลปากร
ปีที่พิมพ์ : 2542
สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ : คัมปาย อิมเมจจิ้ง
การประชุมหารือการดำเนินงานตามแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมาครั้งที่ ๑/ปีงบประมาณ ๒๕๕๘วันพุธที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ณ ห้องประชุมสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา
ชื่อเรื่อง : เทศกาลลอยกระทง เล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ ประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ
ผู้แต่ง : พระยาอนุมานราชธน
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๑๓
สถานที่พิมพ์ : ธนบุรี
สำนักพิมพ์ : สัตยการพิมพ์
หมายเหตุ : อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ต.อารี กาญจนาภา ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๓
หนังสิอเทศกาลลอยกระทง เล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ ประเพณีทำบุญสวดมนตืเลี้ยงพระ เล่มนี้ ได้รวบรวมเรื่องสั้นเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยสมัยโบราณ เช่น การเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง และประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ
ชื่อเรื่อง สวัสดิรักษา และ สุภาษิตสอนสตรีผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ พุทธศาสนาเลขหมู่ 294.313 ส678ยสถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากรปีที่พิมพ์ 2506ลักษณะวัสดุ 84 หน้า หัวเรื่อง พระสูตร พุทธศาสนา – บทสวดมนต์ พุทธศาสนา – ชาดกภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึกสารัตถสมุจจัยเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระปริตร ที่พิมพ์ในคราวนี้ได้พิมพ์เฉพาะบทที่ 18 ว่าด้วยคิริมานนทสูตร ส่วนคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในบานแผนก
คู่มือประวัติศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมปีที่ 6 ตอนที่ 1 ประวัติศาสตร์ไทย
การทอเสื่อเป็นอาชีพดั้งเดิมอีกหนึ่งในหลายอาชีพของชาวญวนที่หอบหิ้วมาพร้อมความเชื่อตั้งแต่สมัยปลายอยุธยา รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องเสื่อของเมืองจันทบูรไว้ว่ามี ๔ ชนิด คือเสื่อคล้า เสื่อกก (ที่ชาวกรุงเทพฯเรียกว่าเสื่อกระจูด) เสื่อดอกอ้อ และเสื่อกกแดงที่ทำโดยคนญวน ...เสื่อกกแดงนั้น มีแต่พวกญวนทำแห่งเดียว วิธีทำนั้นเอาต้นกกมาจักให้เล็ก ผึ่งแดดให้แห้ง แล้วจึงย้อมสีต่าง ๆ ตามที่จะให้เป็นลาย สีแดงนั้นย้อมด้วยน้ำฝาง สีดำย้อมด้วยหมึก สีเหลืองย้อมด้วยแกแล บางทีย้อมด้วยขมิ้น สีน้ำเงินย้อมด้วยครามแต่ใช้น้อยแล้วเอาเข้าสดึงทอเปนลายต่าง ๆ เปนเสื่อผืน เสื่อลวด บ้างยาวแต่จะต้องการ กว้างเฉภาะชั่วต้นกก เปนสินค้าออกนอกเมือง เสื่อลวดประมาณ ๓๐๐๐ ลวด ราคาลวดละ ๖ สลึง เสื่อผืนนั้นออกน้อย เปนแต่ของกำนันแลของแจกราคาผืนหนึ่งตั้งแต่สลึงจนถึงบาท ตามแต่งามไม่งาม... เสื่อที่ทอด้วยกกแดงจะแตกต่างจากเสื่อของชาวชอง คนพื้นเมืองที่ทำจากต้นคลุ้มและคล้า ที่หาได้จากบนเขาสระบาป ส่วนกกจะอาศัยอยู่ในน้ำกร่อย เราเรียกเสื่อกกแดงว่า เสื่อแม่ชี เสื่ออาราม หรือเสื่อญวนอพยพ จากเอกสารจดหมายเหตุได้ระบุว่าใน พ.ศ.๒๔๖๒ รัฐบาลสยาม ได้ไปร่วมจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ที่เมืองแซนฟรานซิสโก ประเทศอเมริกา ให้จัดส่งสินค้าพื้นเมืองแต่ละเมืองไปร่วมด้วย ในบรรดาสินค้าที่ส่งไปร่วมประกวดหลากหลายชนิดนั้น พระยาตรังคภูมาภิบาล สมุหเทศาภิบาลมณฑลจันทบุรี ต้องการมีเสื่อกกไปร่วมจัดแสดงและประกวดด้วย จึงสั่งการไปยังซิสเตอร์ที่อารามจัดทำเสื่อกก เสื่อกกที่ส่งไปมี เสื่อกกยกดอกตราอาร์ม เสื่อกกยกดอกหน้าสัตว์ เสื่อกกยกดอกตราครุฑ และเสื่อกกธรรมดา และเสื่อกกที่ส่งไปได้รับเหรียญเกียรติยศพร้อมประกาศนียบัตร ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๗๕ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงมหาดไทย ต้องการร่วมแสดงพิพิธภัณฑ์นานาชาติ ที่เมืองเรไยนาประเทศแคนาดาอีก จึงให้มณฑลจันทบุรี จัดส่ง “เสื่อ” โดยระบุให้ว่าจ้างช่างที่มีฝีมือดีในสำนักชีของวัดโรมันคาธอลิกจันทบุรี เป็นคนทำ พร้อมระบุขนาดและสีตามบัญชีว่าต้องเป็นลายตาหมากรุก หลวงสาครเชตต์ อดีตนายอำเภอมะขาม ได้เขียนถึงการทำเสื่อของคนญวนในจดหมายเหตุความทรงจำสมัยฝรั่งเศสยึดจันทบุรีว่า ...การทำเสื่อญวนนั้น ตามธรรมดานับว่าคนเชื้อญวนนับว่าเป็นผู้มีความชำนิ ชำนาญ ในการพลิกแพลงจัดทำยิ่งกว่าบุคคลชาติไทยด้วยกัน ยิ่งพวกนางชีแห่งสำนักโรมันคาทอลิกด้วย ก็เกือบจะต้องนับว่ามีความรู้ความชำนาญมากที่สุด ฉะนั้น เสื่อจันทบุรี ที่มีลวดลายลักษณะดอกดวงงดงามหรือจะเป็นภาพสัตว์ต่าง ๆ จนแม้ที่สุดจะประดิษฐ์เป็นตราอาร์มของรัฐบาล ดังเช่น รูปช้าง รูปครุฑ เหล่านี้เขาจะทำได้เป็นอย่างดี...ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารจดหมายเหตุที่ได้กล่าวมาแล้ว ต่อมาเสื่อญวนอพยพได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ พัฒนาให้เป็นอุตสาหกรรม ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการทอเสื่อของซิสเตอร์ที่อารามฟาติมา และต่อมาได้โปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงงานทอเสื่อขึ้นที่สวนบ้านแก้ว เรียกกันว่า “เสื่อสมเด็จ” เสื่อสมเด็จได้พัฒนารูปแบบจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ...เนื่องจากพระอนุชาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ได้นำเทคนิคการย้อมโดยใช้สีทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น อีกทั้งได้ออกแบบให้เป็นเครื่องใช้ที่สวยงามน่าใช้มากขึ้น...(สัมภาษณ์ นายเชื้อชาย ทิพยสมบัติ,๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) ปัจจุบันการทอเสื่อกกแบบของญวนได้รับการส่งเสริมจนกลายเป็นสินค้าหัตถกรรมที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอีกทั้งได้มีการพัฒนาต้นกกในน้ำกร่อยให้มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการในจังหวัดจันทบุรี ----------------------------------------ผู้เขียน สุมลฑริกาญจณ์ มายะรังษี นักจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ----------------------------------------เอกสารอ้างอิงหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี.(๑๓)มท ๒.๒.๔/๑๖ เอกสารกระทรวงมหาดไทยชุดมณฑลจันทบุรี.เรื่องกระทรวงมหาดไทยสั่งให้จัดทำยานพาหนะต่าง ๆ ส่งเข้าไปกรุงเทพฯ(๑๑ พ.ค.๒๔๕๗-๒ มิ.ย.๒๔๖๒)
ชื่อเรื่อง ประวัติวัดราชผาติการาม ผู้แต่ง -ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ ศาสนาเลขหมู่ 294.3135 ป373สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ทรงธรรมปีที่พิมพ์ 2480ลักษณะวัสดุ 60 หน้า หัวเรื่อง วัดราชผาติการาม หนังสืออนุสรณ์งานศพ ภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก เนื้อหาภายในประกอบด้วยวัดราชผาติการาม เป็นวัดโบราณ เดิมชื่อวัดส้มเกลี้ยง เดิมตั้งอยู่บ้านญวณ หลังโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ต่อมาได้ร้างลง เพราะ ชาวญวณอพยพมาบริเวณนั้น ได้รื้อเอาอิฐไปสร้างสถานที่ต่างๆ จนแทบไม่เหลือสภาพวัดเลย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างวัดใหม่ เป็นการผาติกรรมแทนวัดส้มเกลี้ยงและได้พระราชทานนามใหม่ว่า วัดราชผาติการาม อันหมายถึง วัดที่พระราชาทรงผาติกรรมแลกเปลี่ยน ทดแทน ให้เจริญขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2379
+++โบราณสถานวัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม+++
---โบราณสถานวัดศรีพิจิตรกิรติกัลยารามหรือโบราณสถานร้าง ต.๒๙ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองสุโขทัยด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากประตูนะโมไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๑.๗ กิโลเมตร
---เดิมนั้นชาวบ้านเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดตาเถรขึงหนัง ส่วนชื่อวัดศรีพิจิตรกิรติกัลยารามที่เรียกกันในปัจจุบันนั้น มาจากจารึกวัดตาเถรขึงหนังที่มีการพบที่วัดแห่งนี้ เนื้อหาของจารึกได้กล่าวถึงสมเด็จพระราชชนนีศรีธรรมราชมาดาและสมเด็จมหาธรรมราชาธิบดีราชโอรส ได้อาราธนาพระเถระสำคัญองค์หนึ่งนามว่า สมเด็จพระมหาศรีกิรติ จากเมืองกำแพงเพชรมาอำนวยการสร้างวัดนี้ในปี พ.ศ. ๑๙๔๓ และต่อมาในปี พ.ศ. ๑๙๔๖ ได้มีการปลูกพระศรีมหาโพธิ์ เนื้อหาของจารึกถูกบันทึกด้วยอักษรขอมสุโขทัย – ไทยสุโขทัย จารึกขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๔๗ ภายหลังการสร้างวัดแล้วเสร็จ ดังปรากฏข้อความในจารึกดังนี้
“…ศักราช ๗๖๒ นาคนักษัตรปีมะโรง สมเด็จพระราชชนนีศรีธรรมราชมาดา มหาดิลกรัตนราชนาถ-กรรโลง แม่และสมเด็จมหาธรรมราชาธิบดีศรีสุริยวงศ์ (โอรส) ราชอำนวจน้าวห้าวหาญ นำ พ(ล) รชราคลาธรณีดลสกลกษัตริย์ (หากขึ้นเสวยใน) มหามไหสวริยอัครราช เป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ (นครศรีสัชนาลัย) สุโขทัย แกวกลอยผลาญปรปักษ์ศตรูนู พระราชสีมา…เป็นขนอบขอบพระบางเป็นแดน เท่าแสนสอง หนองห้วยและแพร่…สมเด็จแม่ออกท่าน จึงจักให้นิมนต์ตนสมเด็จพระ(มหา) ศรี (กิรติ) เจ้าเหง้าพุทธางกูรดรุณพันลอก ฝูงอริยะ จากสถานสถิระ คือพชรบุรีศรีกำแพงเพชร มาสร้างพระอาวาสอาสน์อันดีมีชื่อศรีพิจิตรกิรติกัลยารามเป็นสนามเจ้ามหาสัปปุรุษทั้งหลาย จักถวายอัญชุลีน้อมตน นมัสการคำนับ อันดับนั้น ศักราช ๗๖๕ ในปีมะแมแปรวันเดือนในเดือนอ้าย ออกใหม่ใส่ไว้ได้แปดค่ำ วันพฤหัสบดีศรีทินพารกาลยามตะวันชายย้ายหกบาทฉายาเสร็จ สมเด็จพระศรีธรรมราชมาดามหาดิ (ลกรัตนราช) กรรโลง จึงสถิตสถาปนาปลูกพระพฤกษาอธิบดีศรีมหา (โพธิ)…”
---ลักษณะทางสถาปัตยกรรม เป็นวัดที่มีคูน้ำล้อมรอบเป็นขอบเขตวัด โดยมีโบราณสถานตั้งอยู่ภายในซึ่ง ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างดังนี้
๑. เจดีย์ประธานทรงระฆังขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐ ตั้งอยู่บนฐานสูงเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขนาดกว้างด้านละ ๑๗ เมตร ที่ฐานด้านตะวันออกและตะวันตก ทำเป็นซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่ง โดยเฉพาะซุ้มด้านทิศตะวันออกปรากฏร่องรอยการก่อเป็นซุ้มโค้งสูงขึ้นไปคล้ายกรวยแหลม
๒. ฐานวิหารก่ออิฐ ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๓ เมตร อยู่ทางด้านหน้า หรือตะวันออกของเจดีย์ประธาน
๓. ฐานเจดีย์ราย ๔ ฐาน ตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบฐานเจดีย์ประธาน
๔. คูน้ำล้อมรอบอาณาเขตวัด มีขนาดของคูกว้างประมาณ ๑๕ เมตร ล้อมรอบพื้นที่วัดที่มีขนาดกว้าง ๔๐ เมตร และยาว ๘๐ เมตร