ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,683 รายการ

ตำรายาแผนโบราณ ชบ.ส. ๕ เจ้าอาวาสวัดรังษีสุทธาวาส ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๙ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.18/1-1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ส้วยถัง เล่ม 1 ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2509 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 332 หน้า สาระสังเขป : ส้วยถัง เป็นพงศาวดารจีนที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย โดยเรื่องราวเกิดในสมัยกษัตริย์จีนราชวงศ์ซุย และราชวงศ์ถังตอนต้น (พ.ศ. 1132-1161) เรื่องราวบอกเล่าเหตุการณ์ช่วงราชวงศ์ซุยแผ่นดินเกิดการจลาจล เหล่าผู้กล้าต่างรวมตัวต่อต้านราชวงศ์ซุย โดยในเล่มนี้เป็นเรื่องราวส้วยถังในตอนที่ 1 ตอนพระเจ้าจิวอ๋องครองเมืองตังเกีย ไปจนถึงตอนผาเมืองชีหนำฮู้



          หิน เป็นวัสดุที่คงทนและหาง่ายตามสภาพแวดล้อม ซึ่งหากพบในแหล่งโบราณคดีและไม่ได้มีรูปทรงที่บ่งบอก ว่าเป็นโบราณวัตถุ (artifact) นักโบราณคดีไทยส่วนใหญ่จะจัดให้หินเหล่านี้อยู่ใน “นิเวศวัตถุ” (geofact) โดยที่บางครั้ง ไม่ได้มีการนำมาวิเคราะห์วัตถุเหล่านี้ในเชิงลึก แต่หากนำมาวิเคราะห์ บางครั้งเราอาจเข้าใจว่า ทำไม “นิเวศวัตถุ” เหล่านี้ถูกพบเป็นกลุ่มก้อนร่วมกับโบราณวัตถุประเภทอื่น (ภาพที่ 1)           นักโบราณคดีต่างชาติจัดวัตถุดังกล่าวให้อยู่ในโบราณวัตถุที่เรียกว่า “Ground stone” ซึ่งหมายถึงวัตถุ ประเภท หิน เพื่อการผลิตสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือวัตถุเชิงพิธีกรรม ฯลฯ รูปแบบการใช้งานของ “Ground stone” ยกตัวอย่างได้ เช่น หินขัดภาชนะดินเผา (abrasion, polish) (Adams 2002: 1) หินที่นำมาทำสะเก็ดหิน (flaking) การทำหินหรือเขาสัตว์เจาะรู โดยใช้หินเป็นเครื่องมือในการเจาะ (drilling) (ภาพที่ 2) (Wright 1992: 53) และ การใช้งานยังขึ้นอยู่กับประเภทและลักษณะทางกายภาพของหินด้วย เช่น หินขนาดเล็กนำมาขัดภาชนะดินเผา เพราะ ถนัดมือ (ภาพที่ 3) แตกต่างจากหินที่ถูกนำไปใช้งานในหน้าที่การใช้งานอื่น ๆ เช่น หินกะเทาะ หินบด หินสำหรับลับเขา สัตว์หรือหัวธนู (ภาพที่ 4) หรือ แท่นหินลับขวานหินขัด (ภาพที่ 5) ที่ต้องใช้หินขนาดใหญ่ (cobble) (Wright 1992)           ดังนั้นหินที่พบในแหล่งโบราณคดีบางชิ้น อาจถูกนำมาใช้งานในแง่ของเครื่องมือการผลิตด้วยวิธีต่าง ๆ จน ทำให้เกิดโบราณวัตถุ และขณะที่มีการผลิตวัตถุ Ground stone เหล่านั้นก็สึกกร่อนไปโดยที่มนุษย์ไม่ได้ตั้งใจ เช่นกัน ดังนั้นนักโบราณคดีต่างชาติ จึงจัดให้ “Ground stone” อยู่ในโบราณวัตถุประเภทหนึ่งที่จะสามารถ อธิบายความสำคัญของแหล่งโบราณคดีนั้น ๆ ได้ ภาพที่ 1 ภาพกลุ่มโบราณวัตถุ ได้แก่ หินขัดภาชนะ หินดุ เครื่องมือหิน จากแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี ที่มา : รัชนี ทศรัตน์ และ ชาร์ลส ไฮแอม, สยามดึกดำบรรพ์, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ริเวอร์บุ๊คส์, 2542), 49. ภาพที่ 2 ประเภทการใช้งาน Ground stone ที่มา: https://www.persee.fr/doc/paleo_0153-9345_1992_num_18_2_4573 ภาพที่ 3 การใช้หินขัดภาชนะในประเทศอินเดียและประเทศเดนมาร์ก ที่มา : Valentine Roux. Ceramics and Society. (Nanterre: Springer. 2019), 97. ภาพที่ 4 การใช้วัตถุขัดกับหินด้วยวิธี abrading ที่มา : Jenny L. Adams, Ground Stone Analysis. In Archaeological Investigations along Tonto Creek: Artifact, Environmental, and Mortuary Analyses. 2, Lithic, Ground Stone, and Environmental Analyses, edited by J. J. Clark. Anthropological (Tucson: Center for Desert Archaeology. 2002), 23. ภาพที่ 5 สันนิษฐานการใช้งานการขัดหิน ที่มา : อาพัน กิจงาม และปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ (2549 : 32)------------------------------------------------------เรียบเรียงข้อมูล : นางสาวสุวิมล เงินชัยโรจน์ นักวิชาการวัฒนธรรม กลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี------------------------------------------------------


********โบราณสถานวัดป่าหนองคัน********* ------โบราณสถานวัดป่าหนองคัน ตั้งอยู่ที่บ้านสว่าง ตำบลสำราญ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร สภาพของโบราณสถานตั้งอยู่กลางป่าชุมชน พื้นที่โดยรอบเป็นที่นาโล่ง บนที่ราบลุ่มริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำชี มีลำห้วยขั้นไดใหญ่ไหลผ่านทางตะวันตก ------โบราณสถานได้รับการบูรณะแล้วตามหลักวิชาการโดยกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๖ สภาพของโบราณสถานมีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ในแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด กว้าง ๖ เมตร ยาว ๗ เมตร สูงจากพื้นดินโดยรอบประมาณ ๓ เมตร หันไปทางทิศตะวันออก ห่างออกไปทางตะวันออกประมาณ ๒๐ เมตร มีบ่อน้ำก่ออิฐถือปูนรูปวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๒๐ เซนติเมตร ------ลักษณะของอาคารประกอบด้วย ฐาน ๒ ชุด ฐานด้านล่างเป็นหน้ากระดานซ้อนชั้นลดหลั่นกันรองรับชุดฐานบัวลูกฟักขนาดเล็ก ฐานด้านบนเป็นชุดฐานขนาดใหญ่ประกอบด้วยบัวคว่ำ ท้องไม้ บัวหงายและบัวคว่ำ เพื่อรองรับผนังอาคาร ลักษณะพิเศษของฐานขนาดใหญ่ คือ ปูนปั้นมุมของฐานบัวให้มีปลายแหลมตวัดขึ้นซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของศิลปกรรมแบบลาวล้านช้างเวียงจันทน์(ที่ได้รับแรงบันดาลใจต่อเนื่องมาจากล้านช้างหลวงพระบาง) อาคารเป็นอาคาร ๒ ห้อง แบ่งเป็น ๒ ส่วน ห้องด้านหน้าเป็นผนังเตี้ย และห้องด้านหลังเป็นผนังสูงทั้ง ๓ ด้าน โดยยังปรากฏเสาไม้ที่มุมทั้งสี่และที่กึ่งกลางของผนังทั้งสองข้าง มีร่องสำหรับประดับแขนนาง หรือคันทวยตรงกับเสาข้างละ ๓ ร่อง โดยรอบอาคารปรากฏการปักใบเสมาขนาดเล็กซ้อนกัน ๔ ใบ ที่ทิศทั้งแปด ส่วนหลังคาไม่ปรากฏหลักฐานจึงออกแบบขึ้นมาใหม่เพื่อให้คลุมอาคารโบราณสถาน และมีพื้นที่ใช้สอยโดยรอบเล็กน้อย จากลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น สามารถกล่าวได้ว่าอาคารโบราณสถานหลังนี้ คือ อุโบสถ(สิม)โปร่ง แบบไม่มีเสารองรับปีกนก ------อายุสมัยจากการพิจารณาจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมพบว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่มีรูปแบบของศิลปะล้านช้าง ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ แต่ทั้งนี้ อุโบสถ(สิม)หลังนี้ เชื่อว่าไม่ได้ก่อสร้างในช่วงเวลาดังกล่าว แต่น่าจะสร้างในช่วงเวลาที่หลังลงมา เนื่องจากการรับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมและพบว่าวัดในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เริ่มนิยมก่อสร้างอาคารกลุ่มนี้น่าจะมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นต้นมา อ้างอิงจาก ๑. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. (๒๕๕๖). รายงานการบูรณะโบราณสถานวัดป่าหนองคัน บ้านสว่าง ตำบลสำราญ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร(เอกสารอัดสำเนา). ๒. วิโรฒ ศรีสุโร. (๒๕๓๖). สิมอีสาน = Isan Sim : Northeast Buddhist holy temples. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโตโยต้า. ----นายพงษ์พิศิษฏ์ กรมขันธ์ นักโบราณคดีปฏิบัติการ เรียบเรียง  



     ตราประทับดินเผารูปครุฑ       พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี       จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง      ตราประทับดินเผารูปครุฑ ขนาดกว้างประมาณ ๕.๕ เซนติเมตร สูงประมาณ ๖.๒ เซนติเมตร รูปครุฑแสดงในรูปแบบของบุรุษครึ่งนก มีลักษณะคล้ายคนแคระ ยืนในท่าหันหน้าตรง มีขาเป็นนก ปีกกางออก ผมเกล้าเป็นมวย มีเครื่องประดับศีรษะ ใบหน้าค่อนข้างกลม ตากลมนูน คิ้วต่อเป็นปีกกา จมูกใหญ่และโด่ง ปากค่อนข้างหนา สวมเครื่องประดับที่ลำคอ และสวมตุ้มหูขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับที่พบในกลุ่มประติมากรรมสมัยทวารวดี ยืนอยู่บนฐานบัว ลักษณะของรูปครุฑสามารถเทียบเคียงกับประติมากรรมรูปครุฑดินเผาประดับศาสนสถาน พบจากเมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ (ประมาณ ๑,๓๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว)      ครุฑเป็นสัตว์ในจินตนาการ ตำนานอุปาติกะ กล่าวว่า ครุฑเป็นรูปครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ ถือว่าเป็นกึ่งเทวดา ลักษณะส่วนศีรษะ ปีก เล็บ และปาก เหมือนนกใหญ่อย่างอินทรีย์ ตัวและแขนขาเป็นคน หน้าขาว ปีกแดง มีกายสีทอง ถือเป็นเจ้าแห่งนกทั้งปวง      ตามคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ครุฑเป็นพาหนะของพระวิษณุ ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับสมมติเทพมักเกี่ยวข้องกับพระวิษณุที่เป็นวรรณะกษัตริย์ ดังนั้นครุฑจึงเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ด้วย ส่วนคติความเชื่อในพุทธศาสนา เรื่องราวของครุฑมีแทรกอยู่ในชาดกเรื่องต่าง ๆ โดยครุฑอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นพญานกที่ยิ่งใหญ่ในหมู่นกทั้งปวง ครุฑยังปรากฏในพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหลายตอน เช่น เหตุการณ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ครุฑพร้อมด้วยเทวดาและนาค ต่างก็พากันมาบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และธูปอันเป็นทิพย์ ตอนตรัสรู้ ครุฑเป็นผู้ประกาศก้องถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้า      รูปครุฑปรากฏในงานศิลปกรรมมาแล้วตั้งแต่สมัยอินเดียโบราณ เช่นรูปครุฑที่ประดับอยู่บนโตรณะด้านทิศตะวันออกของสถูปสาญจี และปรากฏบนตราดินเผาในศิลปะอินเดียแบบคุปตะ เป็นรูปของพระเจ้ากุมารคุปตะ (Kumaragupta) ที่ทำเป็นรูปครุฑแต่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ และตราดินเผารูปคชลักษมีซึ่งมีรูปครุฑประกอบอยู่ด้วย สำหรับรูปครุฑในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี พบทั้งงานศิลปกรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์ เช่น เมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และในศาสนาพุทธ เช่น เจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม เป็นต้น รูปแบบของครุฑมีทั้งแบบที่มีลักษณะเหมือนนก คือ มีปาก ปีก และขา เหมือนนก และครุฑที่เป็นรูปบุคคลมีปีก      ตราประทับดินเผารูปครุฑชิ้นนี้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในท้องถิ่นโดยคนพื้นเมืองทวารวดี เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนบุคคลหรือกลุ่มคน อาจเป็นบุคคลชั้นสูงหรืออาจเกี่ยวข้องกับศาสนา แสดงถึงการรับอิทธิพลทั้งด้านรูปแบบศิลปกรรมและความเชื่อมาจากอินเดีย เข้ามาผสมผาสนกับวัฒนธรรมทวารวดีที่เมืองโบราณอู่ทอง ในช่วงเวลาดังกล่าว   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. ศิลปะทวารวดี ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, ๒๕๕๒. ดวงกมล อนันต์วัชรกุล. “คติความเชื่อเรื่องสัตว์ที่ปรากฏในวัฒนธรรมทวารวดี”. เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔. อนันต์ กลิ่นโพธิ์กลับ. “การศึกษาความหมายและรูปแบบตราประทับสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗. ดูน้อยลง


เตรียมพบกับสารคดีองค์ความรู้ทางด้านพิพิธภัณฑสถานวิทยา “พิพิธภัณฑสถานวิทยากับการคืนชีวิตนิทรรศการ ณ หมู่พระวิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร” ติดตามได้ช่องทาง Youtube : Office of National Museum, Thailand https://www.youtube.com/channel/UC4jUZfBAUkf9XQIFt_q-kPA เร็วๆนี้


ชื่อเรื่อง                         สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฏฐาน)      สพ.บ.                           394/5กหมวดหมู่                       พุทธศาสนาภาษา                           บาลี/ไทยอีสานหัวเรื่อง                         พุทธศาสนา                                   ชาดก                                   เทศน์มหาชาติ                                   คาถาพันประเภทวัสดุ/มีเดีย           คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                   56 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 58 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


          นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรนักอนุรักษ์ ช่างอนุรักษ์ และผู้คุมงานอนุรักษ์โบราณสถาน รุ่นที่ ๑ โดยมีนายเจษฎา ชีวะวิชวาลกุล ผู้อำนวยการสำนักสถาปัตยกรรม นายวสุ โปษยานนท์ สถาปนิกเชี่ยวชาญ และวิทยากรผู้รับผิดชอบงานด้านการอนุรักษ์โบราณสถานจากสำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ร่วมในพิธีเปิดการอบรม เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๔           อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การอบรมในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากสถานการณ์งานอนุรักษ์ที่มีแหล่งโบราณสถานอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่สมดุลกับจำนวนบุคลากรด้านการอนุรักษ์ของกรมศิลปากรที่มีอยู่จำกัด ทำให้เกิดการขาดแคลนบุคลากร ปัจจุบันจึงมีความจำเป็นต้องใช้การจ้างงานเข้ามาดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานมากขึ้น จึงได้มอบหมายให้สำนักสถาปัตยกรรม จัดอบรมหลักสูตรนักอนุรักษ์ ช่างอนุรักษ์ และผู้คุมงานอนุรักษ์โบราณสถาน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์โบราณสถานของกรมศิลปากรให้แก่บุคคลภายนอก ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเดียวกัน           การจัดอบรมมีทั้งหมด ๓ หลักสูตร ตามกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ หลักสูตรอบรมนักอนุรักษ์โบราณสถาน หลักสูตรอบรมช่างฝีมืออนุรักษ์โบราณสถาน และหลักสูตรอบรมผู้ควบคุมงานอนุรักษ์โบราณสถาน โดยในระหว่างวันที่ ๗ – ๑๓ กันยายน นี้ เป็นการจัดอบรมหลักสูตรนักอนุรักษ์โบราณสถาน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ออกแบบหรือกำหนดวิธีการอนุรักษ์ตามสายวิชาชีพ ที่มีประสบการณ์ในด้านงานอนุรักษ์และเคยปฏิบัติงานร่วมกับกรมศิลปากรอยู่แล้ว การอบรมครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการรวบรวมบุคลากรที่เต็มไปด้วยความรู้และประสบการณ์ในงานอนุรักษ์โบราณสถาน มุ่งเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางในการปฏิบัติ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์แหล่งมรดกศิลปวัฒนธรรม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน รวมถึงเน้นย้ำแนวทางของกรมศิลปากรในหลักการและกระบวนการทำงาน ตามแนวทางที่กำหนดไว้ในระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน พ.ศ. ๒๕๒๘           นายประทีป กล่าวว่า กรมศิลปากรจะออกประกาศนียบัตรเพื่อรับรองว่าผู้ผ่านการอบรมมีความรู้ความสามารถในระดับเดียวกันกับช่างอนุรักษ์ของกรมศิลปากร และสามารถร่วมปฏิบัติงานอนุรักษ์โบราณสถานในโครงการต่าง ๆ ของกรมศิลปากรในอนาคต ซึ่งขณะนี้กรมศิลปากรอยู่ระหว่างจัดทำข้อกำหนดในการพิจารณาอนุญาต ให้ผู้มีความรู้ความสามารถในงานอนุรักษ์โบราณสถานใช้ประกาศนียบัตรการผ่านการอบรมเพื่อร่วมดำเนินงานการอนุรักษ์โบราณสถานกับกรมศิลปากรต่อไป






ชื่อเรื่อง                     มหานิปาตวณฺณนา (เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ทสพร-นครกัณฑ์)สพ.บ.                       293/2ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               32 หน้า : กว้าง 4.4 ซม. ยาว 55.6 ซม.หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                              ชาดก                              เทศนา  บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับชาดทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี    


black ribbon.