ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ

สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 137/3 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 172/6กเอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


ผู้แปล             สมศรี เอี่ยมธรรม. ชื่อเรื่อง           บันทึกสัมพันธภาพระหว่างประเทศสยามกับนานาประเทศ เล่มที่ ๓๓-๓๕ (ค.ศ. ๑๘๗๑ - ๑๘๗๒) ครั้งที่พิมพ์       - ปีที่พิมพ์          ๒๕๓๙สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯสำนักพิมพ์       กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรจำนวนหน้า      ๒๑๖ หน้า รายละเอียด บันทึกสัมพันธภาพระหว่างประเทศสยามกับนานาประเทศ เล่มนี้ กรมศิลปากร ได้มอบให้ นางสมศรี เอี่ยมธรรม แปลจากเอกสารชุด “Documents relation to the Relationship between Siam and Foreign Countries” Vol. ๓๓ - ๓๕  ทั้งชุดมี ๓๖ เล่ม ซึ่ง เล่มที่ ๓๓ - ๓๕  เนื้อเรื่องกล่าวถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับการปล้นสะดม การกระทบกระทั่งกันตามชายแดนภาคเหนือ รวมทั้งการพิจารณาคดีระหว่างของคนในบังคับของอังกฤษ เช่น พม่า กะเหรี่ยง มอญ และชาวไทยตอนเหนือ การทำสัญญาระหว่างอังกฤษกับเชียงใหม่ การวางสาย โทรเลข และไฟฟ้าของเจ้าหน้าที่อังกฤษในเชียงใหม่


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           56/2ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                92 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           10/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              30 หน้า : กว้าง 5.2 ซม. ยาว 53.2 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชิต เหรียญประชา เกิดเมื่อวันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2451 ที่จังหวัดนครปฐม เริ่มเรียนศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง แต่เมื่อเหลือเวลาอีก 1 ปี ก่อนจะจบการศึกษา ชิตกลับลาออก เนื่องจากมองไม่เห็นอนาคตในอาชีพศิลปิน ต่อมาชิตได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ด้วยเหตุที่ชิตเป็นผู้มีความรู้ทางด้านศิลปะ จึงย้ายไปช่วยงานที่กรมทหารช่าง และสอบบรรจุเป็นนายสิบ แต่เนื่องจากเงินเดือนที่ได้ไม่พอใช้ในครอบครัว จึงลาออกมาเป็นช่างอิสระ รับจ้างเขียนลายรดน้ำ ปิดทองโต๊ะหมู่บูชา พ.ศ. 2473 ชิตทำงานเป็นช่างศิลป์ให้กับสำนักงานศิลปาคาร ในการออกแบบแกะบล็อกและตราเครื่องหมายต่างๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชิตรับงานผลิตตราขององค์การสงเคราะห์ประชากรสงคราม ทำให้มีทุนเพียงพอสำหรับการเปิดร้าน ช.ช่าง รับงานแกะสลักทุกชนิด โดยเมื่อว่างจากการรับงานที่ร้าน ชิตได้ทุ่มเทเวลาในการสร้างสรรค์ผลงานแกะสลักในแบบฉบับของตนเอง ในปี 2493 ชิตและเพื่อนศิลปินร่วมกันก่อตั้งจิตรกรปฏิมากรสมาคม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งศิลปะอันเป็นวัฒนธรรมของชาติ และรวบรวมศิลปินให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ชิตได้รับการยกย่องในแวดวงศิลปะว่ามีความเป็นเลิศในด้านการแกะสลักไม้และงาช้าง และเป็นผู้ที่มีความสามารถในการนำเอารูปแบบของศิลปะไทยประเพณีมาผสมผสานเข้ากับรูปแบบและวิธีการของงานศิลปะสมัยใหม่ โดยได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากพระพุทธรูปแบบสุโขทัย ซึ่งมีสัดส่วนและท่าทางการแสดงออกที่มีความอ่อนช้อยงดงาม ชิตได้กล่าวถึงการสร้างสรรค์ผลงานของตนไว้ว่า “ผมทำตามอารมณ์... ต้องการให้เส้นที่ปรากฏออกมาในแบบไทยๆ แต่ form เป็นสากล” ในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2494) ผลงาน “รำมะนา” ของชิตได้รับรางวัลเกียรตินิยมอับดับ 1 เหรียญทอง สาขาประติมากรรม ผลงานแกะสลักจากไม้มะฮอกกานี เป็นรูปผู้ชายกำลังนั่งเล่นกลองขึงหนังหน้าเดียวที่เรียกว่า รำมะนา มีการลดทอนรายละเอียดของกล้ามเนื้อ คงไว้ซึ่งรูปร่างที่มีลักษณะอ่อนช้อย โดยออกแบบใบหน้า ท่าทาง และเค้าโครงของงานประติมากรรม ให้แสดงเส้นสายของร่างกายที่ลื่นไหลเป็นวงโค้งล้อรับกันกับเครื่องดนตรี เผยให้เห็นถึงลีลาท่าทางของนักดนตรีที่กำลังรัวกลองเร้าอารมณ์อย่างสนุกสนาน ดูได้จากนิ้วมือ นิ้วเท้า และการโยกตัวตามจังหวะอย่างพลิ้วไหว ผลงานชิ้นนี้จึงมีความประณีตสูงและสื่อสารอารมณ์ถึงผู้ชมได้เป็นอย่างดี จากการส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 – 4 (พ.ศ. 2492 – 2496) ชิตได้รับรางวัลเกียรตินิยมอับดับ 1 เหรียญทอง 2 ครั้ง และรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 2 เหรียญเงิน 2 ครั้ง จึงได้รับเกียรติยกย่องเป็นศิลปินชั้นเยี่ยม สาขาประติมากรรม ในปี 2496 ถึงแม้ว่าชิตจะเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมแล้ว ก็ยังคงส่งผลงานเข้าร่วมแสดงอีกหลายครั้ง ในการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 10 (พ.ศ. 2502) ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวถึงผลงานของชิตไว้ว่า “…รูปสลักไม้ หญิงไทย ของ ชิต เหรียญประชา ซึ่งศิลปินผู้นี้ได้ตัดส่วนหยุมหยิมของทรงรูปนอกออกเสีย ก็เพื่อจะให้เกิดความเหมาะสมขึ้นในลักษณะพิเศษของศิลปตามแบบประเพณีของเรา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นศิลปินผู้มีฝีมือช่ำชองอยู่ตลอดมา…” พ.ศ. 2530 ชิตได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาประติมากรรม จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) ชิตถึงแก่กรรมด้วยโรคภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2537 สิริอายุ 86 ปี #ชิตเหรียญประชา #ศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่๙ #ศิลปินแห่งนวสมัย #หอศิลป์แห่งชาติ #หอศิลป์แห่งชาติถนนเจ้าฟ้า ที่มา 1. หนังสือ “5 ทศวรรษ ศิลปกรรมแห่งชาติ 2492 – 2541” โดย หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2. หนังสือ “ชิต เหรียญประชา ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป (ประติมากรรม) พ.ศ. 2530” โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 3. หนังสือ “บทความ ข้อเขียน และงานศิลปกรรมของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี” โดย หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร


เลขวัตถุ ชื่อวัตถุ ขนาด (ซม.) ชนิด สมัยหรือฝีมือช่าง ประวัติการได้มา ภาพวัตถุจัดแสดง 33/2553 (9/2549) ขวานหินกะเทาะ มีบ่า ย.7.8 ก.5 หนา 1.2 หิน สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย อายุราว 2,500-2,000 ปีมาแล้ว   ได้จากบ้านเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา จ.นครนายก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539


เลขทะเบียน : นพ.บ.503/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 4 x 56 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 167  (205-215) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : รามชาตก--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม








องค์ความรู้ เรื่อง 29 กุมภาพันธ์ วันที่ 4 ปีมีครั้งเดียว เรียบเรียง : วารุณี วิริยะชูศรี บรรณารักษ์


black ribbon.