ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,759 รายการ
ทับหลังชิ้นที่โดดเด่น ชิ้นที่ ๓ ซุ้มประตูรองทิศเหนือด้านใน โคปุระกำแพงแก้ว ของปราสาทสด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว สภาพของทับหลังคงเหลือภาพสลักเกือบสมบูรณ์ โดยสลักเป็นภาพบุคคลที่คงเหลือเฉพาะครึ่งตัวด้านล่างประทับนั่งในท่ามหาราชลีลาสนะ(มหาราชลีลา)เหนือฐานบัวที่ตั้งอยู่บนหน้ากาลซึ่งคล้อยต่ำลงมาจนถึงขอบล่างสุดของทับหลัง หน้ากาลใช้มือทั้งสองจับท่อนพวงมาลัยที่คายออกมา ท่อนพวงมาลัยโค้งขึ้นจนเกือบกึ่งกลางของทับหลัง และตกลงมาที่ปลายทับหลังทั้งสองด้านซึ่งปรากฏรูปสัตว์สันนิษฐานว่าเป็นสิงห์ หันหน้าเข้าหาจุดกึ่งกลางของทับหลัง ตรงกลางของท่อนพวงมาลัยทั้งสองด้านถูกแบ่งครึ่งโดยเฟื่องอุบะที่ด้านบนมีพระนารายณ์ทรงครุฑหรือพระนารายณ์ทรงสุบรรณ ด้านล่างของท่อนพวงมาลัยประดับลายใบไม้ม้วน ด้านบนของท่อนพวงมาลัยประดับลายใบไม้-------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : อุทยานประว้ติศาสตร์สด๊กก๊อกธม จังหวัดสระแก้ว
มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๐๖ วันประสูติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๖๓ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบัว (ธิดาเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร)) ประสูติเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๔๐๖ มีพระเชษฐา พระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดา ๕ พระองค์ ได้แก่
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมลักษณเลิศ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนศิริธัชสังกาศ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดำรงฤทธิ์
ในรัชกาลที่ ๕ พุทธศักราช ๒๔๓๔ เป็นราชองครักษ์พิเศษ แล้วให้เป็นอัครราชทูตสำหรับประเทศฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และโปรตุเกส เสด็จไปประจำ ณ กรุงปารีสในช่วงวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ครั้นพุทธศักราช ๒๔๓๘ เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า ในขณะที่ทรงเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่านั้น ทรงเป็นผู้แนะนำในที่ประชุมข้าหลวงฯ ให้จัดการเก็บภาษีอากรผลประโยชน์ในหัวเมือง จากเดิมที่มีเจ้าภาษีนายอากรเป็นผู้ผูกขาด มาเป็นของรัฐ ก่อเกิดผลประโยชน์เข้าสู่รัฐบาล ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมรุพงษ์ศิริพัฒน์ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๓๘ ต่อมาพุทธศักราช ๒๔๔๖ เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลปราจีณบุรี และโปรดให้เลื่อนยศทางฝ่ายทหาร ขึ้นเป็นนายพลตรี ถึงรัชกาลที่ ๖ เลื่อนเป็นพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๕ และในบั้นปลายพระชนม์ชีพ ได้ประทานที่ดินอันเป็นวังเดิม ใกล้วัดสุทัศนเทพวราราม ให้สร้างโรงเรียนเพื่ออุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานนามว่า "โรงเรียนเบญจมราชาลัย"
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๖๖ พระชันษา ๖๑ ปี เป็นต้นราชสกุล วัฒนวงศ์
ภาพ : มหาอำมาตย์โท พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์
พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายเฉลียว ภูมิจิตร ณ เมรุวัดธาตุทอง พระโขนง วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๓
ระบำเสียมกุก – ละโว้ เป็นผลงานการสร้างสรรค์ด้านนาฏดุริยางคศิลป์ ของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพสลักนูนต่ำรูปขบวนเสียมกุกกับขบวนละโว้ ณ ระเบียงปราสาท นครวัด ประเทศกัมพูชา ขบวนดังกล่าวเป็นของชาวสยามและชาวละโว้ ที่เป็นกลุ่มเครือญาติกับราชสำนักกัมพูชา สื่อความหมายถึงการเคลื่อนขบวนไปร่วมพิธีกรรมของอาณาจักร ระบำชุดนี้ได้อาศัยแนวความคิด มาจากระบำโบราณคดี ของกรมศิลปากร เป็นต้นแบบในการการสร้างสรรค์การแสดง จัดแสดงเผยแพร่ให้ประชาชนชมครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก) เนื่องในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “ขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น? ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน” และในรายการศรีสุขนาฏกรรม เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ โรงละครแห่งชาติภาพ ลายเส้นจากสลักหินบนระเบียงปราสาทนครวัด ถอดแบบภาพ โดย อาจารย์คงศักดิ์ กุลกลางดอน คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร การสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏดุริยางคศิลป์จากภาพสลักรูปขบวนเสียมกุกกับขบวนละโว้ให้มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นใหม่อีกชุดหนึ่งในครั้งนี้ประดิษฐ์ท่ารำโดยนางสาววันทนีย์ ม่วงบุญ เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการละครและดนตรีทรงคุณวุฒิ ประดิษฐ์เครื่องแต่งกายและอาวุธตามที่ปรากฏในภาพสลักนูนต่ำ โดยนางสุพรทิพย์ ศุภรกุล เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งนาฏศิลปินชำนาญงาน ร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร เรียบเรียงทำนองเพลงโดยนายไชยยะ ทางมีศรี ผู้เชี่ยวชาญดุริยางค์ไทย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร การประดิษฐ์ท่ารำระบำเสียมกุก – ละโว้ ผู้สร้างสรรค์ผลงานได้ใช้พื้นฐานกระบวนท่ารำของตัวพระ ตัวยักษ์ และตัวลิง เช่น ท่ากันเข่า ท่าย่อตัว ท่าลงเหลี่ยม ท่าตั้งวง ท่าย้ำเท้า และท่าการใช้อาวุธเป็นท่าหลัก ในการแสดง สื่อความหมายถึงชายชาตรีที่มีความองอาจ สง่าผ่าเผย สนุกสนาน ไม่แข็งกร้าว และดุดันของกองทัพทั้งสองฝ่ายรวมทั้งนำท่าทางที่ปรากฏในภาพจำหลักมาร่วมใช้ในกระบวนท่ารำให้ผสานกับท่วงทำนองเพลงที่ไม่มีบทขับร้อง รูปแบบการแปรแถวได้นำแนวคิดมาจากกระบวนการตรวจพลในการแสดงโขน ที่มีขั้นตอนระเบียบแบบแผน อาทิ การปรากฏกายของแม่ทัพ เดินตรวจแถว การใช้อาวุธถามความพร้อม และเคลื่อนทัพ ผู้แสดงระบำเสียมกุก – ละโว้ เป็นนาฏศิลปินผู้ชาย ของสำนักการสังคีต ที่มีพื้นฐาน และทักษะ การแสดงโขน ตัวพระ ตัวยักษ์ ตัวลิง โดยแบ่งผู้แสดงออกเป็น ๒ ขบวน คือขบวนเสียมกุกจากลุ่มน้ำโขง กับขบวนละโว้จากลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขบวนละ ๑๐ คน ซึ่งในแต่ละขบวนจะประกอบด้วยไพร่พลและเจ้านาย ต่างถืออาวุธ มีพาหนะคือช้างที่ใช้ในการเดินทางยกขบวนเดินทางไปยังบริเวณหน้าปราสาทนครวัด โดยมิได้ ทำศึกสงครามต่อกัน แต่มาร่วมรื่นเริงร้องรำทำเพลง สนุกสนาน และสรรเสริญเจ้านายของแต่ละฝ่ายที่จะ เข้าร่วมทำพิธีกรรมกับกษัตริย์กัมพูชานักแสดงผู้ชายตัวพระ ตัวลิง และตัวยักษ์ เครื่องแต่งกายระบำเสียมกุก – ละโว้ สำนักสังคีตได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ในการศึกษาและออกแบบเครื่องแต่งกายประกอบการแสดง ที่มีแรงบันดาลใจจากภาพสลักที่ระเบียงคด ปราสาทนครวัด มีแนวความคิดการออกแบบเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกถึงศิลปวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย ซึ่งคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการตัดเย็บและการสวมใส่ใช้งานได้จริง โดยแยกฝ่ายของเครื่องแต่งกายระหว่างเขมรกับไทยอย่างชัดเจนจากการแต่งกายในการเดินขบวนของฝ่ายไทยเป็นชนเผ่าที่ยังไม่มีระเบียบวินัยสื่อให้เห็นถึงการเข้มงวดของการนุ่งผ้าก็จะไม่ค่อยเรียบร้อยมีทั้งการนุ่งผ้าแบบสั้นและแบบยาว ซึ่งต่างกับฝั่งของเขมรที่มีวินัยมากกว่า การแต่งกายจะมีความเรียบร้อยเหมือนกันทุกคน อันมีรายละเอียดของเครื่องแต่งกาย ดังนี้ ฝ่ายเสียมกุก ประกอบด้วยเจ้านาย และขบวนเสียมกุก ผมเกล้ารวบที่กลางศีรษะ ปล่อยปลายผมตกลงบริเวณบ่า ใส่ต่างหูห่วงกลม เส้นผมถักและตกแต่งด้วยดอกไม้ใบสดและขนนก ห่มผ้าทอลายเป็นผ้าแถบคาดอก กำไลข้อมือและกำไลข้อเท้า นุ่งโสร่งคาดทับด้วยเข็มขัดห้อยอุบะ สวมเสื้อแบบคอปาดแขนสั้น ถือธนูเป็นอาวุธเครื่องแต่งกายนายทัพ และกองทัพฝ่ายเสียมกุก ฝ่ายละโว้ ประกอบด้วยเจ้านาย และขบวนละโว้ ผมเกล้ามวย สวมมงกุฎ และกะบังหน้าสีทองสลักดุนเป็นลวดลายและประดับด้วยอัญมณี นุ่งผ้าโจงกระเบนขมวดชายผ้ามาด้านหน้าคาดทับด้วยเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ ใส่ตุ้มหู กำไลรัดต้นแขน กำไลข้อมือและกำไลข้อเท้า ถือหอกยาวเป็นอาวุธเครื่องแต่งกายนายทัพ และกองทัพฝ่ายละโว้ ดนตรีประกอบการแสดงระบำเสียมกุก – ละโว้ บรรเลงโดยวงปี่พาทย์ไม้นวม ซึ่งใช้การปรับรูปแบบ การบรรเลงมาจากวงปี่พาทย์ไม้แข็ง โดยการเปลี่ยนหัวไม้ที่ใช้สำหรับการบรรเลงระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ และฆ้องวงเล็ก จากที่หัวไม้ทำด้วยหนังที่มีความแข็งแรงก็จะเปลี่ยนมาใช้เป็นไม้นวมซึ่งจะใช้ผ้าพันสลับกับเส้นด้ายให้มีความหนานุ่ม ทำให้ลดความดังและความแกร่งกร้าวของเสียงลง เครื่องเป่าแต่เดิมที่ใช้ปี่ในซึ่งมีเสียงดัง ก็เปลี่ยนมาใช้ขลุ่ยเพียงออแทนที่และมีเสียงเบากว่า เพิ่มการสีซออู้อีก ๑ คัน ก่อเกิดให้เสียงจากการบรรเลงมีความกล่อมกล่อมเพิ่มมากขึ้นวงปี่พาทย์ไม้นวมในปัจจุบัน นิยมใช้การบรรเลงและขับร้องในรูปแบบการขับกล่อม และใช้ประกอบการแสดงที่จัดการแสดงภายในอาคาร เช่น โรงละคร หอประชุม ฯลฯ ขนาดของวง เช่นเดียวกับวงปี่พาทย์ไม้แข็งได้แก่วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องห้า วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องคู่ และวงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่ ประกอบด้วยทำนองเพลงเดิมที่มีอยู่แล้วในทำนองเพลงออกภาษาประกอบด้วย เขมร ลาว และไทย นำมาเรียบเรียงจัดลำดับให้มีความต่อเนื่องสอดคล้องกับกระบวนท่าของการแสดง อันมีรายละเอียด ดังนี้ ช่วงที่ ๑ ทำนองเพลงแทงวิสัย (ปี่กลอง) ที่มีอัตรา ๒ ชั้น มีความยาว ๒ ท่อนเพลง โดยมีทำนองสำเนียงข่าและขะมุก ประสานเชื่อมเพลงให้เห็นการผสมผสานของชาติพันธุ์ในขบวนเสียมกุกการเคลื่อนขบวนของฝ่ายเสียมกุกแสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียง และร่วมแรงร่วมใจในการเดินทางไปพบกับขบวนละโว้ขบวนฝ่ายเสียมกุก ช่วงที่ ๒ ทำนองเพลงใบ้คลั่ง ๒ ชั้น ในท่อนที่ ๒ เนื่องจากเพลงนี้มีทำนองที่ยาวผู้เรียบเรียงทำนองเพลงจึงเลือกมา ๑ ท่อนผสานกับเสียงแคนเข้ามาเพื่อแสดงให้ถึงกลุ่มคนชาติพันธุ์ลาวที่อาศัยอยู่ในขบวนเสียมกุก พร้อมทั้งเปิดตัวแม่ทัพของฝ่ายเสียมกุกแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่สง่างามเปิดตัวแม่ทัพฝ่ายเสียมกุก ช่วงที่ ๓ ทำนองเพลงขอมทรงเครื่องสำเนียงมอญโบราณ การเคลื่อนขบวนพร้อมเปิดตัว แม่ทัพของฝ่ายละโว้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมเพรียง และร่วมแรงร่วมใจในการเดินทางไปพบกับขบวน เสียมกุกเปิดตัวแม่ทัพฝ่ายละโว้ ช่วงที่ ๔ ทำนองเพลงกลองโยน เสริมด้วยเสียงปี่ใน และฆ้องวงใหญ่ให้ทำนองเพลงมีความ โดดเด่นในช่วงของแม่ทัพเสียมกุก และแม่ทัพละโว้พบกันพร้อมทั้งทักทายด้วยมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน แสดงให้เห็นถึงการพบเจอกันทั้งสองฝ่ายด้วยความพร้อมเพรียงด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยแม่ทัพเสียมกุกและแม่ทัพละโว้พบกันทั้งสองฝ่าย ช่วงที่ ๕ ทำนองเพลงจาก แสดงให้เห็นถึงขบวนทัพเสียมกุก และละโว้เดินทางไปบูชาเทพเจ้า เมื่อเดินทางถึงจุดหมาย จากนั้นเป็นการร่ายรำบูชาเทพเจ้าด้วยทำนองเพลงสำเนียงในยุคสมัยลพบุรี บ่งบอกถึงความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมที่มีความเป็นระเบียบแบบแผนกองทัพเสียมกุก – ละโว้ รำบูชาเทพเจ้า ช่วงที่ ๖ ทำนองเพลงไทยสำเนียงรวมชาติพันธุ์ท้ายซุ้มลาวแพน ขบวนทัพทั้งสองฝ่ายเดินทางกลับถิ่น แสดงให้เห็นถึงความร่วมใจของขบวนทัพของเสียมกุก และละโว้ ร่วมน้อมบูชาเทพเจ้าด้วยความ เป็นสิริมงคล ยินดีปรีดามาทั้งสองขบวนทัพมาพบกัน ซึ่งเมื่อสำเร็จภาระกิจตามความประสงค์จึงแยกย้ายกลับยังถิ่นฐานของตนเองขบวนกองทัพเสียมกุกและขบวนกองทัพละโว้เดินทางกลับถิ่นฐานของตน การสร้างสรรค์ผลงานด้านนาฏดุริยางคศิลป์ ของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร จัดทำขึ้น สอดรับกับพันธกิจและยุทธศาสตร์ด้านการสร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มคุณค่ามรดกทางศิลปวัฒนธรรมด้านการพัฒนากระบวนการให้เข้ากับยุคสมัย โดยยึดหลักการและรูปแบบการแสดงทุกชุดจะต้องมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย สามารถสื่อสารให้ผู้ชมการแสดง และเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจได้ง่าย รวมทั้งการนำกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงไปต่อยอด ประยุกต์ใช้กับการแสดงสร้างสรรค์ในชุดอื่นๆ เพื่อเผยแพร่สู่สังคม สาธารณชน ให้เป็นแหล่งเรียนรู้สร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการหวงแหนอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม-----------------------------------------------------------------ผู้เขียน : นายรัฐศาสตร์ จั่นเจริญ นักวิชาการละครและดนตรีชำนาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต สำนักการสังคีต-----------------------------------------------------------------รายการอ้างอิง กรมศิลปากร. ระบำโบราณคดี, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๑๐. ไชยยะ ทางมีศรี. สัมภาษณ์, ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔. วรรณวิภา สุเนต์ตา. เครื่องแต่งกายระบำเสียมกุก – ละโว้อ้างในเอกสารขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๕๗. วันทนีย์ ม่วงบุญ. สัมภาษณ์, ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔. สุจิตต์ วงษ์เทศ. ขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๕๗. สุพรทิพย์ ศุภรกุล. สัมภาษณ์, ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔. เสียร ดวงจันทร์ทิพย์. เพลงระบำเสียมกุก – ละโว้ อ้างในเอกสารขอมอยู่ไหน? ไทยอยู่นั่น ขอมกับไทย ไม่พรากจากกัน, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๕๗.
ชื่อเรื่อง จุนฺทสูกริกสูตฺต (จุนทสูกริกสูตร)สพ.บ. 282/1กประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 46 หน้า : กว้าง 5 ซ.ม. ยาว 57 ซ.ม. หัวเรื่อง พุทธศาสนา บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ชื่อเรื่อง อุณฺหิสวิชย (อุณณหิสสวิไช)
สพ.บ. 334/1ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 26 หน้า กว้าง 4.5 ซม. ยาว 54 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๖.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และ กรมศิลปากร ร่วมสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๖๕ เป็นปฐมฤกษ์ ณ พระที่นั่ง พุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดกิจกรรม พิเศษ สักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน : นบพระนำพร บวรสถานพุทธปฏิมามงคล ๒๕๖๕ โดยมีพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่ง พุทไธสวรรย์ เป็นประธาน พร้อมทั้งอัญเชิญพระพุทธรูปมงคลโบราณอีก ๙ องค์ ซึ่งมีตำนานการสร้างและนามอัน เป็นสิริมงคล มาประดิษฐานให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชา เพื่ออำนวยความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลในวาระแห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ รวมทั้งจัดนิทรรศการพิเศษขนาดเล็กให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาและรูปแบบทางศิลปกรรม ของพระพุทธรูปทั้ง ๑๐ องค์ ประกอบด้วย พระพุทธสิหิงค์ ศิลปะสุโขทัย - ล้านนา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ พระพุทธรูปปางประทานพร ศิลปะอินเดีย สมัยราชวงศ์ปาละ พุทธศตวรรษที่ ๑๔ พระไภษัชยคุรุ ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระอมิตายุส ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระพุทธรูปปางฉันสมอ ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ พระหายโศก ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ (ปางประทานอภัย) ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๒ พระชัยเมืองนครราชสีมา ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓ พระชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ ขอเชิญพุทธศาสนิกชนสักการะพระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน : นบพระนำพร บวร สถานพุทธปฏิมามงคล ๒๕๖๕ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ระหว่างวันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ กรมศิลปากร ได้มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน เจ้าหน้าที่และผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา บริการเจลแอลกอฮอล์ตามจุดต่างๆ ที่มีการสัมผัสบ่อย พร้อมทั้งขอความร่วมมือ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติตามมาตรการ DMHTTA และ Covid Free Setting
เลขทะเบียน : นพ.บ.160/8ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 96 (27-34) ผูก 8 (2565)หัวเรื่อง : ปริวารปาลิ(ปาลีปริวาน) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.45/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)
ชบ.บ.88ข/1-16
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (มทฺรี-นครกัณฑ์)
ชบ.บ.990/1-13
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)