ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,794 รายการ

          กรมศิลปากร ได้พัฒนาและขับเคลื่อนภารกิจงานด้านมรดกวัฒนธรรมของชาติ ไม่ว่าจะเป็นงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ งานด้านภาษา เอกสารและหนังสือ งานนาฏศิลป์และดนตรี งานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและช่างศิลป์ไทย ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องเศรษฐกิจวัฒนธรรมสร้างสรรค์บนพื้นฐานของทุนทางวัฒนธรรม รวมถึงนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำงาน ทั้งการให้บริการและการเผยแพร่ผลงานของกรมศิลปากรในทุกด้าน ซึ่งปัจจุบันกรมศิลปากรมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ทางวิชาการผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ก ยูทูบ อินสตราแกรม รวมทั้งยังได้จัดทำ LINE OFFICIAL ของกรมศิลปากร เพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้มรดกศิลปวัฒนธรรม และการบริการของกรมศิลปากรได้ง่ายยิ่งขึ้น          ขอเชิญติดตามข้อมูลข่าวสารกรมศิลปากรผ่านทาง LINE OFFICIAL เพียงเพิ่มเพื่อน โดยสแกน QR CODE หรือ ค้นหา ID : @finearts หรือพิมพ์คำว่า กรมศิลปากร ในช่องค้นหาบัญชีทางการ เมื่อเพิ่มเพื่อนแล้ว จะมี “น้องรักษา” พาทุกท่านไปติดตามข้อมูลข่าวสาร และความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมทุกที่ ทุกเวลา


สวัสดีค่ะทุกท่าน เนื่องด้วยเดือนมิถุนายนนี้เป็นเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ หรือ Pride Month เราจะเห็นชาว LGBTQ+ ออกมาถือธงสีรุ้ง เดินขบวนเฉลิมฉลอง หรือเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศกันตลอดทั้งเดือนนี้ แต่หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า ในพิธีกรรมดั้งเดิมของวัฒนธรรมล้านนา ชาว LGBTQ+ ก็มีบทบาทสำคัญในการสืบทอดพิธีกรรมนี้ให้คงอยู่ต่อไปได้ วันนี้ พิพิธภัณฑ์ของเราก็ขอตามกระแสนี้ นำเสนอ #องค์ความรู้จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ เรื่อง "ม้าขี่ปู๊เมีย: บทบาทของ LGBT ในพื้นที่พิธีกรรมล้านนา" ขอเชิญทุกท่านมาร่วมอ่านไปพร้อม ๆ กันเลยค่าา******************************************************ความเชื่อเรื่องผี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมอุษาคเนย์ (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เป็นความเชื่อพื้นฐานโบราณของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ก่อนการเข้ามาของศาสนาต่างๆ จากภายนอก อย่างศาสนาฮินดู พุทธ หรืออิสลาม ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล ดำริห์กุลให้คำจำกัดความว่า ผี คือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นที่มีอิทธิฤทธิ์พิเศษ และเชื่อว่าการเกิดขึ้นเป็นไปของปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ เกิดขึ้นจากฝีมือของผี โดยผีจะกระจายอยู่ทั่วไปในที่ต่างๆ ตั้งแต่ในบ้านเรือน ชุมชน เมือง หรือในสิ่งแวดล้อมที่มีความลี้ลับอย่างป่า ภูเขา แม่น้ำ ฉะนั้นเพื่อให้สมาชิกในสังคมสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขจึงเกิดพิธีกรรมการนับถือผีขึ้น เพื่อสักการะ บูชา หรือแม้แต่เซ่นสังเวยให้ผีพึงพอใจ ขณะเดียวกัน คนก็ต้องมีหลักในการปฏิบัติตนให้ถูกทำนองคลองธรรม ไม่ทำให้ผีโกรธ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อครอบครัวหรือชุมชนจนอาจถึงแก่ชีวิตได้สังคมล้านนาเป็นอีกสังคมหนึ่งที่มีการนับถือผีอย่างเข้มข้นผสมผสานกับการนับถือพุทธศาสนา คนล้านนาจะแบ่งผีออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ผีดี และผีร้าย โดยในกลุ่มผีดีนั้น จะเป็นกลุ่มผีที่คอยปกปักรักษา คุ้มครองคนให้อยู่อย่างเป็นสุข อาทิ ผีปู่ย่า (ผีบรรพบุรุษ) ผีเฮือน (ผีบ้านผีเรือน) ผีเสื้อบ้าน เสื้อเมือง (ผีอารักษ์) ผีเจ้านาย (ผีที่เคยเป็นกษัตริย์หรือราชวงศ์ที่เคยปกครองเมืองหรือแว่นแคว้นใดๆ มาก่อน แล้วเสียชีวิตไปจึงกลายเป็นผี คอยคุ้มครองผู้คนที่ทำความเคารพนับถือ) ส่วนผีร้าย คือ ผีที่ทำร้ายผู้คนให้เจ็บป่วยหรือถึงแก่ชีวิต การเลี้ยงผีดีเพื่อคุ้มครองตนจากผีร้ายจึงกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนล้านนาที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะพบเห็นไม่มากนักในเขตเมืองใหญ่ แต่ยังสามารถพบเห็นการนับถือผีได้ในเขตชนบทนอกตัวเมืองอยู่ทำไมการสืบสายผีของล้านนาจะสืบจากเพศหญิงมากกว่าเพศชาย?เนื่องจากคนล้านนาให้ความเคารพผีมากพอๆกับพระพุทธศาสนา การสืบสายผีโดยเฉพาะผีปู่ย่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านให้ความสำคัญ เนื่องจากผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษนั้นช่วยคุ้มครองไม่ให้สมาชิกในบ้านประสพภัยอันตรายหรือเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่การสืบสายผีปู่ย่านั้นมักจะสืบทอดกันแต่เฉพาะสมาชิกครอบครัวเพศหญิงเท่านั้น วิถี พานิชพันธ์ อาจารย์พิเศษประจำภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อสังเกตว่า สังคมล้านนาในอดีตเพศหญิงจะเป็นใหญ่กว่าเพศชาย โดยผู้หญิงเป็นผู้ที่มีหน้าที่ดูแลบ้านเรือน อบรมสั่งสอนบุตรหลาน ตลอดจนทำงานหาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงมีความตระหนักในการรับผิดชอบครอบครัวมากกว่าผู้ชาย ที่ถูกอบรมเลี้ยงดูอย่างเป็นอิสระมากกว่า โดยบทบาทของผู้ชายล้านนาในอดีต มักจะทำงานนอกบ้านเป็นหลัก เช่น ทำไร่ ไถนา เข้าป่าล่าสัตว์ เด็กผู้ชายจะบวชเรียนตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบใหญ่สึกออกมาแล้วก็จะเรียนรู้การเกี้ยวผู้หญิง เล่นดนตรี หรือบางส่วนก็ออกไปแสวงโชคต่างบ้านต่างเมือง เมื่อผู้ชายและผู้หญิงแต่งงานกัน ฝ่ายชายจะเข้ามาอาศัยในบ้านฝ่ายหญิง ฉะนั้นการมอบหมายหน้าที่ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายดูแลผีบรรพบุรุษของตนน่าจะมาจากการที่ผู้หญิงถูกผูกติดให้อยู่กับบ้านมากกว่าผู้ชาย จึงมีแนวโน้มว่าสายผีจะมีผู้ดูแลสืบทอดอย่างต่อเนื่องนั่นเองลำดับขั้นตอนการสืบสายผีของคนล้านนานั้นไม่ได้ยุ่งยาก โดยอาจจะเริ่มจากผู้เป็นแม่เป็นเก๊าผี (ต้นสาย) ที่จะส่งมอบความรับผิดชอบในการดูแลหิ้งปู่ย่า (หิ้งสำหรับตั้งของเซ่นไหว้ผีในบ้าน) หรือ หอปู่ย่า (ศาลตายายนอกบ้าน) ให้กับบุตรสาวคนโตเป็นหลัก หากบุตรสาวคนโตไม่สามารถดูแลผีปู่ย่าได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็จะส่งมอบให้บุตรสาวคนเล็กเป็นผู้สืบทอดแทนม้าขี่ คือ อะไร?ม้าขี่ คือ ร่างทรงของผีปู่ย่า ผีเจ้านาย หรือผีอารักษ์ตามคำเรียกของคนล้านนา มีลักษณะแบบเดียวกันกับคนทรงเจ้าในภูมิภาคอื่นของไทย และนัตกะด่อ ซึ่งเป็นร่างทรงของนัตในวัฒนธรรมพม่า จุดประสงค์ของการเป็นม้าขี่ คือ เป็นตัวกลางในการสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างผีกับคนธรรมดาเข้าด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ผู้คนนิยมเข้ามาปรึกษาม้าขี่เมื่อมีปัญหาชีวิต ทรัพย์สิน ญาติพี่น้องสูญหาย หรือเจ็บป่วย ผีก็จะให้คำแนะนำผ่านม้าขี่ที่ได้ลงย่ำ (เข้าทรง) ในประวัติศาสตร์ล้านนายังเคยมีการใช้ม้าขี่และผีเจ้านายเป็นข้อต่อรองเงื่อนไขทางการค้า โดยปรากฏเรื่องเล่าว่า ในสมัยเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ องค์ที่ 7 (พ.ศ. 2416 – 2440) มีกลุ่มชาวจีนรวมตัวกันผูกขาดการต้มเหล้าในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจการค้าของกลุ่มเจ้านายในเมืองเชียงใหม่ได้ เจ้าอุบลวรรณา พระขนิษฐาของแม่เจ้าทิพเกสร พระชายาของเจ้าอินทวิชยานนท์ ได้ทำพิธีเป็นม้าขี่ให้ผีเจ้าพ่อ หรือ เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 6 ลงย่ำ เพื่อขู่เตือนมิให้ชาวจีนผูกขาดการต้มเหล้าเป็นอันขาด มิฉะนั้นบุคคลผู้นั้นจะได้รับความเจ็บป่วย รวมถึงอาการป่วยของแม่เจ้าทิพเกสรที่เป็นอยู่เดิมก็จะหนักลงไปอีก ด้วยเหตุนี้ เจ้าอินทวิชยานนท์จึงออกคำสั่งยกเลิกการผูกขาดการต้มเหล้าไปโดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าความเชื่อเรื่องม้าขี่และผีมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนล้านนาในอดีตเป็นอย่างมาก เพราะม้าขี่และผีเป็นเสมือนผู้ชี้นำทิศทางการใช้ชีวิตของบุคคลนั้นๆ หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหรือเชื่อฟังคำแนะนำอาจจะมีอันเป็นไปได้ ขณะเดียวกัน ตัวม้าขี่ซึ่งเป็นตัวแทนของผีที่ผู้คนให้ความเคารพบูชาก็ควรปฏิบัติตนให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน โดยมีหลักปฏิบัติตนของม้าขี่ที่พึงกระทำ เช่น การไม่สวมเสื้อผ้าสีดำหรือสีเข้มไปงานพิธีต่างๆ การไม่ร่วมรับประทานอาหารหรือร่วมพิธีในงานศพหรืองานอวมงคล การไม่รับประทานผัก ผลไม้ที่เป็นเครือเถา เช่น พืชกลุ่มแตง ฟัก บวบ ผักปลัง ยอดมะพร้าวอ่อน เป็นต้น และม้าขี่ควรเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี เข้าวัดทำบุญ ถือศีล 5 อยู่เสมอ หลักปฏิบัติเหล่านี้เป็นเสมือนข้อบังคับให้ม้าขี่ทุกเพศ ทุกวัยต้องกระทำเช่นเดียวกันหมด นี่จึงเป็นกุศโลบายหนึ่งที่นอกจากจะทำให้ตัวม้าขี่มีความพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไปแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างความน่าเลื่อมใสให้กับตัวม้าขี่เองด้วยม้าขี่ปู๊เมีย คือ อะไร และเริ่มมีบทบาทตอนไหน?คำว่า “ปู๊เมีย” หรือ “ปู๊แม่” ในความหมายของคนล้านนา หมายถึง กะเทย หรือ บุคคลที่มีสองเพศ แต่โดยทั่วไปมักหมายถึงผู้ชายที่มีจริตออกสาวมากกว่าผู้หญิงที่จริตเป็นชาย หรือที่เรียกตามภาษาปากว่า ทอม ในประเด็นเพศภาพของม้าขี่นั้น ในอดีตม้าขี่ส่วนใหญ่มักเป็นเพศหญิง เนื่องด้วยเพศหญิงได้ผูกขาดการสืบสายผี จึงสามารถติดต่อกับผีบรรพบุรุษของตนเองได้ สำหรับม้าขี่เพศชาย และม้าขี่ปู๊เมียเข้ามามีบทบาทในการเป็นม้าขี่ของผีเจ้านายมากขึ้นในภายหลัง โดยเฉพาะม้าขี่ปู๊เมียที่เพศกำเนิดเป็นชายแต่มีเพศสภาพเป็นหญิง หรือเป็นชายรักชาย เริ่มมีสัดส่วนมากกว่าเพศอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด จากงานวิจัยของสุระ อินตามูล เรื่อง พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย: พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในล้านนา และบทความของกิ่งแก้ว ทิศตึง เรื่อง ร่างทรง และพื้นที่ทางสังคมของคนข้ามเพศ ได้สัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียตั้งแต่รุ่นอาวุโส วัยกลางคน จนถึงคนรุ่นใหม่ในวัยนักศึกษา ม้าขี่ผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นตรงกันว่าม้าขี่ปู๊เมียมีสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งเมื่อเทียบกับม้าขี่เพศหญิง เทียบได้ว่า หากมีม้าขี่ในผาม (ปะรำพิธี) จำนวน 10 คน จะเป็นม้าขี่ปู๊เมียประมาณ 5 คน ม้าขี่หญิงชรา 4 คน และม้าขี่ชาย 1 คน เป็นต้น อย่างไรก็ดี สุระ อินตามูล ได้กล่าวว่าแม้สัดส่วนม้าขี่ปู๊เมียจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ม้าขี่เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นม้าขี่ของผีเจ้านายเป็นหลัก เนื่องจากการถูกเลือกให้เป็นม้าขี่จากผีเจ้านายมีความเปิดกว้างมากกว่าการเป็นม้าขี่ของผีปู่ย่าที่ยังคงเน้นที่เพศหญิงหรือบุคคลที่มาจากสายตระกูลนั้นๆ อยู่ทำไมม้าขี่ปู๊เมียจึงถูกเลือกจากผีเจ้านายมากกว่าม้าขี่เพศอื่นๆ?จากการสัมภาษณ์ม้าขี่ปู๊เมียจำนวน 5 คน ในงานวิจัยของสุระ อินตามูล มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ผีเจ้านายเคยเลือกลงย่ำสมาชิกในสายตระกูลเพศหญิงของตนมาก่อน เช่น ยายทวด ย่า ยาย ซึ่งเมื่อม้าขี่เหล่านี้แก่ตัวลงหรือตายไป ผีเจ้านายจึงเลือกมาลงย่ำที่ตนแทนญาติเพศหญิงคนอื่นๆ โดยม้าขี่ทั้งห้าให้ความเห็นว่า การที่ผีเจ้านายเลือกลงย่ำเกย์หรือกะเทย  เนื่องจากไม่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน สามารถดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หอผี ให้สวยงาม สะอาด เรียบร้อยได้เหมือนเพศหญิง มีปัญหาการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ในชีวิตประจำวัน อันเป็นการปฏิบัติตนที่ดูไม่เหมาะสมกับการเป็นม้าขี่น้อยกว่าเพศชาย อย่างไรก็ดี จากการสัมภาษณ์ของกิ่งแก้ว ทิศตึง มีม้าขี่ปู๊เมียจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่า แม้ตนจะได้รับความเคารพนับถือจากลูกเลี้ยง (ลูกศิษย์) แต่ตนกลับรู้สึกว่าลูกเลี้ยงให้ความเคารพผีเจ้านายที่ลงย่ำอยู่มากกว่าเคารพตนในฐานะบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศคนหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่า แม้ภายนอกม้าขี่ปู๊เมียจะได้รับความเคารพนับถือในสังคมแบบอนุรักษ์นิยมของล้านนา แต่โดยลึกแล้ว ยังคงมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังไม่ยอมรับเพศสภาพที่แท้จริงของตัวม้าขี่ได้การดำรงอยู่ของการเป็นม้าขี่ปู๊เมียเป็นการเปิดพื้นที่การแสดงออกทางเพศสภาพที่หลากหลาย ที่อาจพบเห็นได้ไม่ง่ายนักในสังคมอนุรักษ์นิยม แม้เกย์และกะเทยจะมีส่วนร่วมในพิธีกรรม งานบุญตามประเพณีล้านนามานานแล้ว เช่น การจัดดอกไม้ ทำพานพุ่มบายศรี หรือเป็นแม่งานในขบวนแห่ช่างฟ้อน แต่สถานภาพของม้าขี่ปู๊เมียนั้นแตกต่างออกไป ผู้ที่เป็นม้าขี่ คือ ผู้ที่ถูกคัดเลือกจากผีเจ้านาย ซึ่งมีความพิเศษกว่าปุถุชนทั่วไป มีลูกศิษย์ทุกเพศทุกวัยที่ศรัทธาในตัวผีเจ้านายตนนั้นๆ ให้ความเคารพนับถือ จึงอาจกล่าวได้ว่า การเพิ่มขึ้นของม้าขี่ปู๊เมียในผามพิธีกรรม เป็นการเปิดประตูให้เพศที่สามเข้ามามีบทบาทในวิถีความเชื่อแบบโบราณนี้ได้แนบเนียนและไม่สร้างความตะขิดตะขวงใจต่อผู้นับถืออีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ บทบาทของม้าขี่ในวัฒนธรรมภาคเหนือมีความคล้ายคลึงกับนัตกะด่อ หรือ คนทรงนัต ในวัฒนธรรมพม่าเป็นอย่างมาก นัตในความหมายของคนพม่า คือ วิญญาณครึ่งผีครึ่งเทพเจ้า นัตในวัฒนธรรมพม่าก็มีการแบ่งคล้ายๆ กับผีในวัฒนธรรมล้านนา ได้แก่ นัตเรือน หรือมีงมหาคีรีนัต คือนัตที่ประจำอยู่ในบ้านเรือน ลักษณะเดียวกับผีปู่ย่าหรือผีบ้านผีเรือน นัตพุทธ คือ นัตที่ถูกหลอมรวมเข้ากับความเชื่อทางพุทธศาสนาแล้ว มีจำนวน 37 ตน นัตใน เป็นนัตที่อยู่ในเขตกำแพงเจดีย์ชเวซิโข่ง มีจำนวน 37 ตนเช่นกัน และนัตนอก เป็นนัตที่อยู่นอกกำแพงเจดีย์ชเวซิโข่ง และเป็นนัตจะเข้าทรงในตัวของนัตกะด่อ คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่ชาวบ้านในงานเทศกาลบูชานัต ที่จะจัดขึ้นสามครั้งต่อปี โดยในช่วงขึ้น 10 -  15 ค่ำของเดือนสิงหาคมจะเป็นช่วงเทศกาลบูชานัตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีเพศภาพของนัตกะด่อในพม่ามีแนวโน้มเป็นเพศที่สามมากขึ้นเช่นเดียวกับม้าขี่ปู๊เมียในภาคเหนือของไทย โดยในพม่า หลายๆคนเรียกเทศกาลบูชานัตนี้ว่า เทศกาลเกย์ เนื่องจากเหล่านัตกะด่อเพศที่สามและลูกศิษย์ที่มักจะเป็นเพศที่สามเช่นเดียวกัน จะมารวมตัวกันในพิธีนี้ ชาวพม่าที่เป็นเพศที่สามกล่าวว่า พื้นที่การเป็นนัตกะด่อและเทศกาลบูชานัต เป็นพื้นที่เดียวที่พวกเขาสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ แต่เมื่อเสร็จสิ้นเทศกาล พวกเขาต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ และยังคงถูกเหยียดเพศสภาพจากคนทั่วไปในสังคมตามเดิม คำถามที่ต่อมา คือ หากวิถีความเชื่อแบบโบราณอย่างผีและนัต เปิดกว้างให้กลุ่มเพศทางเลือกเข้ามามีบทบาทสำคัญในพิธีกรรม แต่เหตุใดสังคมสมัยใหม่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ยังคงมีการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลข้ามเพศจากกลุ่มคนบางกลุ่มอยู่****************************************************แหล่งอ้างอิง1). กิ่งแก้ว ทิศตึง. (2559).  “ร่างทรง และพื้นที่ทางสังคมของคนข้ามเพศ.”  ลีลาชายขอบ วารศาสตร์สังคมศาสตร์  28, 1 (มกราคม – มิถุนายน): 87 – 108.2). ประวัติศาสตร์นอกตำรา.  (2564).  “นัต 37 ตน บนพื้นที่แห่งความศรัทธาในสังคมชาวพม่า”.  [วีดิทัศน์ออนไลน์]. เผยแพร่ทาง https://www.youtube.com/watch?v=yT5YGtysUY4. 4 สิงหาคม.3). เพ็ญสุภา สุขคตะ.  (2559).  ปริศนาโบราณคดี : ‘เจ้าอุบลวรรณา’ Working Woman แห่งล้านนา เมื่อคิดจะรัก ต้องกล้าหักด่านฐานันดร.  เข้าถึงเมื่อ 16 มิถุนายน 2565. เข้าถึงได้จาก https://www.matichonweekly.com/culture/article_169104). ยศธร ไตรยศ.  (2560).  นัต: พลังศรัทธาของมวลชน.  เข้าถึงเมื่อ 16 มิถุนายน 2565.  เข้าถึงได้จาก https://ngthai.com/cultures/604/the-faith-of-myanmar-people/5). สุระ อินตามูล. (2555).  พิธีกรรมทรงผีเจ้านาย: พื้นที่เปิดทางเพศภาวะในสังคมล้านนา (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).


"เสื้อครุย" เป็นเสื้อที่ใช้สวมหรือคลุมแบบเต็มยศในงานพระราชพิธีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อประกอบเกียรติยศ แสดงบรรดาศักดิ์และตำแหน่งของผู้สวมใส่ ธรรมเนียมการใช้เสื้อครุยมีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าได้แรงบันดาลใจมาจากเปอร์เซียและอินเดีย.เสื้อครุย มีลักษณะเป็นเสื้อตัวยาว แขนกว้าง ผ่าอกตลอด ทำจากผ้าหลายชนิด เช่น ผ้ากรองทอง ผ้าขาวบาง ผ้าบุหงา หากผู้สวมใส่ยิ่งมีตำแหน่งที่สูง ผ้าและลวดลายของเสื้อครุยก็จะมีความงาม การประดับตกแต่ง รายละเอียดที่มากขึ้นตาม หากเป็นพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ มักจะนิยมใช้เสื้อครุยพื้นกรองทอง ซึ่งเป็นผ้าที่ถักด้วยแล่งเงินหรือแล่งทองต่อกันเป็นผืน ส่วนลวดลายประดับที่มักปรากฏบนเสื้อครุย เช่น ลายเทพพนม ลายพรรณพฤกษา ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายก้านแย่ง ลายก้านขด โดยปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง เลื่อมเงินเลื่อมทอง ปีกแมลงทับ และอื่น ๆ เป็นต้น.ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีพระราชกำหนดเสื้อครุย ร.ศ. 130 อย่างเป็นทางการขึ้น เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการสวมใส่  โดยผู้ที่จะสวมใส่เสื้อครุยได้ เฉพาะผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือเป็นผู้ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ได้รับพระราชเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง นับตั้งแต่ชั้นตติยจุลจอมเกล้าวิเศษขึ้นไป ผู้ที่จะสวมได้โดยตำแหน่งนั้น คือ 1. ผู้พิพากษาทุกชั้น ให้สวมเสื้อครุยในเวลาแต่งเต็มยศทุกเมื่อ 2. พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้อ่านประกาศหรืออ่านคำถวายชัยมงคลในชั่วเวลาเฉพาะกาล 3. ข้าราชการเข้าในหน้าที่พระราชพิธีอันมีกำหนดให้สวมชุดครุย.ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ได้มีการจัดแสดง เสื้อครุย ที่ห้องจัดแสดงชั้น 2 ซึ่งเป็นสมบัติของ “เจ้าแก้วนวรัฐ” เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ผ้าและลวดลายที่ใช้เป็นแบบกลุ่มบุคคลชั้นสูง โดยเป็นเสื้อครุยแบบพื้นผ้ากรองทอง ปักด้วยดิ้นทองและเลื่อม เป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีสำรดขอบ สำรดต้นและปลายพระกร เป็นลายประจำยามลูกฟักก้ามปู +++++++++++++++++++++เอกสารอ้างอิงเผ่าทอง ทองเจือ. (2549). พระภูษาผ้าทรงในราชสำนักสยาม. กรุงเทพฯ : ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)สมภพ จันทรประภา. (2520). อยุธยาอาภรณ์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหารพระราชกำหนดเสื้อครุย. (ร.ศ.130, 2 กรกฎาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 28 หน้า 141-143พระราชกำหนดเสื้อครุยเพิ่มเติม (2457, 11 พฤศจิกายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 31 หน้า 422-424


องค์ความรู้ ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “วันมหิดล 24 กันยายน” วันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (กรมหลวงสงขลานครินทร์) พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" ด้วยพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้น ได้เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่โรงเรียนแพทย์ อีกทั้งได้ทรงพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการผลิตแพทย์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นการวางรากฐานแก่การแพทย์ และการสาธารณสุขให้เจริญพัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศในกาลต่อมา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงได้ขนานนามวันสำคัญนี้ว่า "วันมหิดล" เพื่อเป็นการถวายสักการะ และน้อมรำลึกต่อพระองค์ท่าน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2434 และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2472 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระราชอัยกาในพระบาทสมเด็จพระ วชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงศึกษา วิชาทหารเรือ ที่เยอรมนี แล้วเสด็จกลับมารับราชการทหารเรือ ต่อมาทรงมีอาการประชวรไม่สามารถรับราชการหนักได้ ประกอบกับทรงสนพระทัยด้านการแพทย์ จึงทรงอุตสาหะเสด็จไปศึกษาวิชาสาธารณสุขและวิชาการแพทย์ ณ สหรัฐอเมริกา ทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุข และปริญญาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมื่อเสด็จกลับมาเมืองไทย พระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณ๊ยกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมากมาย ได้แก่ ทรงเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ทรงช่วยเหลือในการขยายกิจการของโรงพยาบาลศิริราช ประทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จัดสร้างตึกคนไข้และจัดหาที่พักสำหรับพยาบาล ทรงบริจาคทรัพย์เป็นทุนให้นักศึกษาแพทย์และพยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศ ประทานเงินเพื่อจัดหาเครื่องมือแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลติดต่อกับมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ สาขาเอเชียบูรพา ในการปรับปรุงและวางมาตรฐานการศึกษา และทรงอุทิศเวลาส่วนใหญ่ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งการแพทย์และการสาธารณสุขไทย” หลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระองค์ทรงพระประชวรต้องประทับในพระตำหนักวังสระปทุม และสวรรคตเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 เวลา 16.45 น. ด้วยพระโรคฝีบิดในพระยกนะ (ตับ) โดยมีโรคแทรกซ้อนคือพระปัปผาสะบวมน้ำและพระหทัยวาย พระชนมายุได้ 37 พรรษา 8 เดือน 23 วัน ในปี พ.ศ. 2493 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บรรดาศิษย์เก่าศิริราช ผู้ที่ได้รับทุนของพระองค์ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ ผู้ที่เคยได้รับพระมหากรุณาในประการอื่นๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ได้ร่วมใจกันสร้างพระราชานุสาวรีย์ขึ้น โดยประดิษฐานไว้ ณ ใจกลางโรงพยาบาลศิริราช เพื่อน้อมเกล้าถวายความกตัญญูกตเวที ด้วย สำนึกในพระเมตตาคุณของพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทย ได้มอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยมีศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี เป็นผู้ควบคุมงาน ซึ่งพระราชานุสาวรีย์นี้ได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมครั้งแรกเมื่อปี 2517 และอีกครั้งในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่โดยสร้างรากฐานและบริเวณโดยรอบทั้งหมดเพื่อให้ถาวร สง่างามและสมพระเกียรติยิ่งขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิดพระราชานุสาวรีย์เมื่อวันที 24 เมษายน พ.ศ. 2493 หลังจากนั้น 1 ปี วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2494 นักศึกษาแพทย์ได้ริเริ่มจัดงานเป็นครั้งแรก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต และได้ขนานนามวันสำคัญนี้ว่า "วันมหิดล" เพื่อเป็นการถวายสักการะ และน้อมรำลึกต่อพระองค์ท่าน และนับตั้งแต่ปี 2494 เป็นต้นมา ทุกวันที่ 24 กันยายน จะเป็นวันมหิดล มีกิจกรรมที่สำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินทรงวางพวงมาลา ณ พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จฯ พระบรมราชชนก ภายในโรงพยาบาลศิริราช มีพิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระรูป พร้อมทั้งอ่านคำสดุดีพระเกียรติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นประจำทุกปี อ้างอิง : แสงดิษฐ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : พัชรการพิมพ์. 2541. ประชิด สกุณะพัฒน์, อุดม เชยกีวงศ์. วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2549. ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี #องค์ความรู้ #วันมหิดล #พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย #พระบิดาแห่งการแพทย์และการสาธารณสุขไทย #สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก #โรงพยาบาลศิริราช #การแพทย์ #การสาธารณสุข #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์กรมศิลปากร #สำนักศิลปากรที่5ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม


          กรมศิลปากร มั่นใจรับมือน้ำท่วมโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ให้เกิดความเสียหายรุนแรงได้ โดยวัดไชยวัฒนารามได้กั้นแนวกันน้ำเพิ่มสูงกว่าแนวที่กั้นน้ำท่วมปี ๒๕๕๔ ส่วนโบราณสถานขนาดใหญ่ที่แช่น้ำเป็นโบราณสถานที่บูรณะแล้ว จึงเป็นอิฐใหม่ หลังน้ำลดจะสำรวจสภาพ สกัดและเปลี่ยนอิฐที่เสื่อมสภาพ สำหรับโบราณสถานในส่วนที่ยังไม่ได้รับการบูรณะจะใช้วิธีค้ำยัน ป้องกันการพังทลาย และจะมีโครงการสำรวจเพื่อหาแนวทางบูรณะภายหลังน้ำลดโดยเร็วต่อไป           นายสถาพร เที่ยงธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า นายพนมบุตร จันทรโชติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกรมศิลปากรติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำที่อาจส่งผลกระทบต่อโบราณสถานและรายงานให้ทราบเป็นระยะนั้น สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา ได้รายงานสรุปสถานการณ์ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๕ จากการที่ระดับน้ำในแม่น้ำบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้ระดับน้ำบริเวณหน้าโบราณสถานวัดไชยวัฒนารามมีระดับต่ำกว่าระดับน้ำท่วมในปี ๒๕๕๔ อยู่ ๔๕ เซนติเมตร ประกอบกับเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนป่าสักจะระบายน้ำในปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะสูงขึ้น ๑๐ - ๑๕ เซนติเมตร จึงเตรียมการรับมือ ดังนี้           ๑. ในพื้นที่เกาะเมืองขณะนี้ทางเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยาได้ทำคันป้องกันน้ำ ซึ่งจะสามารถป้องกันโบราณสถานในเกาะเมืองได้เกือบทั้งหมด จะมีเพียงป้อมเพชรและรหัสวิดน้ำในพระราชวังโบราณเท่านั้นที่ถูกน้ำท่วม (โบราณสถานสำคัญของอุทยานฯ ตั้งอยู่ภายในเกาะเมือง)ป้อมเพชร           ๒. พื้นที่นอกเกาะเมือง เป็นพื้นที่ที่โบราณสถานได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยพื้นที่นอกเกาะเมืองด้านทิศเหนือและบริเวณริมลำน้ำ มีโบราณสถานได้รับผลกระทบแล้ว จำนวน ๖๗ แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโบราณสถานที่ได้รับการบูรณะเสริมความมั่นคงไว้แล้ว ถูกน้ำแช่ขังได้โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างความมั่นคงของโบราณสถาน จะมีความเสียหายบ้างในเรื่องการชำรุดเล็กน้อยของวัสดุ เช่น อิฐผุกร่อน เปื่อยยุ่ย ซึ่งสามารถสกัดเปลี่ยนได้ (อิฐผิวนอกของโบราณสถานส่วนใหญ่เป็นอิฐใหม่ที่สกัดเปลี่ยนเมื่อครั้งบูรณะ) ส่วนโบราณสถานที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่น้ำไหลหรือมีคลื่นที่จะมากระทบตัวโบราณสถาน เช่น ป้อมเพชร ได้มีการใช้แนวรั้วโบราณสถานและไม้ไผ่ผูกเป็นทุ่นลดแรงจากกระแสน้ำและคลื่นที่จะมากระทบตัวโบราณสถาน สำหรับโบราณสถานที่ยังไม่ได้รับการบูรณะเสริมความมั่นคง ได้ตั้งนั่งร้านเสริมความมั่นคงไว้แล้ว ขณะนี้ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบโบราณสถานอยู่เป็นประจำ ในภาพรวมแล้วอุทกภัยครั้งนี้จะไม่ทำความเสียหายกับโบราณสถานในด้านโครงสร้าง (ไม่ทำให้โบราณสถานพังทลาย) แต่จะเกิดความเสียหายกับวัสดุก่อสร้างซึ่งสามารถบูรณะฟื้นฟูได้ โดยภายหลังน้ำลดจะเร่งสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงต่อไป           ๓. โบราณสถานสำคัญนอกเกาะเมือง ได้ร่วมกับทางวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการป้องกันน้ำ ดังนี้            - วัดไชยวัฒนารามได้เตรียมการป้องกันขั้นสูงสุด โดยการต่อแผงกันน้ำด้านหน้าวัด เสริมกระสอบทรายบนแนวกำแพงด้านทิศใต้ของวัดและปั้นคันดินบนแนวถนนทางด้านทิศเหนือของวัด โดยจะสามารถป้องกันน้ำได้อีก ๖๕ เซนติเมตร (สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดในปี ๒๕๕๔ อยู่ ๒๐ เซนติเมตร)วัดไชยวัฒนาราม            - วัดธรรมารามได้เตรียมการป้องกันขั้นสูงสุด โดยการเสริมแนวกระสอบทรายด้านหน้าและด้านข้างวัดซึ่งจะทำให้สามารถป้องกันน้ำได้อีก ๔๕ เซนติเมตร (เท่ากับระดับน้ำท่วมสูงสุดในปี ๒๕๕๔)            - โบราณสถานสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะโบราณสถานที่เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาและวัดที่อยู่กลางชุมชน เช่น วัดพุทไธสวรรย์ วัดศาลาปูน วัดพนัญเชิง ได้ประสานกับวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการป้องกันน้ำท่วมไว้แล้ว ซึ่งจะมีการเสริมความสูงของแนวป้องกันน้ำตามระดับน้ำที่สูงขึ้นวัดเชิงท่า    นอกจากนี้ สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา ได้รับรายงานว่าพนังกั้นน้ำจุดวัดปราสาท อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี แตกส่งผลให้น้ำไหลท่วมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี วัดโบสถ์ และพื้นที่โดยรอบ ในเบื้องต้นได้เคลื่อนย้ายโบราณวัตถุทั้งหมดไปเก็บรักษาบนชั้น ๒ รวมทั้งมีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้า เหลือเพียงตู้ โต๊ะ ชั้นแท่นฐานขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทัน และขณะนี้ระดับน้ำเพิ่มระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จึงขอปิดให้บริการเข้าชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อินทร์บุรี เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๕ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์น้ำจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ  


ชื่อเรื่อง                               อาการวตฺตสุตฺต(อาการวัตตสูตร) สพ.บ.                                  อย.บ.4/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           66 หน้า กว้าง 5.5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           บทสวด             บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน ภาษามอญ เส้นจาร ฉบับทองทึบ ลานดิบ  ล่องชาด ได้รับบริจาคมาจาก วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา



ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           40/1ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              44 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


องค์ความรู้เรื่อง เทศกาลนมัสการรอยพระพุทธบาทสมัยรัชกาลที่ ๕ ในความทรงจำของมิสแมรี โลวีนา คอร์ต มิชชันนารีชาวอเมริกัน นางสาวกมลทิพย์ ชัยศุภมงคลลาภ นักอักษรศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ ค้นคว้าเรียบเรียง


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 135/1เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 171/1 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           7/2ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              34 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 58.3 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           50/3ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 57.5 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           9/1ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              80 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 53.8 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


เปิดเบื้องหลังการอนุรักษ์ ภาพร่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ (รัชกาลที่ 6) เมื่อ พ.ศ. 2454 วาดโดย กาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) ซึ่งทำการอนุรักษ์และจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป การอนุรักษ์ภาพร่างจิตรกรรมฯ ของ กาลิเลโอ คินี เปิดให้เข้าชม ทุกวันพุธ – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 15.00 น. (นักอนุรักษ์เข้าทำงานระหว่างวันพุธ – ศุกร์ โปรดโทรศัพท์สอบถามล่วงหน้า เนื่องจากนักอนุรักษ์อาจไม่ได้เข้าทำงานทุกวัน) หากคณะหรือกลุ่มใดต้องการวิทยากรนำชม สามารถนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ เบอร์โทรศัพท์ 0 2281 2224 (ในวันทำการ วันพุธ – อาทิตย์ เวลา 9.00 - 16.00 น.)


black ribbon.