ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,771 รายการ
ชื่อแบบฉบับ : ตำนานพระบาทธาตุ (ผูก 1ข)
ชื่อเรื่อง : ตำนานพระบาทธาตุ (ผูก 1ข)
เลขทะเบียน : นน.บ.140/1ข
ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏ ผู้สร้าง : ไม่ปรากฏ ปีที่สร้าง : ไม่ปรากฏ
จำนวน : 1 คัมภีร์ 4 ผูก (หอสมุดแห่งชาติฯ เชียงใหม่ มีผูก 1, 1ก-1ค)
จำนวนบรรทัด : 4 บรรทัด จำนวนหน้า : 50 หน้า
อักษร : ธรรมล้านนา ภาษา : บาลี-ไทยล้านนา เส้น : จาร
ฉบับ : ล่องรัก ไม้ประกับ : ไม่มี ประเภทเอกสารโบราณ : คัมภีร์ใบลาน
ประวัติ : ได้มาจากวัดปรางค์ ต.ปัว อ.ปัว จ.น่าน
โครงการ : พัฒนาระบบบริการห้องสมุดดิจิทัล หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2568
วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช. [ม.ป.พ.], 2521. จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทยจังหวัดหนึ่ง หนังสือเล่มนี้รวบรวมเรื่องราวประวัติความเป็นมาของจังหวัดนครศรีธรรมราช ด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี การละเล่นพื้นเมือง วัฒนธรรมพื้นบ้านต่าง ๆ
ชื่อเรื่อง อาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรีผู้แต่ง เบญจพร สารพรม, ทัศนีย์ เทพไชย และสโรชินี หง่าสงฆ์ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่น / หนังสือกรมศิลปากรISBN/ISSN 978-616-543-736-3หมวดหมู่ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เลขหมู่ 959.373 บ783อสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ กรมศิลปากรปีที่พิมพ์ 2565ลักษณะวัสดุ 140 หน้า : ภาพประกอบ ; 28 ซม.หัวเรื่อง สุพรรณบุรี -- ประวัติศาสตร์
สุพรรณบุรี -- โบราณวัตถุ
อู่ทอง -- ประวัติศาสตร์
ภาษา ไทย
บทคัดย่อ/บันทึก อาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี จัดตั้งขึ้นตามดำริของ ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 เริ่มก่อสร้างเมื่อพุทธศักราช 2553 อาคารหลังนี้สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดแสดงพระราชประวัติของ ขุนหลวงพะงั่ว เจ้าเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งต่อมาเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติครองกรุงศรีอยุธยา เป็นพระมหากษัตริย์องค์ปฐมแห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ พระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 บอกเล่าเรื่องราวของจังหวัดสุพรรณบุรีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยสังคมเกษตรกรรม ยุคประวัติศาสตร์ เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวจังหวัดสุพรรณบุรี โดยนำเสนอผ่านงานประติมากรรมนูนสูง - นูนต่ำ หล่อด้วยโลหะสำริด จำนวน 9 ตอน ความยาว 88 เมตร สูง 4.20 เมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นประติมากรรมสำริดที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ ร่วมกับ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) จัดนิทรรศการนิทานสร้างงานศิลป์ตอน “ในอ้อมกอดคุณพระจันทร์” วันที่ 17 - 27 ธันวาคม 2568 เชิญชมนิทรรศการ “ในอ้อมกอดคุณพระจันทร์” ผลงานศิลปะที่นำเสนอความงาม และเรื่องมหัศจรรย์ของพระจันทร์, ผลงานศิลปะพระจันทร์โดยเทคนิค Mixed Media Collage, ร่วมฐานกิจกรรมเปิดแผนล่าขุมทรัพย์บนพระจันทร์ มาไขทางเดินอันลี้ลับเพื่อตามหาขุมทรัพย์ที่ปลายฟ้า ชวนออกเดินทางเพื่อสำรวจ และค้นหาสิ่งลี้ลับที่ซ่อนอยู่บนพระจันทร์
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ระหว่างวันที่ 17 - 27 ธันวาคม 2568 เวลา 09.00 – 12.00 น. (ปิดวันอาทิตย์และวันจันทร์) สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 3553 5343 Facebook: หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ https://www.facebook.com/NationalLibraryofSuphanburi
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร
ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้
๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙
๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ
- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท
- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน
๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว
๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน
๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา
๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ
๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต
พิพิธิภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง พิมาย: www.virtualmuseum.finearts.go.th/phimai
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ตั้งอยู่ในเขตโบราณสถานเมืองโบราณพิมาย สมัยประวัติศาสตร์ในวัฒนธรรมเขมร มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ทางด้านทิศเหนือของเมืองพิมายติดแม่น้ำมูล ด้านทิศตะวันออกติดคูเมืองและกำแพงเมือง ด้านทิศใต้มีสระขวัญซึ่งเป็นสระน้ำโบราณ อยู่ด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ และด้านทิศตะวันตกติดถนนท่าสงกรานต์ และสะพานท่าสงกรานต์ ห่างจากปราสาทพิมายประมาณ 200 เมตร และห่างจากจังหวัดนครราชสีมาประมาณ 60 กิโลเมตร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย เป็นแหล่งรวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่ได้จากการขุดแต่ง และบูรณะปราสาทพิมาย รวมทั้งการจัดแสดงโบราณวัตถุ ที่ได้จากการดำเนินงานขุดค้นทางโบราณคดี การขุดแต่งโบราณสถานของกรมศิลปากรจากจังหวัดใกล้เคียง และโบราณวัตถุที่ได้จากการบริจาคของเอกชน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต ในการศึกษารวบรวมข้อมูลความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี ประวัติศาสตร์ศิลปะ รูปแบบศิลปกรรมรูปแบบสถาปัตยกรรมและประติมาณวิทยา ในแต่ละยุคสมัย
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๓๐ น.ณ โรงละครแห่งชาติ นายอนันต์ ชูโชติ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมศิลปากร มอบกรอบแนวคิดและแนวทางการทำงานให้แก่ผู้บริหาร ผู้อำนวยการสำนัก หัวหน้าหน่วยงาน และข้าราชการในสังกัดกรมศิลปากร ดังต่อไปนี้
กรอบแนวคิดและแนวทางการทำงาน
๑. การดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๘
ประเด็นนโยบาย ประกอบด้วย
ส่วนที่ ๑ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์
ส่วนที่ ๒ การปฏิรูปประเทศ
ส่วนที่ ๓ การบริหารราชการแผ่นดิน
นโยบายที่ ๑ การป้องกันและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
นโยบายที่ ๒ การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ
๒.๑ เร่งแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนำยุทธศาสตร์เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มาใช้ตามแนวทางสันติวิธี ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นพหุสังคม
๒.๒ เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ
นโยบายที่ ๓ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ
๓.๑ จัดระเบียบสังคม สร้างมาตรฐานด้านคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาล โดยใช้ค่านิยมหลัก ๑๒ ประการ
นโยบายที่ ๔ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
รัฐบาลนำการศึกษา ศาสนาศิลปวัฒนธรรม ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และความเป็นไทยมาใช้สร้างสังคมให้เข้มแข็งอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม
๔.๑ ทะนุบำรุงและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ สนับสนุนให้องค์กรทางศาสนามีบทบาทในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสันติสุขและความปรองดองสมานฉันท์ในสังคมไทยอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมตามความพร้อม
๔.๒ อนุรักฟื้นฟูและเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรม ภาษาไทยและภาษาถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งความหลากหลายของศิลปวัฒนธรรมไทย เพื่อการเรียนรู้ สร้างความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และความเป็นไทยนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์อันดีในระดับประชาชน ระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ตลอดจนเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ
๔.๓ สนับสนุนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ วัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านและวัฒนธรรมสากลและการสร้างงานศิลปะและวัฒนธรรมที่เป็นสากล เพื่อเตรียมเข้าสู่เสาหลักวัฒนธรรมของประชาคมอาเซียน และเพื่อการเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก
๔.๔ ปลูกฝังค่านิยมและจิตสำนึกที่ดี รวมทั้งการผลิตสื่อคุณธรรม เพื่อเปิดพื้นที่สาธารณะให้เยาวชนและประชาชนได้มีโอกาสแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
นโยบายที่ ๕ การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน
นโยบายที่ ๖ การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
๖.๑ ชักจูงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย สร้างสิ่งจูงใจและ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เกื้อกูลต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวอันมีลักษณะโดดเด่นร่วมกันหรือจัดเป็นกลุ่มได้ เช่น กลุ่มธรรมชาติประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและสุขภาพ
นโยบายที่ ๗ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน
นโยบายที่ ๘ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม
นโยบายที่ ๙ การรักษาความมั่นคงของคุณภาพทรัพยากรและการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นโยบายที่ ๑๐ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล และการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิธรรมในภาครัฐ
นโยบายที่ ๑๑ การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
๒. การดำเนินงานตามแนวทางและนโยบายของ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง วัฒนธรรม
๒.๑ ปลูกฝัง ส่งเสริม พัฒนาสังคมไทย ให้เป็นสังคมที่มีความสุข ความรัก ความสามัคคี ปรองดอง เอื้ออาทร บนพื้นฐานค่านิยมความเป็นไทย ๑๒ ประการ
๒.๒ เสริมสร้างการนำศาสนา ศิลปวัฒนธรรมในการสร้างสันติสุขสมานฉันท์ในทุกพื้นที่ ทั้งระดับหมู่บ้าน ชุมชน และประเทศชาติ
๒.๓ การพัฒนาเชิงเศรษฐกิจ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ นำมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น มาใช้ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สินค้าและบริการ
๒.๔ พัฒนาและเปิดพื้นที่ทางวัฒนธรรมเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์ โบราณสถาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ หอศิลปะและศูนย์วัฒนธรรม เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมชองชาติ
๒.๕ ส่งเสริมให้มีการใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์กับนานาชาติ และการเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของอาเซียน
๓. แนวทางการทำงานเพื่อบรรลุภารกิจของ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
๓.๑ ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส การดำเนินโครงการต่างๆ ต้องให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง การบริหารบุคคลต้องยึดหลักคุณธรรมผสมผสานกับความรู้ความสามารถและศักยภาพของตำแหน่งต่างๆ
๓.๒ ร่วมมือและบูรณาการกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยยืดหลักวัฒนธรรมเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน การแสดงหาความร่วมมือจากภาคเอกชนในรูปแบบของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรหรือ CSR – Corporate Social Responsibility
๓.๓ ส่งเสริมบทบาทของหน่วยงานกระทรวงวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่ส่วนภูมิภาค ให้ทำงานร่วมกับท้องถิ่นได้ อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล บนพื้นฐานขององค์ความรู้ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้น
๔. นโยบายการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม ปี ๒๕๕๙ ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
๔.๑ กรอบการดำเนินงาน ประกอบด้วยจุดเน้นสำคัญ ๓ จุดเน้น คือ
๑) วิถีถิ่น วิถีไทย จุดเน้นสำคัญ คือ
- ยิ้ม ไหว้ สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ
- วินัย (เน้นวินัยจราจร) น้ำใจ ไมตรี
- อาหารพื้นถิ่น
- ประเพณี การแสดงและดนตรีพื้นถิ่น
- ผ้า การแต่งกาย
- ภาษาไทย ภาษาถิ่น
๒) วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมอาเซียน จุดเน้นสำคัญ คือ
- ประเพณีร่วมของอาเซียน เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง
- การแสดงอาเซียน เช่น หุ่น โขน(รามายานะ) หนังใหญ่
- ผ้า การแต่งกาย
- อาหาร
- ภาษา วรรณกรรม
- กิจกรรมทางศาสนา เช่น สวดมนต์ข้ามปี วิสาขบูชา ๒ ฝั่งโขง
- ประชุมสัมมนาทางวิชาการ
๓) มรดกไทย มรดกโลก จุดเน้นสำคัญ
- มวยไทย
- อาหารไทย
- การแสดงโขนไทย
- ผ้าและการแต่งกายแบบไทย
- การขึ้นทะเบียนมรดกโลก ให้เสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลกจากบัญชีชั่วคราว จำนวน ๑ แหล่ง พิจารณาข้อมูลระหว่างเส้นทางอารยธรรมขอมกับวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช
๔.๒ งานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครอง
สิริราชสมบัติ ครบ ๗๐ ปี
๑) บูรณะวัด ๗๐ วัด สืบต่อพระพุทธศาสนา
๒) เชิญกวี ศิลปินด้านภาษาและวรรณกรรม ๗๐ คน ประพันธ์คำกลอนเฉลิมพระเกียรติ ๗๐ บท
๓) จัดทำสิ่งของที่ระลึกงานฉลองสิริราชสมบัติ ครบ ๗๐ ปี ทูลเกล้าฯในนามรัฐบาล ๔) รวบรวมและจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์สมบัติยาวนาน จำนวน ๑๐ พระองค์ เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครองราชย์สมบัติ ๗๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๔.๓ งานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา
๑) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติผ้าไทยเฉลิมพระเกียรติ
๒) ปลูกต้นไม้ที่เป็นไม้สำคัญ เพื่อใช้ในงานที่เกี่ยวกับศิลปกรรม ในอุทยานประวัติศาสตร์ เช่น ต้นสักและต้นตะเคียน
๓) จัดทำสิ่งของที่ระลึกงานฉลองเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลทรงเจริญ พระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ทูลเกล้าฯ ในนามรัฐบาล
๔) จัดทำสิ่งของที่ระลึกงานฉลองเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลทรงพระเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ที่ประชาชนสามารถจองและเป็นเจ้าของได้
๕) พิจารณาจัดพิมพ์หนังสือเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่มีความแตกต่างจากหนังสือเฉลิมพระเกียรติที่เคยจัดพิมพ์มา เช่น หนังสือเกี่ยวกับพระบรมราชินีในประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือหนังสือเกี่ยวกับสตรีที่มีบทบาทในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นต้น
๕. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมมองนโยบายการขับเคลื่อนทางวัฒนธรรมในส่วนของกรมศิลปากร
๕.๑ เน้นการสานต่อการทำงานเดิมเป็นหลัก
๕.๒ สานต่อนโยบายของรัฐบาลตลอดจนแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของกระทรวงวัฒนธรรม
๕.๓ การจัดมาตรการรักษาความปลอดภัยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โบราณสถานและแหล่งมรดกโลก
๕.๔ การพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของคนทุกกลุ่มทุกวัย
๖. กรอบแนวคิดและแนวทางดำเนินงานของ นายอนันต์ ชูโชติ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมรักษาราชการแทนอธิบดีกรมศิลปากร
การจัดการมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติในปัจจุบัน รัฐบาลได้มอบภารกิจดังกล่าวให้
กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ทั้งในด้านการกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ บุคลากร งบประมาณและวิธีการดำเนินงาน กรมศิลปากรจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๔๕๔ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้แยกงานช่างประณีตศิลป์ เช่น การซ่อมวัดและหล่อพระ จากกระทรวงโยธาธิการ กับงานในกรมพิพิธภัณฑ์ กระทรวงธรรมการ มารวมกันตั้งเป็นกรมศิลปากร แม้ว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประกาศยุบกรมศิลปากรในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยให้โอนงานในความรับผิดชอบกรมศิลปากรไปขึ้นกับราชบัณฑิตยสภา แต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลได้จัดตั้งกรมศิลปากรขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเป็นต้นมากรมศิลปากรได้มีการเปลี่ยนแปลงส่วนราชการภายในหลายครั้ง ได้ย้ายสังกัดไปขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ จนถึง พ.ศ.๒๕๔๕ ได้มีการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ กรมศิลปากรได้ย้ายสังกัดจากกระทรวงศึกษาธิการมาสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม จนทุกวันนี้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมศิลปากรได้พัฒนาความรับผิดชอบจากจุดเริ่มต้นที่รับผิดชอบ
เฉพาะงานช่างและพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะงานช่างในระยะเริ่มแรกจะเกี่ยวเนื่องกับการสร้างงานในพระพุทธศาสนา และในงานที่เกี่ยวกับราชสำนักเป็นหลักใหญ่ ตั้งแต่งานซ่อมบูรณะพระราชฐาน พระราชมณเฑียร งานประกอบพระราชพิธีและงานพระเมรุมาศในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพซึ่งปลูกสร้างเป็นอาคารชั่วคราวบริเวณท้องสนามหลวง มาเป็นองค์กรหลักของประเทศที่รับผิดชอบการปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรม ของชาติทั้งหมด โดยรับผิดชอบในการอนุรักษ์ สืบทอด ศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนา สร้างสรรค์และเผยแพร่ ทั้งงานที่เกี่ยวข้องกับโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เอกสารโบราณ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ศิลปกรรมแขนงต่างๆ และงานนาฏศิลป์ดนตรี โดยแบ่งหน่วยงานในการรับผิดชอบตามภารกิจหลัก ดังนี้
๑) งานด้านโบราณสถาน โบราณวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มีกองโบราณคดีและ กองโบราณคดีใต้น้ำและสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบ
๒) งานด้านภาษา เอกสารหนังสือ มีสำนักหอสมุดแห่งชาติ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ เป็นผู้รับผิดชอบ
๓) งานด้านช่างศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ มีสำนักสถาปัตยกรรมและสำนักช่างสิบหมู่ เป็นผู้รับผิดชอบ
๔) งานด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ มีสำนักการสังคีต เป็นผู้รับผิดชอบ
๕) งานมรดกทางศิลปวัฒนธรรมทุกสาขาที่อยู่ในเขตพื้นที่ภูมิภาค มีสำนักศิลปากรที่ ๑ -๑๕เป็นผู้รับผิดชอบ
การปฏิบัติตามภารกิจหลักของกรมศิลปากร เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวง
วัฒนธรรม จำเป็นต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ ทั้งสถานการณ์ภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ระบบดิจิตอลได้เข้ามามีบทบาทสูงมากในสังคมปัจจุบัน นอกจากนี้ยังต้องประเมินศักยภาพของตนเองในทุกๆ ด้านทั้งด้านบุคลากร แผนงาน/โครงการ งบประมาณและวิธีการดำเนินงานที่จะต้องสอดคล้องกับเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและเทคโนโลยีในปัจจุบัน เพื่อที่กรมศิลปากรจะสามารถดำเนินงาน ในการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งจะยังคงเป็นสถาบันหลักที่สังคมในปัจจุบันยังให้การยอมรับในการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติต่อไป
๖.๑ ค่านิยม
๑) ซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้
๒) ขยัน อดทน
๓) มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ โดยไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรคใดๆ
๔) มีความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะรับผิดและรับชอบต่องานที่กระทำ
๕) ผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
๖.๒ วิสัยทัศน์
กรมศิลปากรเป็นสถาบันหลักด้านการอนุรักษ์ พัฒนาและสร้างสรรค์มรดกวัฒนธรรมของชาติ เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็ง
๖.๓ เป้าหมาย
๑) มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติทุกแขนงได้รับการปกป้องคุ้มครองและอนุรักษ์อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ คงความเป็นแท้ดั้งเดิมให้สืบทอดต่อไปในอนาคต
๒) มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ได้รับการพัฒนาสร้างสรรค์บนหลักความถูกต้องทางวิชาการมีคุณภาพและมาตรฐาน สังคมและประเทศชาติได้ประโยชน์ทั้งในด้านการศึกษาเรียนรู้และด้าน การท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ
๓) มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการพัฒนาข้อมูลทางวิชาการและสร้างผลผลิตข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ
๔) สร้างเครือข่ายทั้งที่เป็นเครือข่ายภาครัฐ เครือข่ายภาคเอกชนและเครือข่ายภาคประชาชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน เพื่อปกป้อง คุ้มครองและเฝ้าระวังมรดกทางศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการทำงาน
๕) บุคลากรได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ ความสามารถและทักษะตรงตามมาตรฐานของแต่ละงาน ตลอดจนได้รับการพัฒนาให้สามารถดำเนินงานทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐาน
๖) ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศในการพัฒนาบุคลากรการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปกป้องคุ้มครองและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
๖.๔ วิธีคิดและสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาองค์กรไปสู่เป้าหมาย
๑) พัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น เป็นการสานต่องานเดิมหรือโครงการเดิมที่มีมาก่อน
๒) ค้นหาสิ่งที่ยังไม่มีแล้วทำให้มีขึ้น เป็นการคิดงานใหม่ โครงการใหม่ สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดประโยชน์กับองค์กร สังคมและประเทศชาติ
๓) ประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์กร งาน/โครงการที่ทำอยู่เป็นระยะๆ โดยการเปรียบเทียบกับการทำงานในอดีตและเปรียบเทียบกับองค์กรอื่นประเภทเดียวกัน เพื่อหาจุดเด่น จุดด้อยและกิจกรรมที่เป็นเลิศ เพื่อสร้างความเป็นเลิศให้กับองค์กร
๗. แนวทางการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์
๗.๑ การพัฒนาบุคลากรและโครงสร้าง
๑) จัดทำแผนอัตรากำลังและแผนปรับปรุงโครงสร้างกรมศิลปากร (แผน ๓ ปี)
๒) จัดทำแผนยุทธศาสตร์ของกรมศิลปากรให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒
๓) พัฒนาคุณภาพบุคลากรในทุกสายงานให้มีทักษะและสมรรถนะตามมาตรฐาน ให้มีความเป็นมืออาชีพ และมีประสิทธิภาพในการทำงาน
๔) พัฒนาบุคลากรที่เป็นนักวิชาการในทุกสายงานให้มีทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถจะทำงานในระดับประเทศและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
๗.๒ การปกป้องคุ้มครองและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
๑) จัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศมรดกทางวัฒนธรรมทุกแขนงให้มีความสมบูรณ์ทันสมัยและครบถ้วน
๒) ปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรม ด้านโบราณสถานและแหล่งโบราณคดีอย่างเข้มแข็ง ไม่ให้มีการบุกรุกทำลาย นำโบราณสถานที่ถูกบุกรุกกลับมาเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
๓) โบราณสถานที่เกี่ยวกับแหล่งน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำ (บาราย) คู คลองและคูเมืองให้นำมาตรการทางกฎหมายไปใช้อย่างเข้มแข็ง ในกรณีที่มีการบุกรุกและมีการครอบครองทั้งที่ชอบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๔) เอกสารโบราณหรือเอกสารหายาก ทั้งในหอสมุดแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จะต้องดำเนินการอนุรักษ์และรักษาตามหลักวิชาการให้ครบถ้วนทันต่อเวลาและสถานการณ์
๕) จัดตั้งเครือข่ายหรือนำเครือข่ายที่ได้จัดตั้งไว้แล้ว ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและการปกป้องดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้มากยิ่งขึ้น
๖) จัดทำเอกสารหรือจดหมายเหตุการณ์อนุรักษ์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะโบราณสถานที่เป็นมรดกโลกและโบราณสถานสำคัญของชาติ
๗) บูรณาการทางวิชาการในทุกสาขาที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ จะไม่ทำแบบแยกส่วน ให้มองภาพรวมก่อนจะทำรายละเอียด
๘) การตรวจสอบและศึกษาทางวิชาการอย่างครบถ้วน เพื่อเป็นข้อมูลการอนุรักษ์
๙) จัดทำ เสนอ ปรับปรุง พรบ. กฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
๗.๓ การบริหารจัดการ
๑) การรักษาความปลอดภัยในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ โบราณสถานที่เป็นแหล่งมรดกโลกและโบราณสถานสำคัญ ให้มีมาตรการที่เข้มแข็งทั้งบุคลากรเทคโนโลยีและระบบดับเพลิง
๒) พัฒนาการการบริการให้มีประสิทธิภาพเกิดประสิทธิผลกับผู้เข้ามาใช้บริการหอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
๓) พัฒนาระบบสืบค้นข้อมูลให้เป็นระบบดิจิตอลเพื่อประสิทธิภาพการให้บริการ
๔) เอกสารโบราณหรือเอกสารหายากให้จัดทำเป็นระบบดิจิตอลวางระบบการบริหารจัดการให้สมดุลระหว่างการบริการอย่างมีประสิทธิภาพกับการปกป้องคุ้มครองและอนุรักษ์
๕) งานเอกสารของหอสมุดแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ให้จัดทำบริการทางเว็บไซต์ ที่ผู้เข้ามาใช้บริการสามารถสืบค้นได้ง่าย แต่ให้กำหนดมาตรการเรื่องลิขสิทธิ์ตามมาตรฐานสากล
๖) ให้มีการจัดสรรหนังสือไปยังหอสมุดแห่งชาติในทุกสาขาอย่างทั่วถึง จัดงบประมาณซื้อหนังสือทุกปี
๗) วางระบบการบริการจัดการทรัพยากรหอสมุด การรับหนังสือ สิ่งพิมพ์ให้มีประสิทธิภาพรวดเร็ว พร้อมที่จะให้บริการ
๘) พัฒนาด้านกายภาพหอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้สะอาดสวยงาม เป็นระเบียบ เน้นสำคัญ ในส่วนของหอสมุดแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติส่วนกลาง
สำนักช่างสิบหมู่
๙) จัดทำแผนการพัฒนาบริเวณพื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้เป็นทั้งส่วนปฏิบัติงานและ
แหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปกรรมที่เกี่ยวกับช่างสิบหมู่
๑๐) จัดสร้างอาคารหอประติมากรรมต้นแบบ เพื่อจัดแสดงงานต้นแบบในทุกแขนงของช่างสิบหมู่
สำนักสถาปัตยกรรม
๑๑) มาตรฐานในการออกแบบงานสถาปัตยกรรม งานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและการตกแต่ง ทั้งในเรื่องแบบรูปรายการ ประมาณราคา ระยะเวลาและการควบคุมงาน
๑๒) การเป็นองค์กรหลักทางด้านสถาปัตยกรรมในการให้บริการ ให้ความร่วมมือและให้ความอนุเคราะห์กับหน่วยงานภายนอก
สำนักการสังคีต
๑๓) มาตรฐานในด้านนาฏศิลป์ดนตรีให้เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ
๑๔) บริหารจัดการโรงละครแห่งชาติ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลรวมไปถึงพัฒนาโรงละครแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นโรงละครชั้นนำของประเทศและของภูมิภาค
๑๕) จัดเทศกาลละคร หรือเทศกาลโขน หรือเทศกาลการแสดงที่ยิ่งใหญ่ในทุก ๆ ปี๑๖) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์การแสดงของโรงละครแห่งชาติ ให้เป็นไปในแบบเชิงรุก ฉับไว ทันท่วงที ครอบคลุมกว้างขวางและข้อมูลถูกต้อง
สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
๑๗) มาตรฐานในด้านประวัติศาสตร์ วรรณกรรมและจารีตประเพณี ให้เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการในระดับประเทศ
๑๘) การจัดพิมพ์หนังสือหายากหรือหนังสือสำคัญที่กรมศิลปากรได้เคยจัดพิมพ์และปัจจุบันไม่มีแล้ว
๑๙) การศึกษา ค้นคว้าวิจัย ทั้งในด้านการชำระและการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ต้องมีอย่างต่อเนื่องและเผยแพร่องค์ความรู้สู่สังคม
โบราณสถานและแหล่งโบราณคดี
๒๐) จัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศโบราณสถานและแหล่งโบราณคดีให้ครบถ้วนสมบูรณ์เผยแพร่ข้อมูลและองค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ คนไทย
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร
ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้
๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙
๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ
- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท
- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน
๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว
๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน
๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา
๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ
๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต
เมื่อวันจันทร์ ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๖.๐๐ น. นายสัมฤทธิ์ พงษ์วิรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงวัฒนธรรม และคณะเข้าเยี่ยมชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี โดยมี นายขจร มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี และ นางสาวพรพรรณ หงสไกร หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ทุกคน ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จากนั้น ก็ได้เดินชม การแกะสลักเทียน ภายในพิพิธภัณฑ์ จากศิลปิน ๙ ชาติ
วัสดุ สำริด
แบบศิลปะ ศิลปะเขมรในประเทศไทย
อายุสมัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18
สถานที่พบ พบในเขต อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
รูปทรงคล้ายกลีบบัวหรือสามเหลี่ยมมุมมน ด้านหนึ่งสลักลวดลายลึกลงไปเป็นแอ่ง เป็นรูปพระพุทธรูปปางมารวิชัย 3 องค์ ประทับนั่งบนฐานบัวภายในซุ้มเรือนแก้ว ด้านบนของซุ้มเป็นปรกต้นโพธิ์ ด้านหลังแม่พิมพ์เรียบไม่มีลวดลาย มีด้ามสำหรับจับแต่หักหายไป
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร
ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้
๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙
๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ
- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท
- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน
๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว
๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน
๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา
๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ
๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต
งาน "ราชบุรีเมืองแห่งความจงรักภักดี" เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘