ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ

ชื่อเรื่อง                     จุนฺทสูกริกสูตฺต (จุนทสูกริกสูตร)สพ.บ.                       282/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                   พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               54 หน้า : กว้าง 5.7 ซ.ม. ยาว 56.5 ซ.ม. หัวเรื่อง                     พุทธศาสนา                                บทคัดย่อ/บันทึกเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจาก วัดบ้านหมี่ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี 


ชื่อเรื่อง                                ตำราโหราศาสตร์ (เกณฑ์วันกระทำโชคยามอายุเดือน) สพ.บ.                                  333/1ประเภทวัสดุมีเดีย                    คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                               พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                           62 หน้า กว้าง 4.8 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                                 พุทธศาสนา                                           โหราศาสตร์                                          บทคัดย่อ/บันทึก          เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด  ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี


28 ธันวาคม วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วันคล้ายวันปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310


เลขทะเบียน : นพ.บ.160/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  52 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 96 (27-34) ผูก 7 (2565)หัวเรื่อง : ปริวารปาลิ(ปาลีปริวาน) --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)  ชบ.บ.45/1-3  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มงฺคลตฺถทีปนี (มงฺคลตฺถทีปนี เผด็จมงคลสูตร)  ชบ.บ.88ก/1-15  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


มหานิปาตวณฺณนา(เวสฺสนฺตรชาตก) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (มทฺรี-นครกัณฑ์)  ชบ.บ.106ข/1-13  เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


เลขทะเบียน : นพ.บ.346/1คห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 28 หน้า ; 4.5 x 54.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 134  (370-377) ผูก 1ค (2565)หัวเรื่อง : นิพฺพานสุตฺต (นิพพานสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


                     พบที่เจดีย์หมายเลข ๑๕ เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี           พระพิมพ์ปางสมาธิ ศิลปะศรีวิชัย พบที่เจดีย์หมายเลข ๑๕ เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง            ​พระพิมพ์ดินดิบรูปทรงคล้ายหยดน้ำ ขนาดกว้าง ๔ เซนติเมตร สูง ๕.๑ เซนติเมตร แสดงภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเพชรบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย พระพักตร์ค่อนข้างกลม เม็ดพระศกหรือขมวดพระเกศาใหญ่ พระอุษณีษะหรือพระเกตุมาลานูน เบื้องหลังพระเศียรปรากฏประภามณฑลหรือรัศมีโดยรอบ พระวรกายอวบอิ่ม พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็กคอด ครองจีวรห่มเฉียง ไม่ปรากฏชายจีวรบนพระอังสาซ้าย พระหัตถ์ทั้งสองวางหงายซ้อนกันบนพระเพลาในปางสมาธิ ประทับบนบัลลังก์ที่มีพนักพิง ด้านขวาของพระพุทธองค์มีสถูปขนาดเล็ก  ส่วนล่างของพระพิมพ์ ใต้ฐานบัว มีจารึก ๑ บรรทัด  กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ (ประมาณ ๑,๑๐๐ - ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว)           รูปแบบพระพิมพ์ชิ้นนี้สัมพันธ์กับศิลปะชวาภาคกลางในประเทศอินโดนีเซียและศิลปะอินเดียแบบปาละ คงสร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และเป็นหลักฐานที่น่าจะแสดงถึงอิทธิพลศิลปะศรีวิชัยที่พบในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย เนื่องจากพระพิมพ์มีขนาดเล็ก ประกอบกับการดำเนินงานทางโบราณคดีในเมืองโบราณอู่ทอง นอกจากพระพิมพ์นี้แล้ว ยังไม่เคยพบพระพิมพ์รูปแบบเดียวกันนี้ อาจเป็นไปได้ว่า พระพิมพ์องค์นี้เป็นการนำติดตัวเข้ามาของคนจากดินแดนคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย เข้ามายังเมืองโบราณอู่ทอง ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการติดต่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนชาวพุทธนิกายมหายานจากรัฐศรีวิชัย ก็เป็นได้          อนึ่ง หลักฐานทางศิลปกรรมศิลปะศรีวิชัย และแสดงถึงความเชื่อในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่พบจากเมืองโบราณอู่ทอง นอกเหนือจากพระพิมพ์องค์นี้ ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณิ หรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และแสดงถึงการผสมผสานระหว่างการนับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาร และมหายาน ในเมืองโบราณอู่ทอง สมัยทวารวดี   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร,  โบราณคดีเมืองอู่ทอง, นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.


ชื่อผู้แต่ง             - ชื่อเรื่อง              ประมวลพระราชนิพนธ์เบ็ดเตล็ดในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งที่พิมพ์          - สถานที่พิมพ์        พระนคร สำนักพิมพ์          โรงพิมพ์การรถไฟ ปีที่พิมพ์              ๒๕๐๘ จำนวนหน้า          ๑๙๒  หน้า หมายเหตุ            พิมพ์แจกเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ม.ล.ประจวบ  กล้วยไม้ (จมื่นเทพสุรินทร์)                          พระราชนิพนธ์เบ็ดเตล็ดที่นำมารวมพิมพ์ในเล่มนี้ ได้เคยตีพิมพ์ในหนังสือต่างๆ เป็นเรื่องในแนวต่างๆ กัน มีทั้งเรื่องการศึกษาราชประเพณี ขนบธรรมเนียม ศิลป และเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บางเรื่องก็คัดจากต้นพระราชหัตถเลขา เรื่องต่างๆ นอกจากจะให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ยังเป็นเครื่องชี้ให้เห็นพระราชอุตสาหะ และพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่ามิได้ทรงสมารถแต่เฉพาะในด้านปกครองประเทศด้านเดียว แต่ยังทรงสนพระทัยศึกษาค้นคว้าวิชาในแขนงอื่นๆอีกมาก แล้วยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชนิพนธ์เรื่องราวเหล่านั้นขึ้นไว้ให้เป็นมรดกอำนวยความรู้แก่ประชาชนคนไทยในสมัยต่อมาอีกด้วย



ภาชนะดินเผาบรรจุชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟ พบที่โบราณสถานวัดพระนอน.จากการดำเนินงานทางโบราณคดีที่ผ่านมาพบหลักฐานทางโบราณคดีประเภทภาชนะดินเผาบรรจุชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟในบริเวณเมืองกำแพงเพชรอันได้แก่ วัดพระแก้ว วัดพระธาตุ วัดพระนอน วัดมณฑป วัดดงมูลเหล็ก วัดหมาผี และวัดกรุสี่ห้อง โดยพบโบราณวัตถุภายในภาชนะซึ่งคาดว่าเป็นของอุทิศให้กับผู้เสียชีวิตรวมอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น วัตถุลักษณะคล้ายกระดูกทำรูปกลีบดอกไม้สีแดงจากการขุดแต่งวัดมณฑป บางภาชนะพบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ร่วมกับหอยเบี้ย เงินพดด้วงและแหวนทองคำจากการขุดแต่งวัดดงมูลเหล็ก และพบคันฉ่องสำริดร่วมในไหบรรจุกระดูกภายในบริเวณวัดพระธาตุ.คำว่า “อุทิศ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง ให้ ยกให้ เช่น อุทิศส่วนบุญให้กับผู้ตายตามประเพณี.ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๔ มีเหตุการณ์ฝนตกหนักที่ชะหน้าดินบริเวณพื้นที่ทางทิศใต้ของวัดพระนอน ทำให้พบหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นใหม่ ได้แก่ ภาชนะดินเผาบรรจุชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟ ปรากฏโบราณวัตถุร่วมภายในภาชนะคือ คันฉ่องสำริดจำนวน ๑ ชิ้น และ ชิ้นส่วนโลหะ ๑ ชิ้น แจกแจงรายละเอียดการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีดังนี้.ภาภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง มีลักษณะคอยาว ปากผายออก ส่วนลำตัวป่องแล้วลาดสอบลงไปบรรจบกับส่วนฐาน ก้นมีลักษณะแบนเรียบ ภายนอกพบร่องรอยของแป้นหมุนปะปนกับร่องรอยการกดด้วยนิ้วมือและทำการเคลือบสีน้ำตาลบริเวณส่วนปากจนถึงส่วนกลางของลำตัว ขอบของน้ำเคลือบไม่เรียบเสมอกัน บริเวณไหล่พบการปั้นแปะรูปทรงก้อนกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๕ เซนติเมตร จำนวนสองตำแหน่ง มีลักษณะสมบูรณ์หนึ่งตำแหน่ง และหลุดหายไปหนึ่งตำแหน่งโดยจุดปั้นแปะทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน พบรูเจาะรูปสี่เหลี่ยมขนาด ๑.๓ เซนติเมตร โดยขอบบนของรูดังกล่าวอยู่ในแนวรอยต่อของน้ำเคลือบภาชนะ ผิวภาชนะด้านนอกมีสีเทาลักษณะสีมีความไม่สม่ำเสมอกันตลอดทั้งใบ คาดว่าเกิดจากสีของดินที่นำมาขึ้นรูปภาชนะ และอุณหภูมิในการเผาภาชนะ ด้านในภาชนะมีการเคลือบสีน้ำตาลบริเวณส่วนปากถึงส่วนกลางของคอภาชนะ มีร่องรอยการย้อยลงของน้ำเคลือบ ภายในพบร่องรอยการกดด้วยนิ้วมือชัดเจนตลอดทั้งภาชนะ ผิวภาชนะด้านในมีสีเทา ด้านตัดของเนื้อดินมีสีเทาบริเวณขอบ และมีสีน้ำตาลบริเวณตรงกลาง เนื้อดินค่อนข้างหยาบ ปะปนด้วยหินขนาดเล็ก คาดว่าเกิดจากการเผาภาชนะไม่สุกโดยสมบูรณ์ .ภาชนะดินเผาใบนี้มีน้ำหนัก ๑,๑๘๘ กรัม ความสูง ๒๒.๘ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนขอบปาก ๑๓.๒ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนคอ ๙ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนลำตัว ๑๖.๔ เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางส่วนก้น ๑๐.๓ เซนติเมตร และหนา ๐.๖ เซนติเมตร.ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์เผาไฟที่พบในภาชนะมีจำนวนทั้งหมด ๑๒๑ ชิ้น น้ำหนัก ๑๘๑.๓ กรัม โดยพบร่องรอยการเผาไฟและร่องรอยโลหะเหลวบนผิวชิ้นส่วนกระดูกบางชิ้น ทำการจำแนกประเภทตามหลักกายวิภาคศาสตร์ของกระดูกมนุษย์ด้วยตาเปล่า (gross analysis) เป็นจำนวน ๑๐ ประเภท ดังนี้๑. กะโหลกศีรษะ (skull) จำนวน ๒๘ ชิ้น ได้แก่ - แผ่นกะโหลกศีรษะ (cranial) จำนวน ๘ ชิ้น น้ำหนัก ๑๕ กรัม - กระดูกขมับ (temporal) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๓ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์  - กรามล่าง (mandible) ด้านขวา จำนวน ๒ ชิ้น น้ำหนัก ๔ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์  - กรามล่าง (mandible) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๒ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์  - ฟัน (teeth) สภาพไม่สมบูรณ์ จำนวน ๑๖ ชิ้น น้ำหนักรวม ๓.๓ กรัม เป็นฟันตัด (incisor) จำนวน ๑ ซี่ ฟันกรามล่าง (mandibular molar) จำนวน ๒ ซี่ ฟันกราม (molar) จำนวน ๔ ซี่ ที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ จำนวน ๒ ซี่ และรากฟัน จำนวน ๖ ซี่๒. กระดูกซี่โครง (ribs) จำนวน ๙ ชิ้น น้ำหนัก ๒๐ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์๓. กระดูกไหปลาร้า (clavicle) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๓ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๔. กระดูกสะบัก (scapula) ด้านซ้าย จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๔ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๕. กระดูกปลายแขนท่อนนอก (radius) จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๓ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๖. กระดูกหน้าแข้ง (tibia) ด้านขวา จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๒๗ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๗. กระดูกนิ้ว (phalanx) จำนวน ๑ ชิ้น น้ำหนัก ๑ กรัม สภาพไม่สมบูรณ์ ๘. กระดูกยาวไม่สามารถระบุชิ้นส่วนได้ (long bones) จำนวน ๑๖ ชิ้น น้ำหนัก ๗๖ กรัม๙. กระดูกที่ไม่สามารถระบุชิ้นส่วนได้ (unidentified) จำนวน ๑๐ ชิ้น น้ำหนัก ๑๐ กรัม๑๐. เศษชิ้นส่วนกระดูก (fragments) จำนวน ๕๓ ชิ้น น้ำหนัก ๑๐ กรัม.โบราณวัตถุร่วมภายในภาชนะคือ คันฉ่องจำนวน ๑ ชิ้น และ ชิ้นส่วนโลหะ ๑ ชิ้น ดังนี้.คันฉ่อง แผ่นโลหะทรงกลม บาง ด้านหน้ามีสีดำมันวาว ด้านหลังมีสีอ่อนกว่าด้านหน้าเล็กน้อยและด้าน ด้านตัดมีลักษณะโค้งไปทางด้านหน้าเล็กน้อย พบร่องรอยสนิมสีเขียวบริเวณผิววัตถุทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และมีผิวสีน้ำตาลบริเวณที่มีร่องรอยสนิมดังกล่าว มีน้ำหนัก ๒๔ กรัม เส้นผ่านศูนย์กลาง ๗.๔-๗.๖ เซนติเมตร และมีความหนา ๐.๑ เซนติเมตรชิ้นส่วนโลหะ.ชิ้นส่วนโลหะลักษณะทรงกระบอก ไม่สามารถวิเคราะห์และสันนิษฐานรูปทรงของโบราณวัตถุได้ มีลักษณะลีบแบน ปรากฏร่องรอยสนิมสีน้ำตาลคล้ายฟองอากาศอยู่บริเวณโดยรอบ ชิ้นส่วนโลหะมีน้ำหนัก ๓ กรัม ขนาดกว้าง ๑.๒ เซนติเมตร ยาว ๓.๘ เซนติเมตร หนา ๐.๐๑ เซนติเมตร และสูง ๐.๔-๐.๙ เซนติเมตร ________________________________________เอกสารอ้างอิงพิทยา ดำเด่นงาม. “รายงานการสำรวจและขุดแต่งบูรณะโบราณสถาน เมืองเก่ากำแพงเพชร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร”. ใน รายงานการสำรวจและขุดแต่งบูรณะโบราณวัตถุสถาน เมืองเก่ากำแพงเพชร เมืองศรีสัชนาลัย พ.ศ.๒๕๐๘ – ๒๕๑๒. คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถาน จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดกำแพงเพชร. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๑๔.สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถาน วัดพระแก้ว จังหวัดกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๔.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถานวัดดงมูลเหล็ก อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เขตในกำแพงเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร งบกลาง ปีงบประมาณ ๒๕๔๙. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๕๐.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรศักดิ์ก่อสร้าง. รายงานการขุดแต่งวัดกรุสี่ห้อง ในเขตอรัญญิก เมืองกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :โครงการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งโบราณสถานจังหวัดกำแพงเพชร, ๒๕๔๓.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สุรศักดิ์ก่อสร้าง. รายงานการขุดแต่งวัดมณฑปในเขตอรัญญิก เมืองกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๓.ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถานวัดพระธาตุจังหวัดกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๔.ห้างหุ้นส่วนจำกัดสามเพชร. รายงานการบูรณะโบราณสถานวัดพระนอนจังหวัดกำแพงเพชร. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๕.ห้างหุ้นส่วนจำกัดเหมลักษณ์ก่อสร้าง. รายงานการบูรณะโบราณสถานเมืองกำแพงเพชร วัดหมาผี(น.๑๖) วัดรามรณรงค์(น.๔๐) วัดนาคเจ็ดเศียร(น.๑๓) วัดมะเคล็ด(น.๒๖) วัดสระแก้ว(น.๓๒). กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๔๐.อนุวัตร คงจันทร์. โครงการอุทยานประวัติศาสตร์ กำแพงเพชร รายงานการขุดแต่งโบราณสถาน วัดดงมูลเหล็ก ปีงบประมาณ ๒๕๒๕-๒๕๒๙. กรมศิลปากร :อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร, ๒๕๒๗.White TD, Black MT, Folkens PA. Human osteology. ๓ed: Academic Press; ๒๐๑๑.


องค์ความรู้ : อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เรื่อง : เรื่องราวของ “โค” ที่ปราสาทพนมรุ้ง           ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู โค หรือ วัว นับว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีโคนนทิเป็นเทพพาหนะของพระศิวะเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ดังนั้นที่ปราสาทพนมรุ้งซึ่งเป็นเทวลัยที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ จึงพบประติมากรรม และภาพสลักเกี่ยวกับ โค หรือ วัว สอดแทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของเทวลัยอันยิ่งใหญ่แห่งนี้            ภาพเกี่ยวกับโคที่เด่นชัดที่สุดของปราสาทพนมรุ้งจุดแรก คือ ประติมากรรมโคนนทิ ซึ่งถูกพบระหว่างการบูรณะปราสาทพนมรุ้ง ประติมากรรมดังกล่าวถูกสลักจากหินทราย เป็นรูปโคนั่งหมอบอยู่บนฐานเตี้ย ขนาดกว้าง ๘๒ เซนติเมตร ยาว ๑๑๒ เซนติเมตร และสูง ๗๒ เซนติเมตร นั่งหมอบพับขาทั้ง ๔ ข้างไปทางด้านขวา บนหลังมีโหนกนูนขึ้นมา แต่ส่วนหัวหักหายไป ก่อนจะมีการซ่อมขึ้นใหม่ให้สมบูรณ์ภายหลัง ปัจจุบันประติมากรรมโคนนทิของปราสาทพนมรุ้งเก็บรักษาและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย และได้มีการจำลองไว้ที่ปราสาทพนมรุ้ง ตั้งอยู่ภายในมณฑปด้านทิศตะวันออกของปราสาทประธาน และหันหน้าไปยังศิวลึงค์ที่เป็นประธานของเทวาลัย หรือก็คือสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะเทพเจ้าสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูนั่นเอง           ทั้งนี้บริเวณหน้าบันด้านทิศใต้ของมณฑปปราสาทประธานปรากฏภาพสลัก อุมามเหศวร เป็นภาพสลักของพระศิวะและพระอุมา (พระชายา) ประทับร่วมกันบนหลังโคนนทิ การปรากฏคู่กันของทั้ง ๒ พระองค์มีความหมายถึง การประทานความสุข ความอุดมสมบูรณ์ การสร้างและก่อเกิดสรรพชีวิตต่างๆ บนโลก ปัจจุบันภาพสลักดังกล่าวอยู่สภาพชำรุด แต่ยังสามารถมองเห็นภาพ โคนนทิ ซึ่งประดับเครื่องทรงงดงาม และแวดล้อมด้วยบริวารถือเครื่องสูงได้อย่างชัดเจน           ภาพสลักเกี่ยวกับโคที่ปราสาทพนมรุ้งภาพสุดท้ายเป็นภาพ โยคีรีดนมวัว ปรากฏอยู่บริเวณหน้าบันชั้นลดมุขด้านทิศเหนือของปราสาทประธาน เป็นภาพแสดงเหตุการณ์ โยคีกำลังจับโคไว้เพื่อไม่ให้ดิ้น ส่วนโยคีอีกตนกำลังรีดนมวัวอยู่ ด้านบนจะเห็นโยคีอีกตนกำลังห้อยโหนบนต้นไม้ และยังปรากฏสุนัขตัวหนึ่งกำลังทำท่ากระโจนหาวัวในภาพอีกด้วย           เป็นที่น่าสนใจว่าวัวที่เปรียบเสมือนเทพพาหนะของพระศิวะ ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู นอกจากได้รับการบูชาสักการะแล้ว ยังถือเป็นสัตว์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของทั้งโยคีที่บำเพ็ญตน และผู้คนในสมัยโบราณเป็นอย่างมาก หากนักท่องเที่ยวท่านใดมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมปราสาทพนมรุ้ง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ อย่าลืมสังเกตประติมากรรมหรือภาพสลักต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้การท่องเที่ยวมีอรรถรส และเพิ่มความสนุกเพลิดเพลินในการชมโบราณสถานแห่งนี้ได้มากยิ่งขึ้น เรียบเรียงโดย นายพงศธร ดาวกระจาย ผู้ช่วยนักโบราณคดี อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง เอกสารอ้างอิง: กมลวรรณ นิธินันทน์. ภาพสลักโยคี ณ ปราสาทพนมรุ้ง. นครราชสีมา: กรมศิลปากร, ๒๕๖๓. พิสิฐ เจริญวงศ์ และคณะ. ปราสาทพนมรุ้ง. พิมพ์ครั้งที่ ๖. บุรีรัมย์: สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร, ๒๕๕๑. สมบูรณ์ บุณยเวทย์. “บันทึกประสบการณ์ครั้งเริ่มบูรณะปราสาทหินพิมายและปราสาทหินพนมรุ้ง.” ศิลปากร. ๔๑, ๕ (กันยายน-ตุลาคม, ๒๕๔๑): ๖๘-๙๑.  


วันมหิดล 24 กันยายน วันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (กรมหลวงสงขลานครินทร์) พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" ด้วยพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทยมาตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้น ได้เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่โรงเรียนแพทย์ อีกทั้งได้ทรงพัฒนาการเรียนการสอน ตลอดจนการผลิตแพทย์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นการวางรากฐานแก่การแพทย์ และการสาธารณสุขให้เจริญพัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศในกาลต่อมา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงได้ขนานนามวันสำคัญนี้ว่า "วันมหิดล" เพื่อเป็นการถวายสักการะ และน้อมรำลึกต่อพระองค์ท่าน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2434 และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2472 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระองค์เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระราชอัยกาในพระบาทสมเด็จพระ วชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงศึกษา วิชาทหารเรือ ที่เยอรมนี แล้วเสด็จกลับมารับราชการทหารเรือ ต่อมาทรงมีอาการประชวรไม่สามารถรับราชการหนักได้ ประกอบกับทรงสนพระทัยด้านการแพทย์ จึงทรงอุตสาหะเสด็จไปศึกษาวิชาสาธารณสุขและวิชาการแพทย์ ณ สหรัฐอเมริกา ทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุข และปริญญาแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เมื่อเสด็จกลับมาเมืองไทย พระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณ๊ยกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมากมาย ได้แก่ ทรงเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ทรงช่วยเหลือในการขยายกิจการของโรงพยาบาลศิริราช ประทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จัดสร้างตึกคนไข้และจัดหาที่พักสำหรับพยาบาล ทรงบริจาคทรัพย์เป็นทุนให้นักศึกษาแพทย์และพยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศ ประทานเงินเพื่อจัดหาเครื่องมือแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลติดต่อกับมูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ สาขาเอเชียบูรพา ในการปรับปรุงและวางมาตรฐานการศึกษา และทรงอุทิศเวลาส่วนใหญ่ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งการแพทย์และการสาธารณสุขไทย” ในปี พ.ศ. 2493 มีการสร้างพระราชานุสาวรีย์ขึ้น โดยประดิษฐานไว้ ณ ใจกลางโรงพยาบาลศิริราช เพื่อน้อมเกล้าถวายความกตัญญูกตเวที ด้วย สำนึกในพระเมตตาคุณของพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจแก่วงการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทย ได้มอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้าง โดยมีศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี เป็นผู้ควบคุมงาน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิดพระราชานุสาวรีย์เมื่อวันที 24 เมษายน พ.ศ. 2493 ทุกวันที่ 24 กันยายน กำหนดให้เป็นวันมหิดล มีกิจกรรมที่สำคัญ ณ พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จฯ พระบรมราชชนก ภายในโรงพยาบาลศิริราช คือ พิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระรูป พร้อมทั้งอ่านคำสดุดีพระเกียรติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เป็นประจำทุกปี


พัฒนาการทางโบราณคดีและประวัติศาตร์ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ขอบคุณ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา


black ribbon.