ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,549 รายการ

       ชามสังคโลกลายปลา และอักษรสุโขทัยว่า “แม่ปลากา”         พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑         พ.ต.อ. มนต์ชัย พันธ์คงชื่น มอบให้         ปัจจุบันจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก” พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดแสดงถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕        ชิ้นส่วนชามดินเผาเขียนลายสีดำใต้เคลือบ ก้นชามด้านในกึ่งกลางมีรอยกี๋* สี่จุด เขียนลายปลาตัวเดียวหัวหน้าไปทางขวา ล้อมรอบด้วยลายวงกลม สองเส้น ด้านล่างเขียนตัวอักษรไทยสุโขทัยคำว่า “แม่ปลากา” ขอบภาชนะเขียนลายเส้นสีดำ         ภาชนะเคลือบชิ้นนี้แสดงเทคนิคการเขียนลายดำใต้เคลือบใส ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นในช่วงการผลิตเครื่องปั้นดินเผาสุโขทัยในระยะกลาง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑) โดยวัสดุที่ใช้เขียนลายสีดำคือ สนิมเหล็ก ซึ่งการผลิตภาชนะเทคนิคดังกล่าวพบทั้งที่แหล่งเตาเกาะน้อย ศรีสัชนาลัย และแหล่งเตาเมืองสุโขทัย ร่วมกับภาชนะเทคนิคอื่น เช่น ภาชนะเคลือบสีน้ำตาลอมดำ และ ภาชนะเคลือบสีเขียวอมฟ้า เป็นต้น        ปลากา เป็นปลาน้ำจืดคล้ายกับปลาตะเพียน มีรูปร่างป้อม หลังป่อง ครีบหลังสูง ที่ปากมีหนวดสองคู่ ลำตัวออกสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม มีเกล็ดเล็กออกสีแดงแซม ครีบหางเว้าลึก ปลาชนิดนี้มักหากินตามพื้นท้องน้ำ ชอบแทะเล็มตะไคร่น้ำและสาหร่าย พบปลาชนิดนี้ได้ตามแม่น้ำและแหล่งน้ำจืดทั่วประเทศไทย สันนิษฐานว่ากลุ่มภาชนะเขียนลายปลาเหล่านี้สัมพันธ์กับคติเรื่องความอุดมสมบูรณ์        *กี๋ (supporter) หมายถึง วัตถุที่ใช้รองภาชนะเพื่อกันมิให้สกปรกหรือติดกันในขั้นตอนการเผาภาชนะ กี๋มักทำมาจากดินเผาในลักษณะต่าง ๆ เช่น กี๋เม็ด (คล้ายกระสุนดินเผา) กี๋ท่อ กี๋จาน เป็นต้น     อ้างอิง กรมศิลปากร. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๕๐. ธันยกานต์ วงษ์อ่อน และปริวรรต ธรรมาปรีชากร. เครื่องปั้นดินเผาสุโขทัยและศรีสัชนาลัย. กรุงเทพฯ: S.P.M. การพิมพ์, ๒๕๕๘. The Fine Arts Department. The Endless Epic of Japanese-Thai Ceramic Relationship in the World’s Trade and Culture (CATALOGUE). Bangkok: Central Administrative Office, The Fine Arts Department, 2022.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           31/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                               84 หน้า : กว้าง 4.9 ซม. ยาว 53.2 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 142/1 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 177/1ฆ เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           13/3ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              28 หน้า : กว้าง 4.6 ซม. ยาว 54.8 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


 ชื่อผู้แต่ง          วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ชื่อเรื่อง           พระยาชมพู ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์     กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์       ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช ปีที่พิมพ์          ๒๕๒๗ จำนวนหน้า      ๑๖๐  หน้า รายละเอียด                    พระยาชมพู เป็นวรรณกรรมจากหนังสือบุด ชุด วรรณกรรมปักษ์ใต้ เป็นวรรณกรรมนิทานศาสนาที่ยกเอาพุทธประวัติตอนที่พระพุทธองค์ทรงปราบพระยาชมพู เพื่อให้ละเลิกจากตัณหาโมหคติและโทสะคติ มาดำเนินเรื่อง นับเป็นวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่ให้ข้อคิด คติเตือนใจถึงผลแห่งการลดละกิเลส ตัณหา คือ โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประพฤติปฏิบัติประสบความสุข ท้ายเล่มมี อภิธานศัพท์ ประกอบ  


เลขทะเบียน : นพ.บ.377/5ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 5 x 54.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 142  (7-25) ผูก 5 (2566)หัวเรื่อง : เวสฺสนฺตรชาตก --เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.507/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 3.5 x 49 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดาชื่อชุด : มัดที่ 171  (243-247) ผูก 7 (2566)หัวเรื่อง : ฉลองต้นกัลปพฤกษ์--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง : เรื่องเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง และประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ ของเสฐียร โกเศศ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายฉิ่ง แจ้งใจ ณ เมรุวัดเสนหา จังหวัดนครปฐม วันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2513ชื่อผู้แต่ง : อนุมานราชธน, พระยา ปีที่พิมพ์ : 2513 สถานที่พิมพ์ : พระนคร สำนักพิมพ์ : มงคลการพิมพ์จำนวนหน้า : 152 หน้า สาระสังเขป : เรื่องเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง และประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ ของ เสฐียร โกเศศ เล่มนี้ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายฉิ่ง แจ้งใจ โดย นางสาวระเบียบ แจ้งใจ ผู้เป็นธิดา ได้ติดต่อ ขออนุญาต กรมศิลปากร ในการจัดพิมพ์ เรื่องราวในเล่มนี้ ประกอบไปด้วย เรื่องเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง และประเพณีทำบุญสวดมนต์เลี้ยงพระ




กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชอาณาจักรที่สี่ในยุคประวัติศาสตร์ของไทย เริ่มตั้งแต่การย้ายเมืองหลวงจากฝั่งกรุงธนบุรี มายังกรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ กรุงรัตนโกสินทร์ หรือที่เราเรียกกันว่ากรุงเทพมหานคร เป็นราชธานีของไทยที่อุดมด้วยความรุ่งเรืองมาตลอดเวลากว่า ๒๔๑ ปี ภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถทุกพระองค์ที่ได้ทรงนำพาประเทศชาติพ้นอุปสรรคและวิกฤตต่างๆ มาได้ จนทำให้ประเทศชาติเป็นปึกแผ่นอย่างในทุกวันนี้


          26 เมษายน รำลึก “สุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์”        ครบรอบ เนื่องในเป็นวันคล้ายวันเกิดของกวีสำคัญแห่งรัตนโกสินทร์ #สุนทรภู่ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 หรือ วันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148            เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของประเทศไทยที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อรำลึกถึง "สุนทรภู่" กวีเอกด้านวรรณกรรมไทย ผู้สร้างสรรคผลงานอันทรงคุณค่าตลอดชีวิตใน 4 รัชกาล จนได้รับการยกย่องว่าเป็น "กวีสี่แผ่นดิน" และยังได้รับการยกย่องจากยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็น “บุคคลสำคัญด้านวรรณกรรมของโลก” อีกด้วย             บทความ เรื่อง “นิราศเมืองเพชร” ท่วงทำนองแห่งอาหาร พืชพันธุ์ สัตว์และวิถีชีวิตจากธรรมชาติ ผ่านบทประพันธ์ยอดกวีผู้เลื่องชื่อ “สุนทรภู่”           “. . . โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน อนาถหนาวคราวอาสาเสร็จ ไปเมืองเพชรบุรินที่ถิ่นสถาน . . .” บทประพันธ์ท่อนหนึ่งใน “#นิราศเมืองเพชร” นิราศเรื่องสุดท้ายสุดคลาสสิคของยอดกวีในประวัติศาสตร์ไทยและถูกยกย่องว่าเป็น “เชกสเปียร์” แห่งประเทศไทย นามนั้นคือ “สุนทรภู่”              “นิราศเมืองเพชร” เป็นนิราศที่แต่งขณะเดินทางไปเพชรบุรี ซึ่งสะท้อนอารมณ์ของสุนทรภู่ที่รำลึกถึงถิ่นฐานบ้านเดิมที่เคยอาศัยอยู่เรื่องราวการเดินทางครั้งนี้ก็สะท้อนความทรงจำที่สุนทรภู่ที่มีต่อเมืองเพชรบุรีได้อย่างงดงาม อีกทั้งเรื่องราวและเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนในเพชรบุรี ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งที่ปรากฏในบทนิราศเมืองเพชร นั้นคือเรื่อง อาหาร พืชพันธุ์ สัตว์และวิถีชีวิตจากธรรมชาติ             ด้วยลักษณะการจดบันทึกรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตหรือความงดงามตามธรรมชาติ เมื่อถูกบรรจงลงในบทนิราศที่ประพันธ์โดย “สุนทรภู่” ที่จดบันทึกเรื่องเล่าอย่างออกรส โดยรังสรรค์คำกลอนอันเป็นแบบฉบับที่สื่อจินตนาการ อารมณ์และประสบการณ์ที่ทรงพลัง กับการสร้างสรรค์ภาษาวรรณศิลป์ในแง่การเลือกสรรถ้อยคำ ทั้งตัดคำ เพิ่มคำ ดัดแปลงเสียงของคำ ประดิษฐ์คำศัพท์ ถ่ายทอดจินตนาการของกวี อารมณ์และประสบการณ์ที่น่าประทับใจ              ซึ่งชัดเจนว่า อาหาร พืชพันธุ์ สัตว์และวิถีชีวิตจากธรรมชาติ ปรากฏในบทนิราศเมืองเพชรข้างค่อนมาก โดยวิธีการถ่ายทอดรายละเอียดความประทับใจนี้เกิดจากความช่างสังเกตของสุนทรภู่ขณะเดินทางและอาศัยความทรงจำที่รำลึกนึกถึงถิ่นเดิมที่เคยอาศัยจังหวัดเพชรบุรี นั้นเอง โดยนิราศเมืองเพชร ได้เรื่องกล่าวถึงประเด็นเรื่อง “อาหาร พืชพันธุ์ สัตว์และวิถีชีวิตจากธรรมชาติ” ที่พบในระหว่างการเดินทาง ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นได้ดังนี้           #ธรรมชาติ โดยภายในบทนิราศ การจำแนกจะแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้ ประเภทสัตว์ ได้แก่ หมู ไก่ ปลา (ปลากระเบน, ปลากระบอก, ปลาทู เป็นต้น) ปู หอย และแมงดา ต่อมาเป็นประเภทพืชพันธุ์ ผักและผลไม้ ได้แก่ ลำเจียก เตยหอม ตะบูน ถั่ว ขี้พร้า ฟักแฟง ฟักทอง มะม่วง มะพร้าว หมาก ต้นจอก ทับทิม ส้ม และต้นตาล เป็นต้น และสุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตและธรรมชาติ ได้แก่ นาข้าว นาเกลือ ป่าโกงกาง ไร่และสวน           โดยได้กล่าวถึงธรรมชาติที่เกี่ยวกับสัตว์ ไว้ว่า “. . . ถึงคลองที่อีรำท่าแร้งเรียก สุดสำเหนียกที่จะถามความปฐม เขาทำน้ำทำนาปลาอุดม เป็นนิยมเขตบ้านพวกพรานปลา ที่ปากคลองกองพื้นไว้ดื่นดาษ ดูเกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา . . . ขายสำเร็จเป็ดไก่ทั้งไข่พอก กระเบนกระบอกปลาทูทั้งปูหอย ลูกค้ารับนับกันเป็นพันร้อย . . .” (นิราศเมืองเพชร, 2504, หน้า 6 ) ซึ่งเเสดงให้เห็นถึงลักษณะการดำรงชีพเเละวิถีการทำอาชีพของผู้คนในสมัยนั้น           นอกจากนี้สุนทรภู่ก็ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่น่าสนใจ การถ่ายทอดรายละเอียดพฤติกรรมของสัตว์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นปูก็บรรยายพฤติกรรมที่น่าเห็นใจของปูเพศผัว ที่ถูกปูเพศเมียคาบเนื้อกินเสีย หรือเมื่อเห็นลิงอยู่ตามตลิ่งป่าโกงกางก็บรรยายพฤติกรรมของลิงที่เที่ยวหาปูได้อย่างเห็นภาพ “. . . ครั้นล้วงขุดสุดอย่างเอาหางยอน มันหนีบนอนร้องเกลือกเสือกหัวหู เพื่อนเข้าคร่าหน้าหลังออกพรั่งพรู ลากเอาปูออกมาได้ไอ้กะโต . . .” (นิราศเมืองเพชร, 2504, หน้า 11) ไม่เพียงเท่านั้นทั้งหอยแครง แมงดา ลิงทโมนเหล่านั้นก็ฉีกกระดองกินไข่ได้ด้วย ครั้นสุนทรภู่เห็นหมู่แมงดาก็เห็นใจแมงดาตัวเมียยิ่งนัก เพราะแมงดาตัวเมียนั้นให้แมงดาตัวผู้ขี่หลัง ยิ่งเมื่อมีคนจับแมงดาเอาไปก็น่าสมเพชเวทนา เพราะคนจับเอาไปแต่แมงดาตัวเมีย แมงดาตัวผู้เมื่อไม่มีแมงดาตัวเมียก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เหมือนตาบอดไม่รู้แจ้งหนทาง “ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ ก็บรรลัยแลกลาดดาษดา” (นิราศเมืองเพชร, 2504, หน้า 12)            และ “. . . เป็นถิ่นฐานบ้านนาป่ารำไร เขาทำไร่ถั่วผักปลูกฟักแฟง แต่ฟักทองร้องเรียกว่าน้ำเต้า ฟักเขียวเล่าเรียกว่าขี้พร้าแถลง . . . ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร พะองยาวก้าวตีนปีนทะบาน กระบอกตาลแขวนกันคนละพวง . . .” (นิราศเมืองเพชร, 2504, หน้า 14 และ 19) ตัวอย่างที่แสดงความหลากหลายในพืชผักและผลไม้ของเมืองเพชรบุรีในบทนิราศเมืองเพชร            อาหาร ได้แก่ แกง น้ำพริก ปลาย่าง ปลาเค็ม ตำข้าวเม่า และน้ำตาลโตนด ดังบทนิราศที่ได้กล่าวไว้ว่า “. . . ถึงแม่กลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน น่าสำราญเรือนเรือดูเหลือหลาย บ้างย่างปลาค่าเคียงเรียงเรียงราย . . . บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิง บ้างแกงบื้งปากเรียกกันเพรียกฉาว เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราว เหมือนเสียงส้าวเกราะโกร่งที่โรงงาน . . .” (นิราศเมืองเพชร, 2504, หน้า 5)           ต้นไม้และดอกไม้ ได้แก่ ลำพู จำปา สารภี อินทนิล ลั่นทม นางแย้ม ต้นบอน ต้นไทร ต้นโพธิ์ ในนิราศเมืองเพชร ได้กล่าวถึงว่า “. . . พฤกษาออกดอกช่ออรชร หอมขจรจำปาสารภี ต้นโพไทรไม้งอกตามซอกหิน อินทนิลนางแย้มสอดแซมศรี เหล่าลั่นทมร่มรอบขอบคิรี สุมาลีหล่นกลาดดูดาษดิน . . .” (นิราศเมืองเพชร, 2504, หน้า 13)            ซึ่งเนื้อหาในบทนิราศเมืองเพชรที่ได้กล่าวถึง วัตถุดิบต่าง ๆ ทั้งพืชและสัตว์ อาหาร และต้นไม้ดอกไม้นั้น เมื่อพิจารณาตามเรื่องราวการบันทึกของสุนทรภู่ในบทนิราศเมืองเพชร ก็สะท้อนให้เห็นว่าเมืองเพชรบุรีในอดีตนั้น มีธรรมชาติที่มีความงดงามและอุดมสมบูรณ์ ซึ่งลักษณะการดำเนินชีวิตและความงดงามตามธรรมชาติในอดีตก็ยังคงมียุคให้เห็นในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น นาเกลือ การประมง และที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองเพชรบุรีที่ไม่พูดไม่ได้ นั้นก็คือ น้ำตาลโตนด ของดีของขึ้นชื่อประจำจังหวัดเพชรบุรีนั้นเอง     เอกสารสำหรับการสืบค้น       กรมศิลปากร. เรื่อง นิราศเมืองเพชร ของ สุนทรภู่, เอกสารเพื่อเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดพลับพลาชัย จังหวัดเพชรบุรี (10 ธันวาคม 2504)        นิพัทธ์  แย้มเดช และ สมบัติ  มั่งมีสุขศิริ.  (2563).  “อิสระแห่งกวี” ในนิราศภูเขาทอง และนิราศเมืองเพชร ของสุนทรภู่. วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปีที่ 17 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายน-ธันวาคม 2563.   



องค์ความรู้ส่งเสริมการอ่านผ่านออนไลน์ เรื่อง “น้ำตกเขาสอยดาว” น้ำตกเขาสอยดาว ขื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องมีความสูงมากจึงจะสอยดาวได้ น้ำตกแห่งนี้มีจำนวนชั้นน้ำตกมากที่สุด นับความสูงแล้วจะมีความสูงมากที่สุดในจำนวนน้ำตกทุกแห่งของจันทบุรี น้ำตกเขาสอยดาว อยู่ในเทือกเขาสอยดาวเหนือ เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีไปตามเส้นทางถนนสายจันทบุรี – สระแก้ว 70 กิโลเมตร แยกเข้าทางซ้ายมือระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 62-63 เข้าไปอีก 3 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยาน เป็นจุดเริ่มต้นในการเดินขึ้นไปชมน้ำตก จากที่ทำการอุทยาน เดินเท้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงริมลำธารน้ำตก สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าส่งกลิ่นหอมตลอดทาง บางตอนต้องปีนป่ายไปตามโขดและผาหิน ตัวน้ำตกเขาสอยดาวมี 16 ชั้น ต้องเดินตามทางที่เขาจัดไว้ให้ ชั้นที่สวยที่สุด คือ ชั้นที่ 9 และ 10 เป็นน้ำตกที่ไหลมาจากหน้าผามหึมา แล้วทิ้งสายลงมางดงามเบื้องล่างที่เรียกว่า วังพญางิ้วดำ จนได้ฉายาว่า “น้ำตกสอยดาว เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดของภาคตะวันออก” นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะค้างแรมสามารถกางเต็นท์ได้ แต่ไม่มีบ้านพักรับรอง ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมาเดินชมน้ำตกชั้นล่างๆ นั่งกินส้มตำ เดินดูนกดูไม้ หรือปูเสื่อนอนเล่นกัน การท่องเที่ยวในพื้นที่นี้จะต้องเข้าไปศึกษาธรรมชาติ เพราะที่นี่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ที่เหมาะมากคือการดูผีเสื้อตามลำธารที่มีหลากหลายพันธุ์สวยๆงามๆ อ้างอิง : ที่ระลึกในพิธีเปิดหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี : อัมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ. 2533. มัทธิว เจ. (2542, เมษายน). “เที่ยวป่าจันท์.” Trips Magazine. ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 : หน้า 85. ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี