ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,837 รายการ

เลขทะเบียน : นพ.บ.346/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 38 หน้า ; 4 x 55.5 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 134  (370-377) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : นิพฺพานสุตฺต (นิพพานสูตร)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


          เจดีย์หมายเลข ๑ หรือวัดปราสาท (ร้าง) ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณอู่ทอง ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ใกล้กับวัดท่าพระยาจักร (วัดช่องลม) เดิมมีลักษณะเป็นโคกเนินขนาดใหญ่ ต่อมากรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ - ๒๕๐๙ และได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑ ปัจจุบันสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้ดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงเรียบร้อยแล้ว          หลักฐานจากการดำเนินงานทางโบราณคดี พบว่า เจดีย์หมายเลข ๑ สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยทวารวดี โดยมีการซ่อมแซมและก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยต่อมา อย่างน้อยอีก ๒ ครั้ง ได้แก่  การซ่อมแซมในสมัยทวารวดี และการก่อสร้างเพิ่มเติมในสมัยอยุธยา นอกจากนี้ ทางด้านทิศเหนือของเจดีย์หมายเลข ๑ ยังพบซากเจดีย์บริวารขนาดเล็ก ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาอีกองค์หนึ่งด้วย          รูปแบบของเจดีย์หมายเลข ๑ เป็นเจดีย์ก่ออิฐสอปูน ปัจจุบันพังทลายเหลือแต่ส่วนฐาน โดยรูปแบบของฐานรองรับองค์เจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี มักจะประกอบด้วยฐานยกเก็จขนาดใหญ่รองรับเรือนธาตุ เช่นเดียวกับเจดีย์จุลประโทน และเจดีย์วัดพระประโทณเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ฐานส่วนนี้ของเจดีย์หมายเลข ๑ เป็นฐานในสมัยแรกสร้าง ซึ่งในการซ่อมในระยะเวลาต่อมา ได้มีการก่อฐานบัว เจาะช่องท้องไม้ปิดทับฐานเดิม ส่วนเรือนธาตุแม้จะพังทลายมาก แต่ก็ยังสังเกตได้ว่ามีการสร้างเสาติดผนัง          อนึ่ง เมื่อครั้งซ่อมแซมเจดีย์หมายเลข ๑ ในสมัยทวารวดี ยังได้มีการก่อฐานเป็นลานขนาดใหญ่ในผังสี่เหลี่ยมเพิ่มขึ้นมาด้วย โดยฐานนี้เป็นฐานบัววลัย ที่ประกอบด้วยลวดบัวลูกแก้วขนาดใหญ่ เจาะช่องท้องไม้ ตามแบบที่นิยมในศิลปะทวารวดี การก่อฐานเพิ่มเติมจากการก่อสร้างในครั้งแรกพบในเจดีย์สมัยทวารวดีหลายองค์ และในเมืองโบราณอู่ทองก็ยังพบตัวอย่างที่เจดีย์หมายเลข ๒ อีกด้วย          ต่อมาในสมัยอยุธยา สันนิษฐานว่าเจดีย์หมายเลข ๑ คงพังทลาย มีสภาพหักพังเป็นโคกเนิน ไม่เห็นรูปแบบของเจดีย์เดิมที่สร้างและซ่อมแซมในสมัยทวารวดี ทำให้ช่างสมัยอยุธยาก่อสร้างเจดีย์ทับด้านบน โดยไม่สัมพันธ์กับแผนผังของเจดีย์เดิม ลักษณะเช่นนี้มีตัวอย่างเช่น เจดีย์วัดธรรมศาลา จังหวัดนครปฐม รูปแบบของเจดีย์สมัยอยุธยา ปัจจุบันพังทลายเหลือแต่ร่องรอยของฐานในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีบันไดทางขึ้นด้านหน้า สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฐานไพทีรองรับเจดีย์ทรงปรางค์ เช่นเดียวกับเจดีย์วัดพระประโทณเจดีย์ จังหวัดนครปฐม           การสร้างเจดีย์สมัยอยุธยาซ้อนทับบนซากเจดีย์สมัยทวารวดี นอกจากจะช่วยเสริมรากฐานในการก่อสร้างและเพิ่มความสูงของเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์องค์เดิมที่มีผลต่อความศรัทธาของผู้คนในท้องถิ่นที่เข้ามาอยู่อาศัยในสมัยอยุธยา ดังปรากฏหลักฐานการก่อสร้างลักษณะเดียวกันนี้ ในเขตพื้นที่เมืองโบราณอู่ทอง เช่น โบราณสถานบนเขาพระ และเขาทำเทียม เป็นต้น   บรรณนุกรม กรมศิลปากร. โบราณวิทยาเรื่องเมืองอู่ทอง. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร, ๒๕๒๙. กรมศิลปากร. รายงานการสำรวจและขุดแต่งโบราณวัตถุสถาน เมืองเก่าอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี. พระนคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร, ๒๕๐๙.  เชษฐ์ สิงสัญชลี. ศิลปะไทยภายใต้แรงบัลดาลใจจากศิลปะอินเดียแบบปาละ. นนทบุรี : โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, ๒๕๕๘ ศักดิ์ชัย สายสิงห์. เจดีย์ในประเทศไทย รูปแบบ พัฒนาการและพลังศรัทธา. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๐. สันติ เล็กสุขุม, โครงการ ออกแบบหุ่นจำลองสันนิษฐานจากซากเจดีย์ที่อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี (เพื่องานจัดทำหุ่นจำลองสันนิษฐาน ติดตั้งในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง),  (เอกสารอัดสำเนา). สันติ เล็กสุขุม, ศิลปะอยุธยา: งานช่างหลวงแห่งแผ่นดิน, กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๔๒.


ชื่อผู้แต่ง           กรมพระยาดำรงราชานุภาพ , สมเด็จ ชื่อเรื่อง             ตำนานเรื่องสามก๊ก ครั้งที่พิมพ์          - สถานที่พิมพ์      พระนคร สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์พระจันทร์ ปีที่พิมพ์            ๒๕๐๕ จำนวนหน้า        ๑๑๘  หน้า หมายเหตุ          สำนักงาน ก.ต.ภ. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ร้อยตรีตวงสิทธิ์  จารุเสถียร                        ต้นตำนานของหนังสือสามก๊กนั้น ทราบว่าเดิมเรื่องสามก๊กเป็นแต่นิทานสำหรับเล่ากันอยู่ก่อน สมัยราชวงศ์ไต้เหม็ง (พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๒๑๘๖) มีนักปราชญ์จีน เมืองฮั่งจิ๋วคนหนึ่งชื่อ ล่อกวนตง คิดแต่หนังสือเรื่องสามก๊กขึ้นเป็นหนังสือ ๑๒๐ ตอน ต่อมามีนักปราชญ์จีนหลายคน นักปราชญ์จีนคนหนึ่งชื่อ จิมถ่าง เลื่อมใสในหนังสือเรื่องสามก๊ก ช่วยแก้ไขคำพังโพยของเม่าจงกัง แล้วแต่งคำอธิบายเป็นทำนองคำนำ มองให้เม่าจงกังไปแกะตัวพิมพ์ตีพิมพ์หนังสือเรื่องสามก๊กขึ้น ส่วนตำนานการแปลหนังสือสามก๊กเป็นภาษาไทยมีคำบกเล่าสืบกันมาว่าเมื่อในรัชกาลที่ ๑ มีพระราชดำรัสสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทย ๒ เรื่อง คือ เรื่องไซฮั่น เรื่อง ๑ กับ เรื่องสามก๊ก เรื่อง ๑



พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ขอประชาสัมพันธ์และเชิญชวนทุกท่าน ร่วมรับชมการบรรยายพิเศษ เรื่อง “เส้นสาย ลายไหม ผ้าไทย เมืองสุรินทร์” ในวันศุกร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ผ่านช่องทางออนไลน์ Facebook Live พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ กรมศิลปากร


ชื่อเรื่อง                     ที่ระลึกสมเด็จพระสังฆราชสกลสังฆปริณายก องค์ที่ 17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ปุ่น ปุณฺณสิริ)ผู้แต่ง                       กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ศาสนาเลขหมู่                      294.30922 ท535สถานที่พิมพ์               สุพรรณบุรีสำนักพิมพ์                 มนัสการพิมพ์ปีที่พิมพ์                    2516ลักษณะวัสดุ               130 หน้าหัวเรื่อง                     สงฆ์ – ไทย                              สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น บุญณสิริ)ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก         รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระชีวประวัติเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ตลอดจนพระราชพิธีสถาปนาฯ งานสมโภชที่จังหวัดสุพรรณบุรี และปฏิปทาในขณะดำรงเพศพรหมจรรย์อันจักเป็นแบบฉบับที่ดีของอนุชนรุ่นหลัง



กระเบื้องเชิงชาย ลายเทพนม เมืองกำแพงเพชร..กระเบื้องเชิงชายหรือที่เรียกว่ากระเบื้องหน้าอุด คือกระเบื้องมุงหลังคาแถวล่างสุดของหลังคาแต่ละตับ ส่วนใหญ่ทำเป็นทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว หรือสามเหลี่ยมด้านเท่า ทำหน้าที่กันฝน และสัตว์เข้าไปตามแนวกระเบื้อง..เทพนม ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔ หมายถึง ชื่อภาพเทวดาครึ่งตัวประนมมือ ซึ่งลายเทพนมบนกระเบื้องเชิงชายนั้นมักพบในลักษณะโครงสร้างรูปสามเหลี่ยม หันพระพักตร์ตรง ประนมพระหัตถ์เสมอพระอุระ นอกจากนี้ยังพบลายเทพนมในงานศิลปกรรมอื่น เช่น ..งานจิตรกรรม ทำลายเทพนมในพุ่มข้าวบิณฑ์บริเวณหน้าต่างอุโบสถ วัดดวงแข กรุงเทพฯงานประดับสถาปัตยกรรม พบบริเวณหน้าบัน บันแถลง ประตู หน้าต่างของโบราณสถาน เช่น ลายปูนปั้นรูปเทพนมประดับปรางค์วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลกเสมาหินชนวนสลักลายพันธุ์พฤกษาและเทพนม พบที่วัดพระนอน จังหวัดกำแพงเพชรลายเทพนมบนเครื่องถ้วยเบญจรงค์..การนำกระเบื้องเชิงชายลายเทพนมมาประดับหลังคาเหนือที่ประดิษฐานรูปพระพุทธเจ้านั้น สันนิษฐานว่าเป็นการแสดงการสักการะพระพุทธเจ้าของเหล่าเทพ หรือเป็นการสื่อถึงเทพประทับในวิมาน โดยแผ่นกระเบื้องเชิงชายเปรียบเสมือนซุ้มวิมานขององค์เทพ หรืออาจเป็นความหมายทางบุคลาธิษฐานในการเปรียบเทียบมนุษย์กับบัวสี่เหล่าของพระพุทธองค์ อันเป็นการแทนภาพของผู้ที่บรรลุโพธิญาณขั้นต้นที่หลุดพ้นจากโคลนตมใต้พื้นน้ำ..จากการศึกษากระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยาประเภทลายเทพนม ของ นายประทีป เพ็งตะโก สันนิษฐานว่า กระเบื้องเชิงชายลายเทพนมนั้นปรากฏตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นตลอดจนถึงอยุธยาตอนปลาย  ลักษณะสำคัญคือ เทพนมอยู่เหนือดอกบัวในลักษณะผุด หรือถือกำเนิดจากดอกบัว ในระยะแรกสันนิษฐานว่ามีการทำรูปดอกบัวใต้รูปเทพนมมีก้านมารองรับ จากการพบลวดลายปูนปั้นลักษณะคล้ายคลึงกันประดับปรางค์วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก ส่วนรูปดอกบัวรองรับรูปเทพนมลักษณะแบบไม่มีก้านนั้น เริ่มจากดอกตูม แล้วคลี่คลายมาเป็นดอกบาน รวมถึงมงกุฎแบบมีปุ่มแหลมเหนือกรอบกระบังหน้านิยมทำร่วมกันในสมัยอยุธยาตอนต้น ส่วนกลีบบัวที่กลายเป็นลายพันธุ์พฤกษาอยู่ในราวสมัยอยุธยาตอนกลางและปรับเปลี่ยนเป็นลายกระหนกในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ โดยลายกระหนกใต้เทพนมนั้นมักทำเป็นกระหนกสามตัวสะบัดพลิ้ว หรือทำลายอย่างอื่นแทนที่รูปดอกบัว ส่วนลักษณะมงกุฎแบบทรงเครื่องใหญ่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓..การกำหนดอายุโดยวิธีการเปรียบเทียบ (Relative Dating) สันนิษฐานว่าลวดลายในกระเบื้องเชิงชายที่พบจากการขุดแต่งวัดช้างรอบ เมืองกำแพงเพชรนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับกระเบื้องเชิงชายที่พบในโบราณสถานของเมืองพระนครศรีอยุธยา โดยอ้างอิงภาพเปรียบเทียบลายกระเบื้องเชิงชายจากการศึกษาของ นายประทีป เพ็งตะโก ได้แก่..กระเบื้องเชิงชายลายเทพนม (ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒) ลักษณะทรงสามเหลี่ยมมีหยักที่ขอบนอก ปรากฏรูปเทพนมอยู่เหนือดอกบัว ทำเส้นนูนล้อกับทรงกระเบื้องล้อมรอบเทพนมจำนวนสองเส้น มงกุฎมีการซ้อนชั้นอย่างเรียบ ปลายแหลมสูง สวมกระบังหน้า ดอกบัวรองรับเทพนมไม่มีก้าน กลีบดอกบัวมีลักษณะเรียว และเริ่มมีลักษณะเปลี่ยนเป็นลายกนกบริเวณส่วนปลายกลีบ จากการขุดแต่งวัดช้างรอบ พบกระเบื้องเชิงชายลายเทพนมลักษณะคล้ายกับที่พบจากการขุดแต่งวัดธรรมมิกราช วัดพลับพลาชัย และวัดสุวรรณาวาส จังหวัดพระนครศรีอยุธยา..เอกสารอ้างอิงคณะกรรมการดำเนินงานจัดทำศัพทานุกรมด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์. ศัพทานุกรมโบราณคดี. กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐.ประทีป เพ็งตะโก. กระเบื้องเชิงชายสมัยอยุธยา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๐. ปริวรรต ธรรมาปรีชากร และคณะ. ศิลปะเครื่องถ้วยในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : บริษัท โอสถสภาจำกัด, ๒๕๓๙.วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๕๙.สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ๒๕๕๔.



ค้นพบ “วิธีการใช้น้ำมันมะพร้าวจุดตะเกียงเจ้าพายุแทนแอลกอฮอล์” ในปี ๒๔๘๗ . เอกสารจดหมายเหตุชุดจังหวัดจันทบุรี ระบุว่าเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๗ ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งคณะกรมการจังหวัดจันทบุรีว่า นายสถานีรถไฟสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ได้ค้นพบวิธีการใช้น้ำมันมะพร้าวจุดตะเกียงเจ้าพายุแทนแอลกอฮอล์ขึ้นสำเร็จ จึงขอให้จังหวัดเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบต่อไป โดยมีคำแนะนำวิธีการใช้ดังนี้ . ---- ให้เทน้ำมันมะพร้าวใส่จานแอลกอฮอล์ ซึ่งติดอยู่ที่โคนเสาไส้ตะเกียงเจ้าพายุประมาณเศษสองส่วนสามของจาน ---- ฉีกเศษผ้า ชุบน้ำมันมะพร้าวให้ชุ่มเอาวางในจานแอลกอฮอล์ ให้บางส่วนของผ้าพ้นขึ้นมาจากน้ำมันเล็กน้อย ---- เอาไม้ขีดไฟจุดที่ผ้าซึ่งมีน้ำมันหล่อเลี้ยง พอเสาไส้ตะเกียงมีความร้อนได้ที่ จึงทำการสูบ ผลที่ได้จากการใช้น้ำมันมะพร้าวแทนแอลกอฮอล์จุดตะเกียงนี้ กรมวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองปรากฏว่าใช้แทนกันได้ดี แต่ใช้เวลานานกว่าแอลกอฮอล์เล็กน้อย . • ความเป็นมาของตะเกียงเจ้าพายุ ตะเกียงเจ้าพายุดวงแรกของโลก ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.๑๘๙๕ โดยนาย Meyenberg, Wendorf และ Henlein ได้ทำการจดลิขสิทธิ์ “ตะเกียงไอ (Vapourlamp)” เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ค.ศ.๑๘๙๕ ตะเกียงประเภทนี้นอกจากใช้ในบ้านเรือนแล้ว ยังใช้เป็นโคมไฟตามถนนหนทาง รวมถึงประภาคารเพื่อส่องแสงเจิดจ้าฝ่าความมืดผ่านมหาสมุทรเพื่อแจ้งเตือนเรือถึงภัยจากหินโสโครก . • หลักการทำงานของตะเกียงเจ้าพายุ เกิดจากหลักการเปล่งแสงของวัสดุ อันเนื่องมาจากพลังงานความร้อน (Incandescent) เหมือนกับหลอดไฟไส้ร้อนและสว่างจ้าจากกระแสไฟฟ้านั่นเอง แต่เจ้าพายุนั้นจะให้ความร้อนกับไส้ไหม (Rayon) ที่ทำมาจากสาร ceramic พวก Thorium Oxide, Cerium Oxide และ Magnesium Oxide ซึ่งสารทั้ง ๓ ตัวนี้ จะมีคุณสมบัติพิเศษ คือเปล่งแสงได้สว่างที่สุดเมื่อได้รับความร้อน โดยแสงนั้นจะสว่างจ้ากว่าเปลวไฟจากน้ำมันถึง ๖ เท่า . การให้ความร้อนกับไส้ไหมนี้ กระทำโดยพ่นน้ำมันก๊าดที่มีความดันผ่านหัวฉีด และผสมกับอากาศ และจุดให้เปลวน้ำมันก๊าดนี้ "พ่น" ผ่านไปยังไส้ไหมที่เคลือบ Oxide ไว้ โดยไส้ไหมของเจ้าพายุ จะไม่ไหม้เป็นจุณเพราะสาร ceramic ที่เคลือบไส้นี้มีจุดหลอมเหลว สูงถึง ๒,๕๕๐ องศา แต่เปลวจากไอน้ำมันก๊าดที่เผาไส้นั้นจะร้อนเพียง ๑,๔๐๐ องศาเท่านั้น ผู้สนใจสามารถค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี และระบบสืบค้นเอกสารจดหมายเหตุ https://archives.nat.go.th ผู้เรียบเรียง นางสาวสุจิณา พานิชกุล นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ------------------------------ อ้างอิง : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี. เอกสารกระทรวงมหาดไทย ชุดจังหวัดจันทบุรี จบ ๑.๒.๔/๓๑๗ เรื่องการใช้น้ำมันมะพร้าวธรรมดาแทนแอลกอฮอล์จุดตะเกียงเจ้าพายุ (๑๓ กุมภาพันธ์ - ๒๙ มีนาคม ๒๔๘๗). ตะเกียงเจ้าพายุ. เข้าถึงได้จาก https://www.thailandoutdoor.com/.../Lantern/lantern.html สืบค้นเมื่อ ๑ กันยายน ๒๕๖๕. หลักการทำงานของตะเกียงเจ้าพายุ. เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/shopoutdoorlife สืบค้นเมื่อ ๑ กันยายน ๒๕๖๕.


ศึกษาบทเรียนครั้งก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำ ๆ จากจดหมายเหตุกรณีกราดยิง ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช นครราชสีมา


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ จัดนิทรรศการ “ไอยรา ผ้าไหม เทิดไท้พระพันปีหลวง” เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้พสกนิกรได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ระหว่างวันที่ ๙ - ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ โดยบูรณาการร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ องค์การบริหารส่วนตำบลสวาย มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสุรินทร์ สภาวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ สภาวัฒนธรรมอำเภอเมืองสุรินทร์ หอการค้าจังหวัดสุรินทร์ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุรินทร์ และชมรมถ่ายภาพสมัครเล่นเมืองช้าง   กิจกรรมประกอบด้วย - นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์ ณ ห้องธรรมชาติวิทยา - นิทรรศการผ้าไหม จากองค์การบริหารส่วนตำบลสวาย - นิทรรศการผ้าไทยร่วมสมัย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ - นิทรรศการภาพถ่ายไอยรา  จากชมรมถ่ายภาพสมัครเล่นเมืองช้าง   ณ บริเวณหน้าห้องสุรินทร์ดินแดนช้าง และบริเวณระเบียงทางเข้าอาคาร - ชมการสาธิต/จำหน่าย อาหารท้องถิ่น-หากินยาก  กันตรึมดนตรีวิถีสุรินทร์ จากองค์การบริหารส่วนตำบลสวาย -กิจกรรม "จาฦก ไว้ในความทรงจำ" (แต่งไหม ในพิพิธภัณฑ์) และการประกวดถ่ายภาพแต่งกายผ้าไทยในงาน “ไอยรา ผ้าไหม เทิดไท้พระพันปีหลวง” โดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์    พิธีเปิด เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. โดย นางทรงลักษณ์  วรภัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธาน ทำพิธีเปิดกรวยสักการะฯ กล่าวถวายราชสดุดี จากนั้นเป็นการแสดงแบบแฟชั่นยุวชน จากสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว/สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุรินทร์   การแสดงแฟชั่นผ้าไหมร่วมสมัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ การแสดงจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์  ประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการจัดกิจกรรม บันทึกภาพ และเดินเยี่ยมชมนิทรรศการ


ชื่อเรื่อง                     ที่ระลึกสยามรัฐพิพิธภัณฑ์สวนลุมพินี พุทธศักราช 2468ผู้แต่ง                       -ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ประวัติศาสตร์ทวีปเอเชียเลขหมู่                      959.3 ท535ทสถานที่พิมพ์               กรุงเทพฯสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์กรุงเทพฯ เดลิเมล์ปีที่พิมพ์                    2470ลักษณะวัสดุ               632 หน้าหัวเรื่อง                     ไทย -- ประวัติศาสตร์                                 ภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก หนังสือเล่มนี้พิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ประวัติการอันเป็นตำนานแห่งชาติยุคพระราชพงษาวดารสยามตั้งแต่กรุงศุโขทัยเป็นราชธานีตลอดมาจนรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นการแพร่หลายเพิ่มจำนวนสมุดให้ไพศาลยิ่งขึ้นทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ นอกจากประวัติการดังกล่าวมาแล้วจักได้แสดงนามสถิติพยากรณ์แห่งการพาณิชและธุระการต่างๆ ไว้เป็นหลักแห่งการอาชีพของผู้พึงปรารถนาที่จะค้นคว้าหาเงื่อนเค้า ทั้งประกอบภาพอันมีค่าของพระมหานครให้เป็นที่เจริญตาแห่งผู้ประสพอีกด้วย  


         ประติมากรรมรูปคนแคระ สมัยทวารวดี          ประติมากรรมรูปคนแคระ จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง           ประติมากรรมปูนปั้นนูนสูงรูปคนแคระ กว้าง ๑๘ เซนติเมตร สูง ๒๓ เซนติเมตร มีใบหน้ากลมแบน คิ้วเป็นสันนูนต่อกันเป็นปีกกา ตาโปนเหลือบต่ำ จมูกแบนใหญ่ ปากกว้างอมยิ้ม ผมเรียบ สวมตุ้มหูทรงกลมแบนขนาดใหญ่ ซึ่งลักษณะใบหน้าและการสวมตุ้มหูรูปแบบนี้เป็นลักษณะเฉพาะที่พบในประติมากรรมดินเผาและปูนปั้นรูปบุคคล ยักษ์ และคนแคระในสมัยทวารวดี ลำตัวอวบอ้วนมีหน้าท้องใหญ่ อยู่ในท่านั่งชันเข่า แยกขา วางมือบนหัวเข่า แขนขวาและขวาขวาหักหายไป กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖ หรือประมาณ ๑,๐๐๐ - ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว          ประติมากรรมปูนปั้นชิ้นนี้ สันนิษฐานว่าเป็นส่วนประกอบสถาปัตยกรรม โดยประดับอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมบริเวณส่วนฐานของอาคาร ตามคติผู้พิทักษ์และค้ำจุนศาสนา จึงนิยมเรียกว่า “คนแคระแบก” การประดับประติมากรรมรูปคนแคระที่ส่วนฐานหรือส่วนอื่น ๆ ของสถาปัตยกรรมปรากฏมาแล้วในศิลปะอินเดีย และส่งอิทธิพลทางด้านรูปแบบ และคติการสร้างให้งานศิลปกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย เป็นต้น           นอกจากประติมากรรมชิ้นนี้แล้ว ยังพบประติมากรรมรูปคนแคระได้ทั่วไปตามเมืองโบราณสมัยทวารวดี โดยพบทั้งประติมากรรมปูนปั้นและดินเผา มีลักษณะร่วมกันคือเป็นบุคคลมีรูปร่างอวบอ้วน สวมตุ้มหูทรงกลมขนาดใหญ่ นั่งชันเข่า แยกขา แสดงท่าแบกโดยมีทั้งแบบที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นแบก และวางมือทั้งสองข้างบนเข่าโดยใช้ไหล่แบกรับน้ำหนัก ส่วนมากมีศีรษะเป็นคน พบที่เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี วัดนครโกษา จังหวัดลพบุรี และเมืองโบราณโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบประติมากรรมรูปคนแคระที่มีศีรษะเป็นสัตว์ เช่น สิงห์ ลิง วัว ด้วย แต่มีจำนวนไม่มากนัก พบที่โบราณสถานเขาคลังใน เมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น   เอกสารอ้างอิง ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒. วรพงศ์  อภินันทเวช. “ประติมากรรมคนแคระในวัฒนธรรมทวารวดี: รูปแบบและความหมาย”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๕.


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           39/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              26 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 59 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


black ribbon.