ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ



เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมายุ ๕๐ พรรษาบริบูรณ์ นับเป็นมหามงคลสมัยอันประเสริฐยิ่ง กอปรกับเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัตินับได้หมื่นวันเศษ ซึ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฉลองสมโภช จึงทรงพระราชดำริเพื่ออนุวัตร ตามโบราณบุรพราชประเพณีอันมีมาแต่ก่อน โดยทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธร เทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ทรงพระเจริญเพียบพร้อมด้วยพระคุณสมบัติ และทรงปฏิบัติพระองค์ ตามแบบแผนขัตติยราชกุมารี สนองพระเดชพระคุณในพระราชภารกิจที่ทรงมอบหมายแทนพระองค์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กอปรทั้งมีพระราชหฤทัยเปี่ยมไปด้วยความรักชาติ ศาสนา และทรงจงรักภักดีต่อพระบรมราชวงศ์เป็นอย่างยิ่ง ในมหามงคลสมัยการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษานั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนาพระราชอิสริยศักดิ์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ เป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นเกียรติประวัติตามโบราณราชประเพณีเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย สถาปนาและเฉลิมพระนามพระบรมวงศ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามราชประเพณีซึ่งมีสืบมาแต่โบราณ โดยทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เป็นพระโสทรกนิษฐภคินีที่ได้ทรงร่วมสุขร่วมทุกข์ มาแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อทรงเจริญพระชนมายุก็ได้ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนีด้วยพระวิริยอุตสาหะ เป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติและอาณาประชาราษฎร์อย่างใหญ่หลวงเป็นอเนกประการ ครั้นในรัชกาลปัจจุบัน ก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในหลายวาระ และช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจน้อยใหญ่ที่สืบเนื่องมาแต่ครั้ง รัชสมัยสมเด็จพระบรมชนกนาถให้ดำเนินลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมควจะยกย่องพระเกียรติยศ ตามฐานะแห่งพระบรมราชวงศ์ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมใหเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี


ชื่อเรื่อง                     เส้นทางสายไหม สายใยแห่งวัฒนธรรมชุมชนผู้แต่ง                       คณะกรรมการเรียนรู้ปลูกหมอนเลี้ยงไหม และวัฒนธรรมชุมชน            ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN                 -หมวดหมู่                   เทคโนโลยี เลขหมู่                      677.391242 ค123สสถานที่พิมพ์               สุพรรณบุรีสำนักพิมพ์                 คณะกรรมการเรียนรู้ปลูกหมอนเลี้ยงไหม และวัฒนธรรมชุมชน  ปีที่พิมพ์                    2545ลักษณะวัสดุ               86 หน้า : ภาพประกอบ ; 29 ซม.หัวเรื่อง                     ผ้าไหม                              การทอผ้าภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก          เส้นทางสายไหม สายใยแห่งวัฒนธรรมชุมชน เป็นหนังสือที่ได้รวบรวมความเป็นมาของเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้ด้านการทอผ้าของจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 8 แห่งคือ บ้านทุ่งแสม บ้านโปร่งกระมั่ง อำเภอหนองหญ้าไซ, บ้านวังทอง บ้านใหม่ดอนคา บ้านขามใต้ อำเภออู่ทอง, บ้านหนองสานแตร อำเภอดอนเจดีย์, บ้านทุ่งก้านเหลือง อำเภอเดิมบางนางบวช และบ้านดอนมะนาว อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี



          เปิดประสบการณ์ใหม่ ครั้งแรกที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานหาดใหญ่ ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมรับฟังดนตรีในพิพิธภัณฑ์ กับกิจกรรม “พิพิธบรรเลงเพลงวัฒนธรรม Music and Night at the Museum ” ตลอดจนชวนมาทอดน่องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในกิจกรรม “ยลพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน” ในวันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 17.00น. - 21.00น.            โดยภายในงานจะได้พบกับการบรรเลงดนตรีไทยสากล โดย เยาวชนโรงเรียนเทศบาล 5 (วัดหัวป้อมนอก) ณ สนามหญ้าด้านหลังอาคาร (ฝั่งถนนจะนะ ติดกับถนนคนเดิน)เวลา 17.30น. - 18.30น. :และการบรรเลงดนตรีทางวัฒนธรรมกึ่งการเสวนาให้ความรู้ โดย อัสลีมาลา ณ ลานกิจกรรมหน้าบันไดโค้ง เวลา 19.00น. - 20.30 น.             อนึ่ง กิจกรรมนี้เกิดขึ้นเพื่อขยายเวลาในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ให้ครอบคลุมผู้ใช้บริการทุกกลุ่มวัย และก้าวไปสู่การเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของจังหวัดและของชาติ  ผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 7431 1728 


          กรมศิลปากรและยูเนสโก ประกาศเชิญนักอนุรักษ์ ช่างอนุรักษ์ และผู้ควบคุมงานอนุรักษ์ เข้าร่วมการอบรมและส่งผลงานเพื่อรับประกาศนียบัตรรับรองการปฏิบัติงานอนุรักษ์โบราณสถานของกรมศิลปากร รุ่นที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๕) โดยจะอบรมระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๒ กันยายน ๒๕๖๕ ในรูปแบบกึ่งออนไลน์ ผู้สนใจกรอกใบสมัครได้ที่ https://bit.ly/cccp2-a ตั้งแต่บัดนี้ถึง ๕ กันยายน ๒๕๖๕            กรมศิลปากรมีความประสงค์จะดำเนินการสร้างมาตรฐานในการปฏิบัติงานอนุรักษ์โบราณสถาน ให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการอนุรักษ์ แก้ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรพร้อมกับพัฒนาบุคลากรในระบบให้มีมาตรฐานเดียวกัน โดยมุ่งสร้างบุคลากรผู้ปฏิบัติงานอนุรักษ์จำนวน ๓ สาขา ได้แก่  นักอนุรักษ์ ช่างอนุรักษ์ และผู้ควบคุมงานอนุรักษ์ ให้เข้ารับการอบรมทำความเข้าใจในหลักและวิธีการเพื่อสร้างมาตรฐานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และจะดำเนินการต่อเนื่องต่อไปทุกปี เมื่อกรมศิลปากรสามารถผลิตและรับรองบุคคลากรผู้ปฏิบัติงานอนุรักษ์โบราณสถานในระบบได้มากเพียงพอจะประกาศเป็นเกณฑ์ในการควบคุมมาตรฐานผู้ปฏิบัติงานอนุรักษ์โบราณสถานของกรมศิลปากรต่อไป           กลุ่มเป้าหมายแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ ๑: ต่อยอดประสบการณ์ จำนวน ๘๐ คน โดยเป็นผู้ออกแบบหรือกำหนดวิธีการในการอนุรักษ์ หรือ ช่างอนุรักษ์งานอิฐ - ปูน งานไม้ และงานหิน หรือ ผู้ควบคุมงานอนุรักษ์ มีประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์โบราณสถานตั้งแต่ ๑๐ ปี ขึ้นไป และมีผลงานที่มีคุณภาพมานำเสนอ ๓ ผลงาน กลุ่มที่ ๒: สร้างเสริมประสบการณ์ จำนวน ๓๐ คน โดยเป็นผู้ออกแบบหรือกำหนดวิธีการในการอนุรักษ์ หรือ ช่างอนุรักษ์งานอิฐ-ปูน และงานไม้ หรือ ผู้ควบคุมงานอนุรักษ์ มีประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์โบราณสถานตั้งแต่ ๕ ปีขึ้นไปแต่น้อยกว่า ๑๐ ปี หรือมีผลงานที่มีคุณภาพมานำเสนอไม่ถึง ๓ ผลงาน ทั้งนี้ เมื่ออบรมสำเร็จจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการปฏิบัติงานอนุรักษ์โบราณสถานของกรมศิลปากร รุ่นที่ ๒ จากอธิบดีกรมศิลปากร            กรมศิลปากร จึงขอเชิญชวน นักอนุรักษ์ ช่างอนุรักษ์ และผู้ควบคุมงานอนุรักษ์ สมัครเข้าร่วมการอบรมและส่งผลงานเพื่อรับใบรับรองในการปฏิบัติงานอนุรักษ์โบราณสถานของกรมศิลปากร รุ่นที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๒ กันยายน ๒๕๖๕ ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดคุณสมบัติผู้เข้ารับการอบรม สาขาปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ร่างกำหนดการการอบรม และรายละเอียดการส่งผลงาน ได้ทาง https://bit.ly/cccp2-th  


วัดลุ่มหรือวัดลุ่มมหาชัยชุมพล ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดระยอง วัดลุ่มหรือวัดลุ่มมหาชัยชุมพลตั้งอยู่ที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยองตามประวัติวัดระบุว่าสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. ๒๒๓๔ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารหรือหลักฐานศิลปกรรมที่ยืนยันได้แน่ชัด โดยเรื่องราวเกี่ยวกับวัดลุ่มปรากฏในหลักฐานเอกสารพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระยาวชิรปราการ (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)ได้ยกทัพตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยามาทางหัวเมืองตะวันออกเพื่อรวบรวมกำลังไพร่พลกลับไปกอบกู้ กรุงศรีอยุธยาในราวปี พ.ศ. ๒๓๐๙ โดยเมื่อมาถึงเมืองระยองแล้วกองทัพของพระยาวชิรปราการได้ตั้งค่าย พักไพร่พลที่บริเวณวัดลุ่ม ดังความว่า “...รุ่งขึ้นประทับแรมน้ำเก่า ผู้รั้งเมืองระยอง กรมการทั้งปวงชวนกันมาต้อนรับเสด็จ ถวายธัญญาหารเกวียนหนึ่ง เสด็จดำเนินมาถึงประตูจึงพระราชทานปืนคาบศิลา บอกหนึ่งแก่ผู้รั้งเมืองระยองแล้วเสด็จมาประทับอยู่ณ วัดลุ่ม ๒ เวน รับสั่งให้จัดลำเลียงอาหารขุดค่ายคู แลนายบุญรอดแขนอ่อน นายบุญมาน้องเมียพระยาจันทบูรเข้าถวายตัวทำราชการอยู่ด้วย…” ในระหว่างที่พระยาวชิรปราการตั้งค่ายพักไพร่พลอยู่ที่วัดลุ่มนี้ กรมการเมืองระยองคิดระแวงว่าพระยาวชิรปราการเป็นกบฏหนีทัพออกมาจากกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากในเวลานั้นกรุงศรีอยุธยายังไม่แตก จึงคิดต่อต้านและยกไพล่พลเข้าตีกองทัพของพระยาวชิรปราการ โดยยกไพล่พลข้ามสะพาน “วัดเนิน”เข้ามาใกล้ค่ายของพระยาวชิรปราการที่วัดลุ่ม แต่ก็พ่ายแพ้กลับไป โดยวัดเนินที่ปรากฏอยู่ในหลักฐานเอกสารดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของวัดลุ่ม ซึ่งปัจจุบันหลงเหลือหลักฐานเพียงแค่ซากเจดีย์ ๑ องค์เท่านั้น จากข้อความที่กล่าวถึงวัดลุ่มในหลักฐานเอกสารดังกล่าว ทำให้สันนิษฐานได้ว่า วัดลุ่มหรือวัดลุ่มมหาชัยชุมพลนี้น่าจะสร้างขึ้นเป็นวัดมาแล้วอย่างน้อยก่อนปี พ.ศ. ๒๓๐๙ และคงเป็นวัดเรื่อยมาในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ โบราณสถานสำคัญภายในวัดลุ่มมหาชัยชุมพลนี้ ได้แก่ พระอุโบสถ (หลังเก่า) มีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนในแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดความกว้างประมาณ ๗ เมตร ยาว ๑๕ เมตร ด้านหน้าหรือทางด้านตะวันออกมีการต่อชายคาออกมาและก่ออิฐถือปูนเป็นผนังรับเสาชายคาโดยเว้นช่องทางเข้า - ออกด้านข้างทั้ง ๒ ข้างซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะของอุโบสถในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่มีความเป็นพื้นถิ่น โดยมักพบอุโบสถลักษณะนี้ในวัดแถบจังหวัดระยองที่สร้างขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว อาทิ วัดบ้านแลง วัดบ้านเก่า วัดนาตาขวัญ เป็นต้น ฐานพระอุโบสถเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่อยู่บนฐานเขียงซ้อนกันสองชั้นเตี้ย ๆ พระอุโบสถมีประตูเข้า - ออกทางเดียวอยู่ทางด้านตะวันออก มีหน้าต่างด้านละ ๕ บานซุ้มประตูและหน้าต่างตกแต่งด้วยปูนปั้นลายใบเทศและดอกไม้บริเวณพื้นที่ว่างกลางซุ้มหน้าต่างตกแต่งด้วยปูนปั้นรูปครุฑยุดนาค หลังคาของพระอุโบสถเป็นหลังคาทรงจั่วซ้อนกัน ๒ ชั้น ชั้นละ ๒ ตับ โครงสร้างหลังคาไม้มุงด้วยกระเบื้องมุงหลังคาดินเผา หน้าจั่วประดับเครื่องลำยองไม้ ประกอบด้วย ช่อฟ้า ใบระกา นาคสะดุ้งและหางหงส์ หน้าบันประดับด้วยปูนปั้นทาสีอิทธิพลศิลปะจีน โดยหน้าบันด้านตะวันออกประดับด้วยปูนปั้นรูปมังกร ลายพรรณพฤกษา และรูปสัตว์ขนาดเล็ก ส่วนหน้าบันด้านตะวันตกประดับด้วยปูนปั้นรูปหงส์ ลายพรรณพฤกษา และรูปสัตว์ขนาดเล็ก ภายในพระอุโบสถมีแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปประธานและพระสาวก ซึ่งพระพุทธรูปประธานเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ รอบพระอุโบสถไม่ปรากฏใบเสมา สันนิษฐานว่า อาจถูกเคลื่อนย้ายไปประดิษฐานรอบพระอุโบสถ หลังใหม่ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานวัดลุ่มมหาชัยชุมพล ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๕ ตอนพิเศษ ๓๘ง ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๑ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๒ ไร่ ๑ งาน ๗๓ ตารางวา เอกสารอ้างอิง กรมการศาสนา. (๒๕๔๔). ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๒๐. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์การศาสนา. ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๓. (๒๕๔๒). กรุงเทพ ฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี. (๒๕๕๑). โบราณสำคัญเมืองระยอง. เอกสารอัดสำเนา. สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี. (ม.ป.ป). วัดลุ่มมหาชัยชุมพล. เอกสารอัดสำเนา. ผู้เรียบเรียง นางสาวเลิศลักษณ์ สุริมานนท์ นักโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี #สำนักศิลปากรที่๕ปราจีนบุรี #กรมศิลปากร #กระทรวงวัฒนธรรม


          วันที่​ ๕ ตุลาคม​ ๒๕๖๕​ ทีมนักวิทยาศาสตร์​จากกลุ่มวิทยาศาสตร์​เพื่อการอนุรักษ์​ สำนักพิพิธภัณฑสถาน​แห่งชาติ​ และทีมภัณฑารักษ์​ จากพิพิธภัณฑสถาน​แห่งชาติ​เชียงใหม่​ ร่วมกันดำเนินการจัดทำทะเบียน​ อนุรักษ์​สภาพโบราณ​วัตถุ​ และทำการตรวจองค์ประกอบ​ของธาตุภายในเนื้อโลหะ​ (XRF)​ ของโบราณ​วัตถุเพื่อจำแนกประเภท​ อายุสมัยของโบราณ​วัตถุ​ และกำหนดแนวทางอนุรักษ์​ในเชิงลึก            การดำเนินการในวันนี้​ ผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มวิทยาศาสตร์​เพื่อการอนุรักษ์​ สามารถเปิดองค์เจดีย์​จำลอง​โลหะที่เคยมีการค้นพบมาก่อนหน้านี้ได้​ พบว่าภายในส่วนองค์ระฆัง​ บรรจุวัตถุชิ้นสำคัญ​ ประกอบด้วย​ พระแกะจากหินแก้ว​ เม็ดพระธาตุ​ เม็ดหินแก้ว​ และแผ่นจารึกลานเงิน​ ปะปนร่วมกับอินทรีย์​วัตถุ           ในส่วนของแผ่นจารึกลานเงิน​ นักวิทยาศาสตร์​ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ​ขั้นตอนอนุรักษ์​เพื่อรักษา​สภาพ​และเผยให้เห็นพื้นผิวดั้งเดิม​ของวัตถุ​ ซึ่งจะส่งต่อให้นักอ่านจารึกและนักอักษร​โบราณ​ร่วมกันอ่านและวิเคราะห์​แปลความเพื่อสร้างองค์​ความรู้​เกี่ยวกับ​วัดศรีสุพรรณ​ในลำดับต่อไป



6 จังหวัด ได้แก่  ชุมพร  สุราษฎร์ธานี  นครศรีธรรมราช  พัทลุง สงขลา เเละสตูล


คติรัตนตรัยมหายาน จัดทำโดยนักศึกษาฝึกประสบการณ์  นางสาวศศิกานต์ ค้าขาย คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           38/2ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              50 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 53 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


  องค์ความรู้ เรื่อง "สิม วัดสว่างบัวมาศ"   สิม วัดสว่างบัวมาศ ตั้งอยู่ที่ บ้านบ้วมาศ  ตำบลบัวมาศ  อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เป็นสิมแบบสิมทึบ ในแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดสี่ห้อง หันหน้าไปทางตะวันออก โครงสร้างหลังคาเดินเป็นไม้ แต่ปัจจุบันซ่อมเปลี่ยนเป็นวัสดุใหม่ไปแล้ว   ส่วนฐานอาคารทำเป็นชุดบัวลูกแก้วอกไก่ ตัวอาคารผนังก่อเป็นช่องหน้าต่างวงโค้ง ตอนล่างทำเป็นช่องวงโค้งรูปไข่แต่ทำเป็นหน้าต่างหลอก ใช้วงโค้งเป็นช่องแสงเข้าไปในตัวอาคาร ภายในทำฐานชุกชีเป็นแนวยาวตลอดผนังด้านตะวันตกตามแบบสิมในวัฒนธรรมล้านช้างทั่วไป    สำหรับพระพุทธรูปประธานถูกย้ายออกไปยังสิมหลังใหม่แล้วทั้งหมด ไม่มีภาพจิตรกรรมในสิม ผนังด้านนอกประดับด้วยลายปูนปั้น มีการทำหน้าต่างหลอกรูปแบบเดียวกัน แต่ปั้นปูนเป็นทวารบาลรูปตำรวจประดับไว้ ส่วนเหนือวงโค้งหน้าต่างทำปั้นลายเป็นรูปครุฑกางปีก ยอดหัวเสาปั้นลายลิงถือรังผึ้ง ซุ้มประตูทำเป็นวงโค้งประดับปูนปั้นเป็นภาพราหูอมจันทร์ หน้าบันประดับลายปูนปั้นเต็มพื้นที่เป็นภาพพระพุทธเจ้าท่ามกลางลายใบอะแคนทัส (acanthus) หรือ ผักกูดฝรั่ง มีนกยุงอินเดียประดับแทรกอยู่ หน้าบันด้านหลังประดับเป็นลายพระพุทธเจ้าอยู่ทาามกลางลายดอกไม้ ใบไม้แบบฝรั่งแทรกด้วยกระรอก นก  ลิงถือรังผึ้งประดับอยู่   สิม หลังนี้แม้จะไม่มีประวัติการก่อสร้างที่แน่ชัด  แต่จากรูปแบบศิลปกรรมแบบสิมญวนที่ปรากฏอยู่ทั้งการใช้วงโค้งเหนือกรอบประตูและหน้าต่าง การใช้ลายปูนปั้นแบบตะวันตกก็สามารถประมาณอายุที่สร้างได้ในราว พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา ซึ่งจัดเป็นช่วงปลายๆอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบสิมญวนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสดงถึงการเข้ามาของศิลปะเวียดนามรุ่นหลัง ๆ ที่มีอิทธิพลอยู่ในงานสถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่นและงานประดับตกแต่งในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2450-2500  ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย   มีโอกาส ขอเชิญชวนทุกท่านเเวะไปชมสิมหลังงามอีกแห่งหนึ่งของอำเภอบรบือกันนะครับ   เรียบเรียงนำเสนอโดย นายกิตติพงษ์ สนเล็ก นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 133/2 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 169/2 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


black ribbon.