ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,351 รายการ

รายงานการดำเนินงานทางโบราณคดี กลุ่มโบราณสถานเขาพระบาทใหญ่ พ.ศ.2563 #แจกไฟล์PDFฟรี . ---อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยขอเผยแพร่รายงานการดำเนินงานทางโบราณคดี "โครงการขุดแต่งทางโบราณคดี เพื่อออกแบบบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์ กลุ่มโบราณสถานเขาพระบาทใหญ่" สามารถดาวน์โหลดเพื่ออ่านหรือใช้ในการศึกษาตามลิ้งก์ที่แนบนี้ >>> https://drive.google.com/.../10l0fRTLev.../view... . ---กรมศิลปากร โดยอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้ดำเนินงานโครงการขุดแต่งทางโบราณคดี เพื่อออกแบบบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์กลุ่มโบราณสถานเขาพระบาทใหญ่ ปีงบประมาณ พ.ศ.2563 เป็นการขุดแต่งทางโบราณคดีเพื่อศึกษาโบราณสถาน จำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย โบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ (ต.ต.45) โบราณสถานวัดกุฏิชี (ต.ต.46) โบราณสถานร้าง ต.ต.47 และโบราณสถานร้าง ต.ต.48 อีกทั้งยังได้ทำการขุดค้นทางโบราณคดีขนาด 2x2 เมตร จำนวน 3  หลุม (โบราณสถานแห่งละ 1 หลุม ยกเว้นโบราณสถานร้าง ต.ต.47) .   ---ผลจากการดำเนินงานทางโบราณคดี พบว่า กลุ่มโบราณสถานบนเขาพระบาทใหญ่ทั้ง 4 แห่ง น่าจะมีการใช้งานอยู่ในช่วงสมัยสุโขทัยช่วงปลาย (ตั้งแต่รัชสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไทลงมา)  ราวพุทธศตวรรษที่ 20 – 22 โดยโบราณสถานวัดเขาพระบาทใหญ่ (ต.ต. 45) ประกอบไปด้วยเนิน โบราณสถาน 2 แห่ง คือเนินโบราณสถานหลักที่มีการก่อสร้างวิหารและฐานประดิษฐานรอย พระพุทธบาทอยู่ด้านบนเนิน และทิศตะวันตกของเนินโบราณสถานหลักพบเป็นอาคารก่อหิน และ ลานหินปูพื้น สันนิษฐานว่าคงเป็นบริเวณเขตสังฆาวาส โบราณสถานวัดกุฏิชี(ต.ต. 46) ประกอบด้วย โบราณสถานหลักของวัดเป็นอาคารก่อหินที่ตั้งอยู่กลางเนินเขา และกลุ่มหินที่เรียงเป็นแนวอยู่รอบ ๆ ปลายเนิน ล้อมรอบโบราณสถานหลักของเนินเขา มีจำนวนทั้งสิ้น 12 จุด ส่วนโบราณสถานร้าง  ต.ต. 47 เป็นแนวหินที่เรียงกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าภายในอัดดินถมดิน และโบราณสถานร้าง ต.ต. 48 พบเป็นวิหาร และเจดีย์ก่ออิฐอยู่ด้านบนเนินที่เกิดจากการเรียงหินเป็นคันขอบ นอกจากนี้ยังพบ หลักฐานทางโบราณคดีอีกหลากหลายประเภท ทั้งชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจีน รวมถึง หลักฐานที่เกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม เช่น ตะปูเหล็ก กระเบื้องดินเผา อิฐ ศิลาแลง หิน และยังพบ หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและศาสนา เช่น ชิ้นส่วนพระพุทธรูปปูนปั้น แผ่นหินสลักภาพ พระพุทธรูป ตะคันดินเผา และใบเสมาหินมีจารึก เป็นต้น .  ---อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินการขุดแต่ง และศึกษาในโครงการนี้เป็นเพียงรายงานเบื้องต้นที่ นำเสนอหลักฐานต่าง ๆ จากการดำเนินงานภาคสนาม อีกทั้งยังเป็นการวิเคราะห์ตีความในเบื้องต้น เท่านั้น จึงยังมีประเด็นที่ยังขาดหายไป หากมีการกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์ หรือมีการศึกษา เพิ่มเติม อาจทำให้จะได้ข้อสันนิษฐานใหม่ที่สนับสนุนหรือขัดแย้งกับการวิเคราะห์และแปลความใน การศึกษาครั้งนี้ด้วย ซึ่งกรมศิลปากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา โบราณสถานของเมืองสุโขทัยต่อไป



เลขทะเบียน : นพ.บ.118/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ :  62 หน้า ; 4.7 x 57 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา  ชื่อชุด : มัดที่ 66 (209-213) ผูก 7 (2564)หัวเรื่อง : สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (พระวิภงฺคปกรณา-พระสมนฺต มหาปฎฺฐาน)--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ขอมภาษา : บาลี-ไทยบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ชื่อเรื่อง            ความรู้ทางกะจายเสียง ครั้งที่พิมพ์        พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์      พระนคร สำนักพิมพ์       โรงพิมพ์โสภณพิพัทธนากร ปีที่พิมพ์            ๒๔๘๕              จำนวนหน้า       ๔๙ หน้า  หมายเหตุ   -                หนังสือชุดความรู้ทางกระจายเสียงของกรมโคสนาการ ภาคที่ ๒๑ ของสามัคคีชัย โดยประกอบด้วยเรื่อง “ไทยหยู่คู่ฟ้าเพราะอะไร” “ชาติไทยไต่ลวดข้ามเหวไห้ดี” “มาลานำไทยเปนมหาอำนาด” “ไทยจะร่ำรวยเพราะอะไร” “ฉันเห็นอุทกภัยสองครั้ง” “ฉันไม่กลัวอุทกภัยแล้ว” “กรุงเทพฯ เป็นเวนิสแน่” และ “ไต้พระจันทร์ไม่มีของไหม่” รวมทั้งหมด ๘ เรื่อง



วงศ์สวรรค์จันทวาส ชบ.ส ๑ พะครูสุทธิคุณรังษี เจ้าอาวาสวัดรังษีสุทธาวาส ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มอบให้หอสมุด ๙ ก.ค. ๒๕๓๕ เอกสารโบราณ (สมุดไทย)


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน) เลขที่ ชบ.บ.17/1-4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


ชื่อเรื่อง : ซุยถัง เล่ม 5ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2510 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภาจำนวนหน้า : 334 หน้าสาระสังเขป : ซุยถัง เป็นพงศาวดารจีนที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย โดยเรื่องราวเกิดในสมัยกษัตริย์จีนราชวงศ์ซุย และราชวงศ์ถังตอนต้น (พ.ศ. 1132-1161) เรื่องราวบอกเล่าเหตุการณ์ช่วงราชวงศ์ซุยแผ่นดินเกิดการจลาจล เหล่าผู้กล้าต่างรวมตัวต่อต้านราชวงศ์ซุย โดยในเล่มนี้เป็นเรื่องราวซุยถังในตอนที่ 5


ที่มาของโครงการ           ผลจากการดำเนินงาน “โครงการสำรวจและปรับปรุงฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง” ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลาที่ผ่านมา พบว่าบริเวณอำเภอห้วยยอดเป็นแหล่งพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ โดยพบแหล่งโบราณคดีมากกว่า ๓๐ แหล่งและพบความต่อเนื่องของหลักฐาน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ เรื่อยมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘ ซึ่งจากการดำเนินงานครั้งนั้น พบหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าสนใจบริเวณ “กลุ่มแหล่งโบราณคดีเขานุ้ย - เขาคุรำ – เขาหัวพาน” ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น ชิ้นส่วนทองคำ ลูกเต๋าทำจากงาช้าง ลูกปัดทำจากหิน แก้ว ทอง ชิ้นส่วนเครื่องมือโลหะ เบ็ด เมล็ดข้าว ภาชนะดินเผาสามขา ชิ้นส่วนภาชนะดินเผารูปทรงต่างๆ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันทางชุมชนได้ร่วมกันจัดตั้งพิพิธภัณฑ์บ้านนาเปขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมโบราณวัตถุที่พบโดยชาวบ้านไว้ โดยในปีพ.ศ. ๒๕๖๓ ทางสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ได้จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเข้าไปสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการโบราณคดีโดยการจัดทำป้ายนิทรรศการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์บ้านนาเป           ดังนั้น เพื่อเป็นการเติมเต็มองค์ความรู้ทางด้านโบราณคดี และเป็นการอนุรักษ์ พัฒนาแหล่งโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากท่านประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากรและท่านอรุณศักดิ์ กิ่งมณี รองอธิบดีกรมศิลปากร อนุมัติงบโครงการบูรณะโบราณสถานฉุกเฉินเร่งด่วนกรมศิลปากร ดำเนินการขุดค้นแหล่งโบราณคดีเขาคุรำโดยทำการศึกษาและเก็บข้อมูลทางด้านโบราณคดีอย่างเป็นระบบ ซึ่งผลที่ได้จากการศึกษา นอกจากจะเป็นประโยชน์ในวงการวิชาการแล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอดในการหาแนวทางในการอนุรักษ์ พัฒนา และการบริหารจัดการแหล่งโบราณคดีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก่อให้เกิดการอนุรักษ์และรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน กิจกรรมของโครงการ           ๑. ดำเนินการขุดค้นทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีเขาคุรำ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ในวันที่ ๑๔ มกราคม - ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๔             ๒. จัดทำฐานข้อมูลแหล่งโบราณคดีที่พบภาชนะดินเผาสามขาในภาคใต้           ทั้งนี้ ทางสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ต้องขอขอบพระคุณ พระอาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโมหรือพระครูรัตนสิกขการ เจ้าอาวาสวัดในเตา ลุงไพโรจน์ จงจิตร์ อดีตกำนันตำบลเขากอบ กำนันดำรงศักดิ์ วรรณบวร กำนันตำบลเขากอบ ผู้ใหญ่สุริยนต์ ทองศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๑๒ สจ.กิตติเดช วรรรณบวร หน่วยงานอบต.เขากอบ และชาวบ้านชุมชนบ้านนาเปทุกท่านที่สนับสนุนการดำเนินงานของสำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา ทั้งนี้ ทางสำนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินงานในครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการช่วยกันอนุรักษ์รักษามรดกทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ------------------------------------------------------ที่มาของข้อมูล : สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/1353302101674616?notif_id=1610699837950484&notif_t=page_post_reaction&ref=notif-----------------------------------------------------


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. มงคลสูตรคำฉันท์.  กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2521                 หนังสือมงคลสูตรคำฉันท์นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่ออธิบายความในมงคลสูตร อันเป็นสูตรหนึ่งในพระไตรปิฏก กล่าวถึงข้อประพฤติปฏิบัติซึ่งเป็นมงคลรวม 38 ประการ




     เครื่องประดับทองคำรูปกินรี       พบจากเมืองโบราณอู่ทอง      เครื่องประดับทองคำรูปกินรี พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดง ณ ห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง      เครื่องประดับทำด้วยทองคำ ขนาดกว้าง ๑.๓ เซนติเมตร สูง ๑.๙ เซนติเมตร สันนิษฐานว่าเป็นรูป “กินรี” ลักษณะลำตัวเป็นนกและมีศีรษะเป็นมนุษย์ ใบหน้าค่อนข้างกลมรี เกล้าผมเป็นมวย คิ้วต่อกันเป็นปีกกา ตาโปน จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนา อมยิ้ม ซึ่งเป็นลักษณะใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของประติมากรรมรูปบุคคล และพระพักตร์ของพระพุทธรูปสมัยทวารวดี ประติมากรรมรูปกินรีดังกล่าว สวมสร้อยคอ และตุ้มหูทรงกลม ซึ่งเป็นตุ้มหูรูปแบบหนึ่งที่พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง มีทั้งที่เป็นตุ้มหูสำหรับสวมเป็นเครื่องประดับ และปรากฏในประติมากรรมดินเผาหรือปูนปั้นรูปบุคคลทั้งบุรุษ สตรี และคนแคระสวมตุ้มหูลักษณะเดียวกันนี้ ส่วนลำตัวเป็นสัตว์ประเภทนก มีปีก มีการขีดตกแต่งลำตัวเป็นร่องโค้งเพื่อทำเป็นขนนก ด้านหลังทำเป็นห่วงกลม กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว      กินรีและกินนร เป็นอมนุษย์ในเทพนิยาย มีลักษณะเป็นสัตว์ผสมระหว่างระหว่างคนกับนก ปรากฏทั้งในศิลปะอินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดี นอกจากเครื่องประดับทองคำรูปกินรีชิ้นนี้แล้ว ยังพบประติมากรรมรูปกินรีและกินนร ทำจากดินเผาหรือปูนปั้นสำหรับประดับศาสนสถานตามเมืองโบราณสมัยทวารวดีต่าง ๆ เช่น ประติมากรรมปูนปั้นรูปกินนรกำลังเล่นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายพิณเปี๊ยะ พบจากเจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม ประติมากรรมปูนปั้นรูปกินรี พบจากเจดีย์หมายเลข ๓ บ้านโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ แผ่นดินเผารูปกินรีพบจากเจดีย์หมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น       เครื่องประดับรูปกินรีชิ้นนี้ แม้มีขนาดเล็ก แต่ก็มีรายละเอียดที่คมชัด งดงาม เป็นหลักฐานที่แสดงถึงแสดงถึงความชำนาญและฝีมือของช่างสมัยทวารวดีที่ทำเครื่องประดับทองคำนี้เมื่อกว่าพันปีมาแล้ว นอก จากนั้น ที่เมืองโบราณอู่ทองยังพบเครื่องประดับทำด้วยทองคำอีกจำนวนหนึ่ง ได้แก่ เครื่องประดับรูปหน้ายักษ์ ตุ้มหู แหวน จี้และลูกปัด เป็นต้น    เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. ดวงกมล  อนันต์วัชรกุล. “คติความเชื่อเนื่องสัตว์ที่ปรากฏในวัฒนธรรมทวารวดี”. เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔.


ชื่อเรื่อง                         สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฏฐาน)      สพ.บ.                           394/2หมวดหมู่                       พุทธศาสนาภาษา                           บาลี/ไทยอีสานหัวเรื่อง                         พุทธศาสนา                                   ชาดก                                   เทศน์มหาชาติ                                   คาถาพันประเภทวัสดุ/มีเดีย           คัมภีร์ใบลานลักษณะวัสดุ                   28 หน้า : กว้าง 4.2 ซม. ยาว 58 ซม. บทคัดย่อเป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี




Messenger