ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,757 รายการ

        มหามกุฎราชสันตติวงศ์ ๑๖ มกราคม ๒๔๓๓ วันประสูติหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร         อำมาตย์เอก เสวกเอก หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศรวรฤทธิ์ ที่ประสูติแต่หม่อมสุภาพ ประสูติเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๓ ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนราชวิทยาลัยและโรงเรียนนายร้อยทหารบก หลังจากนั้นเสด็จไปศึกษาต่อที่โรงเรียน Harrow ที่ประเทศอังกฤษ แล้วจึงเสด็จเรียนวิชาสถาปัตยกรรมที่เอกอลเดโบซาร์ ประเทศฝรั่งเศส หลังจากจบการศึกษาจึงเข้ารับราชการที่กรมศิลปากร ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ จนได้รับพระราชทานยศเป็นเสวกเอก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๖         ปีพุทธศักราช ๒๔๖๙ เมื่อกรมศิลปากรย้ายสังกัดขึ้นอยู่กับราชบัณฑิตยสภา หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ได้เป็นผู้อำนวยการศิลปากรสถานแห่งราชบัณฑิตสภา และได้รับพระราชทานยศเป็นอำมาตย์เอก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๐ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๗๗ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากรและกลุ่มสถาปนิกยุคบุกเบิกของสังคมไทยในสมัยนั้น ผู้ได้รับการศึกษาสถาปัตยกรรมตามแนวสากลจากอังกฤษและฝรั่งเศส ร่วมก่อตั้งสมาคมสถาปนิกสยาม (The Association of Siamese Architects) ผลงานด้านสถาปัตยกรรมของพระองค์เช่น การซ่อมแปลงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท งานออกแบบพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม และวังไกลกังวล เป็นต้น         หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ สิ้นชีพิตักษัยในรัชสมัยรัชกาลที่ ๗ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘ สิริชันษา ๔๕ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร เป็น บูรพศิลปิน สาขาทัศนศิลป์ ในฐานะเป็นศิลปินที่มีผลงานอันทรงคุณค่ายิ่งต่อประเทศไทย   ภาพ : หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร  


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           19/5ประเภทวัดุ/มีเดีย                          คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                                36 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง                                       พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง : นิทานคำกลอนเรื่องโคบุตร ของ สุนทรภู่ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายชุน พรรณเชษฐ์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2514 ชื่อผู้แต่ง : สุนทรภู่ ปีที่พิมพ์ : 2514 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์พระจันทร์ จำนวนหน้า : 176 หน้า สาระสังเขป : นิทานคำกลอน เรื่อง โคบุตร เป็นกวีนิพนธ์เรื่องแรกของสุนทรภู่ ระยะเวลาที่แต่งประมาณว่าอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานตามสำนวนกลอนเห็นว่า สุนทรภู่ได้แต่งก่อนที่ท่านจะเดินทางไปเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลง ปี พ.ศ. 2350 ซึ่งได้แต่งนิราศเมืองแกลงขึ้นไว้ โคบุตรเป็นนิทานคำกลอนที่สุนทรภู่วางโครงเรื่องไว้อย่างสนุกสนานแม้ว่าสำนวนโวหารในการประพันธ์และการผูกเรื่องจะอยู่ในขั้นเริ่มต้นก็ตาม ก็ยังไพเราะน่าอ่าน หนังสือเล่มนี้จะหยิบยกนิทานคำกลอน เรื่อง โคบุตร มีทั้งหมด 12 ตอนด้วยกัน


ชื่อผู้แต่ง          เทคโนโลยีพระจอมเกล้า,สถาบัน ชื่อเรื่อง            ที่ระลึกกฐินพระราชทาน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ครั้งที่พิมพ์        - สถานที่พิมพ์     พระนครเหนือ กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์        โรงพิมพ์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ ปีที่พิมพ์            ๒๕๒๑ จำนวนหน้า        ๓๖ หน้า     วัดชุมพลนิกายาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชะนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่หัวเกาะบางปะอิน ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุยา ติดต่อกับเขตต์อุปจาร พระราชวังบางปะอิน มีอาณาเขตต์โดยยาวประมาณ ๔ เส้นเศษ กว้างด้านเหนือ ๑ เส้นเศษ ด้านใต้ ๔ เส้นเศษ สมเด็จพระสรรเพชรที่ ๕ พระเจ้าปราสาททอง ทรงสร้างเมื่อปีวอกจัตวาศกศักราช ๙๙๔ (พ.ศ.๒๑๗๕) ซึ่งใกล้กับพระราชนิเวศน์สร้างในปีเดียวกับเพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาศน์ ตามหลักฐานพระกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


วารสารเครือข่ายกรมศิลปากรเป็นวารสารรายไตรมาสออกทุก ๓ เดือน


เลขทะเบียน : นพ.บ.592/3                       ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 55 ซ.ม. : ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 191  (385-391) ผูก 3 (2566)หัวเรื่อง : ธรรมรัตนสุด--เอกสารโบราณ            คัมภีร์ใบลาน            พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


ส่งเสริมการอ่านผ่าน Facebook กับหอสมุดแห่งชาติชลบุรี เรื่อง 22 เมษายน วันคุ้มครองโลก “วันคุ้มครองโลก” (Earth Day) ก่อตั้งขึ้นโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติ United Nations Environment Program ("UNEP") โดยผู้ที่ริเริ่มแนวคิดนี้เป็นคนแรกคือ เกย์ลอร์ด เนลสัน สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2505 เกย์ลอร์ด เนลสัน ได้ขอให้ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ หยิบยกเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้เห็นด้วย ต่อมา เนลสันได้ผลักดันให้มีการชุมนุม แสดงความคิดเห็นเรื่องสิ่งแวดล้อมในระดับประชาชนทั่วประเทศ ทำให้เกิดเป็นกระแสตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปทั่วสหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดการออกพระราชบัญญัติแก้ไขมลพิษในอากาศของสหรัฐอเมริกา และมีการจัดตั้งสำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น จนในที่สุดกำหนดให้วันที่ 22 เมษายนของทุกปีเป็น “วันคุ้มครองโลก” (Earth Day) ขณะที่ในประเทศไทย ได้มีการจัดให้มีการรณรงค์วันคุ้มครองโลกขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยโรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา และยังถือเป็นยุคเริ่มต้นของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หลังการจากไปของนายสืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และตลอดระยะเวลาหลายปีหลังจากนั้นได้มีการรณรงค์อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ ป่าไม้ และผลกระทบอันร้ายแรงจากการตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมรักษ์ธรรมชาติเพื่อหารายได้เข้ามูลนิธิสืบนาคะเสถียร ผู้บุกเบิกด้านการอนุรักษ์ป่าไม้คนสำคัญของประเทศไทย ที่มา: กรมประชาสัมพันธ์. วันคุ้มครองโลก. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 18 เมษายน 2566, จาก: https://www.prd.go.th/.../category/detail/id/9/iid/90355


         ตราดินเผารูปสิงห์นั่งชันเข่า จากเมืองโบราณอู่ทอง          ตราดินเผารูปสิงห์นั่งชันเข่า พบบริเวณเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดงห้องบรรพชนคนอู่ทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง           ตราดินเผา กว้าง ๓.๕ เซนติเมตร สูง ๓ เซนติเมตร รูปทรงค่อนข้างกลม ผิวหน้ามีรอยกดประทับเป็นรูปสัตว์ ๔ เท้า อยู่ในท่านั่งชันเข่า ส่วนหัวชำรุดรายละเอียดลบเลือนไป เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับตราดินเผารูปสิงห์นั่งชันเข่าประกอบสัญลักษณ์มงคล พบที่บ้านซับน้อย อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี พบว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก           สิงห์เป็นสัตว์มงคลที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับศาสนา ตามคติความเชื่อเนื่องในศาสนาพุทธ สิงห์เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระองค์ได้รับการขนานนามว่าเป็นสิงห์แห่งศากยวงศ์ ทั้งยังเป็นสัตว์ที่มีอำนาจและพละกำลัง เป็นตัวแทนของผู้พิทักษ์และความดี ในงานศิลปกรรมสมัยทวารวดีพบรูปสิงห์เป็นจำนวนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับรูปสัตว์ชนิดอื่น รูปสิงห์ที่พบมีหลายอิริยาบถ ที่พบมากคือรูปสิงห์นั่งชันเข่า สันนิษฐานว่าเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดีย  นอกจากตราดินเผาที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังพบรูปสิงห์นั่งชันเข่าจากแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีอื่นๆ เช่น ประติมากรรมรูปสิงห์นั่งชันเข่าประดับศาสนสถาน พบที่เจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม เจดีย์หมายเลข ๑ เมืองโบราณโคกไม้เดน จังหวัดนครสวรรค์ และโบราณสถานที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี นอกจากนี้ยังพบบนเศษภาชนะดินเผาที่บ้านคูเมือง จังหวัดสิงห์บุรี และเมืองโบราณจันเสน จังหวัดนครสวรรค์ อีกด้วย          สันนิษฐานว่าตราดินเผารูปสิงห์นี้เป็นของที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่นโดยคนพื้นเมืองทวารวดี โดยรับอิทธิพลทางด้านรูปแบบและคติความเชื่อมาจากอินเดีย อาจใช้สำหรับเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาหรือเป็นชนชั้นสูง รวมถึงอาจใช้เป็นเครื่องรางเพื่อความเป็นสิริมงคล กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ หรือประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว   เอกสารอ้างอิง ดวงกมล อนันต์วัชรกุล. “คติความเชื่อเรื่องสัตว์ที่ปรากฏในวัฒนธรรมทวารวดี”. เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๔. ผาสุข อินทราวุธ. ดรรชนีภาชนะดินเผาสมัยทวารวดี. กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ, ๒๕๒๘. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทางศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย.พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒. อนันต์ กลิ่นโพธิ์กลับ. “การศึกษาความหมายและรูปแบบตราประทับสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๗.




หลวงระงับประจันตคาม (โป๊ะ วัชรปาณ) ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพิมายช่วงพ.ศ.2471-2474  หลวงประจันตคาม เป็นนายอำเภอเมืองพิมาย ผู้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งเสด็จมาตรวจโบราณสถานเมื่อพ.ศ.2472 และเป็นผู้ถวายรายงานการเป็นไปในท้องที่ โดยกล่าวถึงผู้คนในเมืองพิมายว่า - พลเมืองทั้งสิ้น 52,318 คน เป็นคนวิกลจริต 2 คน มีคนชาติไทย ชาติจีน ชาติเขมร เป็นพื้น และมีคนอพยพมาจากต่างอำเภอ ต่างจังหวัดเข้ามาในท้องที่อำเภอนี้มาก มีอาชีพทำนามากกว่าอาชีพอื่น จึงมีความคิดที่จะเกณฑ์ราษฎรให้ปิดทำนบขุดเหมืองในแม่น้ำลำคลองต่างๆทั่วไป เพื่อให้ราษฎรได้ใช้น้ำทำนาตามฤดูกาลมิต้องรอน้ำฝนอย่างเดียว - การทำสวน ราษฎรในท้องที่อำเภอนี้ไม่มีความนิยมเลย จึงได้ร้องขอหรือบังคับกลายๆให้ราษฎรปลูกหมาก ปลูกมะพร้าว ปลูกนุ่น ปลูกไม้ไผ่ ไม่ต่ำกว่าบ้านละ 10 ต้น - เก็บ "เงินคงเรียกค่านา" ได้ 10847 บาท 16 สตางค์ "ค่ารัชชูปการ" 33628 บาท  สำหรับคนที่มิได้เสียเงินรัชชูปการ ก็เอามาใช้ในการโยธาต่างๆที่ปราสาทหิน คือซ่อมถนนบ้าง ซ่อมสะพานบ้าง ขุดตอไม้ในบริเวณปราสาทหินบ้างขุดหินที่จำหลักรูปภาพและลวดลายขึ้นบ้าง ราชบัณฑิตยสภาได้ชื่นชมนายอำเภอในรายงานราชบัณฑิตยสภาว่า "มีความคิดดี...สมควรเป็นตัวอย่างให้อำเภออื่นๆต่อไป" ในส่วนปราสาทพิมาย หลวงระงับฯ ได้ระบุว่า " โบราณสถานในอำเภอนี้มีแต่จะชำรุดทรุดโทรมลง เพราะไม่มีเจ้าพนักงานดูแลรักษาโดยเฉพาะ ทั้งปราสาทหินก็ตั้งอยู่ในหมู่ชุมนุมชนมีคนสัญจรผ่านไปมาเข้าออกอยู่เสมอ มักเคาะต่อยศิลาเป็นอันตรายอยู่เนืองๆ... ...ข้าพระพุทธเจ้าคิดจะหารายได้ไว้บำรุงทางหนึ่งจะปลูกต้นฉำฉาตามถนนในเมืองและรอบบริเวณกำแพงปราสาทเพื่อปล่อยครั่งจำหน่าย รายได้อันนี้จะได้จ้างนายงานและกุลีซึ่งจะจัดให้เป็นผู้พิทักษ์รักษาโบราณสถาน... ...คงกินเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี แม้จะกินเวลานานเช่นนั้นก็ดี ข้าพระพุทธเจ้าก็พยายามอยู่เสมอจนกว่าจะมีงบประมาณรักษา "   จากรายงานของหลวงระงับประจันตคาม ทำให้เราทราบเรื่องราวในอดีตหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอพยพของกลุ่มคนและความหลากหลายของเชื้อชาติ กุศโลบายในการรักษาโบราณสถานต่างๆ รวมถึงเรื่องราวของ "ต้นฉำฉา" 


        ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก  พุทธศักราช ๒๕๖๒         เทคนิค : สลักดุนโลหะ  ปิดทอง ลงยาสี  และประดับคริสตัล         กลุ่มงานช่างบุและช่างศิราภรณ์  กลุ่มประณีตศิลป์  สำนักช่างสิบหมู่  กรมศิลปากร         ผลงานศิลปกรรมจัดสร้างโดย สำนักช่างสิบหมู่  กรมศิลปากร  จัดแสดงในนิทรรศการพิเศษ “เถลิงรัชช์หัตถศิลป์” ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  ระหว่างวันที่ ๙ มิถุนายน – ๑๗ กันยายน ๒๕๖๖  เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. วันพุธ – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์ – วันอังคาร)          อักษรพระปรมาภิไธย วปร. (อยู่ตรงกลาง) พื้นอักษรสีขาวขอบเดินทอง  อันเป็นสีของวันจันทร์ซึ่งเป็นวันพระบรมราชสมภพ ภายในอักษรประดับเพชร  ตามความหมายแห่งพระนามมหาวชิราลงกรณ อักษร วปร. อยู่บนพื้นสีขาบ (น้ำเงินเข้ม) อันเป็นสีของขัตติยกษัตริย์  ภายในกรอบพุ่มข้าวบิณฑ์สีทองสอดสีเขียว อันเป็นสีซึ่งเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ  กรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อัญเชิญมาจากกรอบที่ประดิษฐานพระมหาอุณาโลม  อันเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์  แวดล้อมด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์  อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช  ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมอุณาโลมประกอบเลขมหามงคลประจำรัชกาล  อยู่เบื้องบนพระแสงขรรค์ชัยศรีกับพระแส้จามรีทอดไขว้อยู่เบื้องขวา  ธารพระกรกับพัดวาลวิชนี  ทอดไขว้อยู่เบื้องซ้าย และฉลองพระบาทเชิงงอนอยู่เบื้องล่าง           พระมหาพิชัยมงกุฎ  หมายถึง  ทรงรับพระราชภาระอันหนักยิ่งของแผ่นดิน  เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน           พระแสงขรรค์ชัยศรี  หมายถึง  ทรงรับพระราชภาระปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากภยันตราย         ธารพระกร  หมายถึง  ทรงดำรงราชธรรมเพื่อค้ำจุนบ้านเมืองให้ผาสุกมั่นคง         พระแส้จามรีกับพัดวาลวิชนี  หมายถึง ทรงขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์         ฉลองพระบาทเชิงงอน  หมายถึง  ทรงทำนุบำรุงปวงประชาทั่วรัฐสีมาอาณาจักร         เบื้องหลังพระมหาพิชัยมงกุฎ : ประดิษฐานพระมหาเศวตฉัตรอันมีระบายขลิบทอง จงกลยอดฉัตรประกอบรูปพรหมพักตร์อันวิเศษสุด  ระบายชั้นล่างสุดห้อยอุบะจำปาทอง แสดงถึงพระบารมีและพระบรมเดชานุภาพที่ปกแผ่ไปทั่วทิศานุทิศ         เบื้องล่างกรอบอักษรพระปรมาภิไธย : มีแถบแพรพื้นสีเขียวถนิมทองขอบขลิบทอง  มีอักษรสีทองความว่า "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒" ปลายแถบแพรเบื้องขวามีรูปคชสีห์กายม่วงอ่อน  ประคองฉัตร ๗ ชั้น หมายถึงข้าราชการฝ่ายทหาร         เบื้องซ้าย : มีรูปราชสีห์กายขาวประคองฉัตร ๗ ชั้น หมายถึง ข้าราชการฝ่ายพลเรือน ผู้ปฏิบัติราชการสนองงานแผ่นดินอยู่ด้วยกัน  ข้างคันฉัตรด้านในทั้งสองข้างมีดอกลอยกนกนาค  แสดงถึงปีมะโรงนักษัตรอันเป็นปีพระบรมราชสมภพ  สีทองหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองยิ่งของประเทศชาติและประชาชน   สามารถรับชมขั้นตอนการจัดสร้าง ได้ทาง YouTube ตามลิ้งค์ด้านล่าง https://youtu.be/gvMjzRrxWi8   ที่มา: https://datasipmu.finearts.go.th/portfolio/1323


ชื่อเรื่อง                      ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺมปทฏธกถา ขุทฺทกนิกายฏธกถ (ธมฺมปทขั้นปลาย)อย.บ.                           240/6หมวดหมู่                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ               56 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ; ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง                        พุทธ                                      ศาสนา                                                           บทคัดย่อ/บันทึก     เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ


องค์ความรู้ : สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่เรื่อง : รอยอดีตบนเพิงผากับภาพเขียนสีออบหลวงที่พบใหม่เรียบเรียงโดย : นายสายกลาง  จินดาสุ นักโบราณคดีชำนาญการ                       นายยอดดนัย  สุขเกษม นักโบราณคดีชำนาญการ                       นายสิทธิศักดิ์  ทะสุใจ นักวิชาการวัฒนธรรม                       กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่         การศึกษาอดีต หาใช่ความจริง ๑๐๐% หากแต่เป็นความเสมือนจริงที่สุดที่เราพยายามเข้าใกล้อดีตจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏ วันนี้เราจะมาพยายามเข้าใกล้ความจริงในอดีตของมนุษย์ด้วยกันอีกครั้ง ผ่านแหล่งโบราณคดีแห่งใหม่ที่เพิ่งค้นพบ นั่นคือแหล่งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่      เตรียมจินตนาการของคุณไว้ให้ดี เพราะภาพเขียนสีนี้ พร้อมจะท้าทายความคิดของทุกท่าน      แหล่งภาพเขียนสีออบหลวง ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งภาพเขียนสีแห่งแรกที่มีการสำรวจทางโบราณคดี ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเริ่มดำเนินการใน พ.ศ.๒๕๒๗ – ๒๕๓๓ โดยโครงการโบราณคดีภาคเหนือ ฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดี กรมศิลปากร  โดยในช่วงเวลาดังกล่าวสำรวจพบภาพเขียนสี ๓ แหล่ง ประกอบด้วยแหล่งภาพเขียนสีผาช้าง และแหล่งภาพเขียนสีผาหมาย ในเขตอำเภอฮอด และแหล่งภาพเขียนสีผาคันนา เขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาได้มีการตีพิมพ์ข้อมูลดังกล่าวในหนังสือโบราณคดีลุ่มแม่น้ำปิง ในพ.ศ.๒๕๓๔ ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๓๘ ได้มีการดำเนินงานโครงการวิจัยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ไทย – ฝรั่งเศส ทั้งนี้ในการดำเนินงานทั้งสองครั้ง ได้ทำการคัดลอกภาพเขียนสีที่แหล่งภาพเขียนสีผาหมาย ทำให้สามารถเปรียบเทียบความเสื่อมสภาพภาพเขียนสีของผาหมายจากอดีตถึงปัจจุบัน(พ.ศ.๒๕๖๖) และทำให้สามารถศึกษารายละเอียดภาพและสัญลักษณ์ต่างๆที่เคยปรากฏได้มากขึ้น         ใน พ.ศ.๒๕๖๖ อุทยานแห่งชาติออบหลวง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช ได้ติดต่อยังสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ สำรวจภาพเขียนสีในพื้นที่อุทยานฯ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผาแต้ม เป็นจุดที่พบภาพเขียนสีจุดใหม่ที่ยังไม่เคยปรากฏข้อมูลการสำรวจหรือดำเนินการทางโบราณคดีมาก่อน สำนักศิลปากรที่๗ เชียงใหม่ จึงได้ทำการสำรวจในพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง         เมื่อพิจารณาที่ตั้งแหล่งภาพเขียนสีผาหมายและผาแต้ม พบว่ามีลักษณะร่วมบางประการที่เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปแบบของแหล่งภาพเขียนสีบริเวณอุทยานแห่งชาติออบหลวง คือ ตั้งอยู่บนเพิงผาที่ใกล้กับลำห้วยในพื้นที่ โดยเพิงผาภาพเขียนสีอยู่สูงกว่าลำห้วยราว ๒๐ - ๓๐ เมตร และหันเข้าหาลำห้วย โดยภาพเขียนสีผาหมายหันหน้าเข้าหาลำห้วยผาหมาย และภาพเขียนสีผาแต้มหันเข้าหาลำห้วยแม่ทัง ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าใกล้กับลำห้วยทั้งสองมีผาหินปูนปรากฏหลายแห่ง แต่เพิงผาที่เป็นแหล่งภาพเขียนสีจะมีเพิงผาที่มีความยาวที่เหมาะสมแก่การเขียนภาพคือยาว ๘ – ๑๑ เมตร         อย่างที่เรียนในตอนต้นว่า หลักฐานทางโบราณคดีประเภทภาพเขียนสีท้าทายความคิดและจินตนาการ หากท่านผู้อ่านมองเห็นเป็นอื่นใดจากที่ผู้เขียนวิเคราะห์ สามารถให้ความเห็นและจินตนาการได้ตามแต่ใจของท่าน         เทคนิคที่ใช้ในการเขียน ปรากฏทั้งเทคนิคแบบเงาทึบ (silhouette) และแบบโครงร่างภายนอก (outline) ใช้สีแดงในการเขียน รูปบุคคลและสัตว์เกือบทั้งหมดเขียนในลักษณะรูปด้านหน้าตรง(ในสัตว์อาจมีการเขียนจากมุมสูง อาทิ รูปเต่า ตะพาบน้ำ) ไม่นิยมการเขียนด้านข้างอย่างที่ปรากฏที่ถ้ำเขาจันทร์งาม อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา (แต่ทั้งปรากฏภาพเขียนหันด้านข้างเล็กน้อยที่ภาพเขียนผาหมาย ที่เป็นภาพบุคคลกำลังขี่หรือบังคับจูงสัตว์อยู่) ภาพเขียนบุคคลที่ปรากฏเขียนใน ๒ ลักษณะ คือ เป็นรูปร่างบุคคลเสมือนจริง และเป็นเส้นแบบกิ่งไม้ บุคคลกางแขนขา (แขนกางในลักษณะคว่ำแขนลง) บุคคลมีลักษณะศีรษะต่างกันหลายแบบ ทั้งศีรษะกลม ค่อนข้างเหลี่ยม และเป็นวงรีที่วางในแนวนอน บางบุคคลมีคอยาว แต่มีข้อสังเกตที่สำคัญคือ เกือบทุกบุคคลมีหาง ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ที่ปรากฏในหนังสือโบราณคดีลุ่มแม่น้ำปิง วิเคราะห์ว่าหางนี้อาจเป็นอวัยวะเพศชาย ดังนั้นภาพเขียนบุคคลที่ปรากฏจึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคน หรือเป็นสัตว์(ประเภทสัตว์เลื้อยคลานที่มีหาง)         ทั้งนี้ภาพที่น่าสนใจต่อการวิเคราะห์ตีความแหล่งภาพเขียนสีนี้ที่สุด คือ ภาพเขียนสีที่ผาหมายที่สามารถสื่อความหมายได้ใน ๓ แนวทาง คือ เป็นภาพพานหรือฆ้องที่ห้อยอยู่กับเสา (อาจเป็นฆ้องหรือกลองมโหรทึกสำริด) หรืออาจมองเป็นเป็นภาพกิ่งไม้ที่มีรังผึ้งติดอยู่และมีการตัดลงมาแขวนไว้กับเสาไม้ หรืออาจเป็นภาพสัตว์สี่เท้า มีกีบเท้า ท้องโต คล้ายกับถูกลากจูงโดยบุคคลที่อยู่ด้านหน้า บุคคลเขียนด้วยเงาทึบสีแดง (ข้อมูลในหนังสือโบราณคดีลุ่มแม่น้ำปิง และรายงานการขุดค้นทางโบราณคดีผาหมาย ในโครงการวิจัยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ไทย-ฝรั่งเศส สันนิษฐานว่าเป็นแนวทางอย่างหลังสุด) ทั้งนี้ในการวิเคราะห์เพิ่มเติม แนวทางที่น่าสนใจอย่างมากคือการตีความว่าภาพนี้อาจจะเป็นกลองมโหระทึกสำริดหรือฆ้อง ซึ่งอาจทำให้บริบทรอบๆที่เป็นภาพบุคคลมีหางคือ คนที่เข้าร่วมในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ที่อาจมีการสวมใส่ชุดพิเศษในพิธีกรรม (ทำให้ปรากฏส่วนศีรษะที่ไม่เหมือนกัน และปรากฏหาง หรืออวัยวะเพศชาย) นอกจากนั้นภาพรังผึ้งที่อยู่ส่วนกลางของภาพและด้านบนซ้ายก็เป็นภาพที่มีความน่าสนใจอย่างมาก ใกล้กันกับรังผึ้งปรากฏกากบาทขนาดเล็ก ชวนให้ตีความได้ว่าคือผึ้งที่บินอยู่รอบๆรัง ใกล้กับรังผึ้งกลางภาพมีภาพบุคคลกางแขนขนาดใหญ่ และมีบุคคลขนาดเล็กอีก ๔ คนอยู่ใกล้ ขนาดภาพของบุคคลขนาดใหญ่มีขนาดที่แตกต่างจากบุคคลขนาดเล็กอย่างชัดเจนที่ขนาดใกล้เคียงกัน จึงสันนิษฐานว่าบุคคลขนาดใหญ่นี้อาจเป็นหมี         จากการสำรวจพบว่าแหล่งภาพเขียนสีผาหมายและผ้าแต้ม พบสัตว์ต่างๆคือ สัตว์เลื้อยคลาน(ตะกวด?) เต่าหรือตะพาบน้ำ ผึ้ง หมี วัว ซึ่งวัวที่พบปรากฏทั้งวัวมีหนอก(กระทิง?)และไม่มีหนอก ภาพสัตว์เหล่านี้มีความสำคัญต่อการตีความและทำความเข้าใจด้านมนุษยวิทยาเกี่ยวกับพัฒนาการทางสังคมของคนในพื้นที่ภาคเหนือตั้งแต่สมัยก่อนประวัติสาสตร์เข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ เอกสารทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่ล้านนาหลายฉบับ อาทิ ตำนานจามเทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา กล่าวถึงคนที่เกิดในรอยเท้าสัตว์ (ในมูลศาสนากล่าวถึงทารกที่เกิดมาในรอยเท้าสัตว์ ๓ ชนิด คือ ช้าง แรด วัว) ซึ่งสัตว์เหล่านี้อาจหมายถึงสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่า (totem) ดังนั้น ถ้ารูปสัตว์ที่ปรากฏบนเพิงผาเหล่านี้มิใช่เพียงภาพแสดงความอุดมสมบูรณ์หรือวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาพสัตว์เหล่านี้อาจหมายถึงการแสดงตัวตนของแต่ละเผ่าที่มีสัตว์เป็นสัญลักษณ์ในพื้นที่ก็เป็นได้ ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าที่แหล่งโบราณคดีผาหมายและผาแต้มไม่พบภาพมือ ซึ่งเป็นภาพที่นิยมเขียนอย่างมากในพื้นที่ภาคเหนือ (หรือในอีกทาง ภาพนี้อาจแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการหาน้ำผึ้งก็เป็นได้) ในด้านแนวทางการกำหนดอายุเบื้องต้น ใช้การกำหนดอายุจากโบราณวัตถุที่พบในพื้นที่แหล่งเปรียบเทียบกับค่าอายุของแหล่งภาพเขียนสีที่อยู่ใกล้ คือภาพเขียนสีผาช้าง จากการพบเครื่องมือหินกะเทาะแบบสุมาตราลิธ กะเทาะหน้าเดียวจากหินกรวดแม่น้ำ (unifacial pebble tools,sumatralithe type axe) ซึ่งเป็นรูปแบบเครื่องมือที่กำหนดอายุในยุคหินกลาง (ตามการกำหนดโดยใช้เทคโนโลยี) และเป็นพัฒนาการทางสังคมสมัยหาของป่าล่าสัตว์ ที่กำหนดอายุได้ ๑๐,๐๐๐ – ๖,๐๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งจากการสำรวจตามความลาดชันโดยรอบภาพเขียนสีผาแต้มเป็นค่าอายุที่สอดคล้องกับการกำหนดอายุแหล่งภาพเขียนสีเพิงผาช้าง ที่กำหนดอายุที่ ๘,๕๐๐ – ๗,๕๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งจากการสำรวจตามความลาดชันโดยรอบภาพเขียนสีผาแต้ม พบเศษภาชนะดินเผาแบบเนื้อดิน ส่วนขอบปาก เผาไม่สุก เนื้อไส้กลางภาชนะเป็นสีน้ำตาลเทา ไม่ตกแต่งผิวภาชนะ และยังพบเครื่องมือหินกะเทาะแบบสุมาตราลิธ กะเทาะหน้าเดียวจากหินกรวดแม่น้ำ (unifacial pebble tools,sumatralithe type axe) เช่นเดียวกันนี้


ชื่อเรื่อง                     พระราชกรัณยานุสร พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ เรื่องนางนพมาศผู้แต่ง                       พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ประเพณี ขนบธรรมเนียม คติชนวิทยาเลขหมู่                      390.22 จ657พสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 คลังวิทยาปีที่พิมพ์                    2507ลักษณะวัสดุ               366 หน้าหัวเรื่อง                     ไทย – ความเป็นอยู่และประเพณีภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก“พระราชกรัณยานุสร” เป็นเรื่องเกี่ยวกับ พระราชพิธีศรีสัจปานกาล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นไว้“นางนพมาศ หรือ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” เป็นวรรณคดีที่น่าอ่าน น่าศึกษา      


black ribbon.