ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ
๑. การวางรากฐานการศึกษาโบราณคดีสมัยใหม่
พระยาโบราณราชธานินทร์เป็นผู้บุกเบิกวิทยาการทั้งองค์ความรู้ เทคนิค วิธีการสมัยใหม่ด้านโบราณคดี ได้แก่
๑.๑ การสำรวจและขุดค้นพระราชวังโบราณและวัดร้างในอยุธยาโดยการใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมาพิจารณาศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์เพื่อเข้าใจเรื่องราวและภูมิสถานของอยุธยา ซึ่งนับเป็นการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบครั้งแรกในพื้นที่เมืองอยุธยา อีกทั้งยังมีการสันนิษฐานรูปแบบสถาปัตยกรรมในอดีตและปรับปรุงภูมิทัศน์ ซึ่งใช้เป็นแนวทางการอนุรักษ์โบราณสถานในอยุธยาในเวลาต่อมา
๑.๒ การจัดทำแผนที่สมัยใหม่ในงานโบราณคดี พระยาโบราณราชธานินทร์ได้ทำการสำรวจ และจัดทำแผนที่ เพื่อกำหนดตำแหน่งภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา นับเป็นแผนที่ฉบับแรกอันเป็นผลมาจากการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญด้านอยุธยาศึกษา อีกทั้งยังเป็นข้อมูลสำคัญที่กรมศิลปากรใช้ในการกำหนดขอบเขตโบราณสถาน จนนำไปสู่การขึ้นทะเบียนโบราณสถานเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา และจัดตั้งนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
๑.๓ การสงวนรักษาพื้นที่เมืองอยุธยาให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการบริหารจัดการพื้นที่และกำหนดเขตเพื่อป้องกันการบุกรุกทำลาย ส่งผลให้หลักฐานทางโบราณคดีและโบราณสถานยังคงปรากฎร่องรอยหลักฐานอยู่จนถึงในปัจจุบัน เป็นแหล่งเรียนรู้ของสาธารณชน และเข้าหลักเกณฑ์พื้นที่ที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยเป็นของแท้ดั้งเดิมมีเอกลักษณ์โดดเด่นและทรงคุณค่าของอารยธรรมเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
๒. การสร้างองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีอยุธยา
พระยาโบราณราชธานินทร์เป็นผู้วางรากฐานงานวิชาการด้านอยุธยาศึกษา โดยบูรณาการความรู้ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างเป็นระบบ ผลงานนิพนธ์ที่สำคัญคือ “ตำนานกรุงเก่า” “อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยากับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์” “ภูมิสถานกรุงศรีอยุธยา” ซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์อยุธยาและผลการสำรวจสภาพภูมิสถานที่ปรากฎร่องรอยในช่วงเวลาดังกล่าวพร้อมกับกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่าง ๆ อันเป็นคู่มือในการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีอยุธยาในเวลาต่อมา
๓. เป็นผู้ให้กำเนิดงานพิพิธภัณฑ์ในส่วนภูมิภาค
พระยาโบราณราชธานินทร์เป็นผู้รวบรวม สงวนรักษา อนุรักษ์ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ ซึ่งได้จากการสำรวจขุดค้นในพื้นที่เมืองอยุธยานำมาจัดหมวดหมู่ จัดแสดง และก่อตั้งเป็นอยุธยาพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีความทันสมัยสอดคล้องกับหลักวิชาพิพิธภัณฑ์สากล อยุธยาพิพิธภัณฑ์ เป็นพิพิธภัณฑสถานส่วนภูมิภาคแห่งแรกของไทย ต่อมาพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม การรวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุของพระยาโบราณราชธานินทร์ในอยุธยาพิพิธภัณฑสถานมีคุณูปการต่อการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดี และพิพิธภัณฑสถานของไทย เพราะเป็นโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นเยี่ยมและเป็นตัวแทนของยุคสมัย เช่น เศียรพระพุทธรูปวัดธรรมิกราช และพระพุทธรูปลีลาที่มีจารึกเก่าที่สุดสมัยอยุธยา เป็นต้น
เศียรพระพุทธรูปวัดธรรมิกราช ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
รวมเอกสารประวัติศาสตร์และบทความเกี่ยวกับการระบาดของกาฬโรคในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ ๓ อันแสดงถึงมาตรการต่างๆ ในการป้องกันโรคระบาด
วัดคงคาราม ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ประวัติ วัดคงคารามเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยบรรพบุรุษชาวมอญกลุ่มรามัญ ๗ หัวเมืองพากันอพยพย้ายถิ่นโดยล่องตามแม่น้ำมาตั้งถิ่นฐานบริเวณริมแม่น้ำ แม่กลองในเขตอำเภอบ้านโป่ง และอำเภอโพธาราม ซึ่งต่อมาได้ขยายขนาดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และได้มีการสร้างวัดขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของสงฆ์ แบบรามัญนิกาย และเป็นศูนย์รวมของชาวมอญในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง โดยเจ้าอาวาสของวัดคงคาราม มีตำแหน่งเป็นพระครูรามัญญาธิบดี
ที่มาของวัดคงคาราม เดิมชื่อว่า วัดกลาง ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นวัดคงคาราม ส่วนภาษามอญจะเรียกว่า “เภี้ยโต้” ในสมัยรัชกาลที่ ๔ วัดคงคารามเจริญขึ้นถึงขั้นสูงสุด กล่าวกันว่าพระครูรามัญญาธิบดีองค์หนึ่ง เป็นที่
เคารพนับถือของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก แต่หลักฐานเอกสารที่เขียนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ยังคงเรียกวัดนี้ว่า วัดกลาง เจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ ๔ ได้รับเป็นผู้อุปถัมภ์ให้ความช่วยเหลือในกิจการต่างๆ ของวัด ได้ทูลเกล้าถวายวัดกลางให้เป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดคงคาราม”
สิ่งสำคัญภายในวัดคงคาราม มีดังนี้
อุโบสถ
อุโบสถ อาคารก่ออิฐถือปูนทรงไทยประเพณีแบบอย่างช่างหลวง (ส่วนประดับเครื่องบน) ผสมผสานลักษณะท้องถิ่น หน้าไปทางทิศตะวันออก หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดชั้น ๒ ชั้นซ้อนกันชั้นละ ๓ ตับ มีชายคาปีกนกโดยรอบทั้งสี่ด้านรองรับด้วยเสาปูนทรงกลม ช่อฟ้าใบระกาปูนปั้นประดับกระจก หน้าบันปูนปั้นลวดลายพันธุ์พฤกษา
ผนังก่ออิฐถือปูนด้านหน้ามีประตูทางเข้า ๒ ประตู บานประตูไม้แกะสลัก ส่วนบนเป็นรูปดอกไม้ส่วนล่างเป็นภาพเล่าเรื่องทั้งสองบาน เหนือกรอบประตูเขียนเป็นรูปซุ้มทรงมณฑป ส่วนบนของซุ้มด้านหนึ่งเป็นภาพเมขลาล่อแก้ว อีกด้านหนึ่งเป็นภาพรามสูรขว้างขวาน ตรงกลางระหว่างซุ้มประตูทั้งสองด้านเป็นภาพพุทธประวัติ ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ ผนังสกัดด้านหลังทึบ ผนังด้านข้างมีช่องหน้าต่างด้านละ ๔ บาน กรอบหน้าต่างเขียนลวดลายเป็นรูปซุ้มยอดปราสาท มีภาพเทพนมถือดอกไม้อยู่ข้างซุ้ม ผนังด้านซ้ายของอุโบสถมีประตูทางเข้า ๑ ประตู ฐานอุโบสถเป็นฐานเขียงสูงมีระเบียงโดยรอบ มีบันไดก่ออิฐถือปูนเป็นทางขึ้น ที่เชิงบันไดมีรูปสิงห์ปูนปั้นประดับ
ภายในอุโบสถ
ภายในอุโบสถประดิษฐาน พระพุทธรูปหินทรายพอกทับด้วยปูนปั้น ประทับนั่งแสดง ปางมารวิชัย ด้านข้างซ้าย – ขวา มีพระอัครสาวกยืนพนมมือ และพระพุทธรูปประทับนั่ง แสดงปางต่างๆ อีกหลายองค์ ที่ฝาผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมฝีมือช่างสกุลกรุงเทพฯสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ ๓ ) ผนังสกัดด้านหน้าตอนบนเป็นภาพพุทธประวัติ ตอนผจญมาร ผนังด้านหลังพระประธาน ภาพไตรภูมิ แสดงสวรรค์ชั้นต่างๆ ส่วนฝาผนังด้านข้างจะวางรูปแบบในแนวยาวเป็น ๓ แถว คือ
แถวบนสุดเป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ แสดงปางมารวิชัย มีพระรัศมีล้อมรอบพระวรกาย ด้านข้างทั้งสองด้านมีพระอัครสาวกนั่งพนมมือ ด้านหลังมีฉัตรรูปดอกไม้ปักอยู่และมีดอกไม้ร่วงลงมาจากด้านบนภาพจะวางเรียงติดต่อกันเป็นแนวยาวในลักษณะที่คล้ายกัน
แถวที่สองอยู่เหนือกรอบหน้าต่างเป็นภาพพุทธประวัติและทศชาติชาดก
แถวที่สามอยู่ระหว่างช่องหน้าต่างเป็นภาพทศชาติชาดกบนไม้เพดานและชื่อ มีการตกแต่งลวดลายเป็นลายดอกไม้ และดาวเพดานทั้งหมดบนพื้นสีแดง ส่วนที่อยู่เหนือพระพุทธรูปประธานมีฉัตรทรงสี่เหลี่ยม โครงเป็นไม้ตกแต่งขอบด้วยไม้แกะสลักและผ้า พื้นเป็นสังกะสีเขียนลวดลายเป็นรูปท้องฟ้า มีภาพพระอาทิตย์และพระจันทร์กำลังทรงรถ และดวงดาราต่างๆ
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์แบบแผนการเขียนจิตรกรรมฝาผนังช่วงบนของผนัง นิยมเป็นภาพเทพชุมนุม แต่การเขียนพระอดีตพุทธเจ้าของวัดคงคารามนี้แสดงถึงคติความเชื่อที่ชาวมอญ-พม่า ได้สืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่สมัยเมืองพุกาม
เจดีย์ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รายรอบอุโบสถจำนวน ๗ องค์ ลักษณะเป็น
เจดีย์แบบมอญตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ฐานเจดีย์ถัดขึ้นไปเป็นฐานแปดเหลี่ยม บางองค์มีการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นเป็นลายกระจัง หรือลายดอกไม้ องค์ระฆังของเจดีย์จะมีลักษณะกลมยาวคล้ายจอมแหมี
การตกแต่งลวดลายที่องค์ระฆัง ส่วนยอดมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม มีฉัตรโลหะปักอยู่บนยอดสุด
เจดีย์รายรอบอุโบสถนี้ตามประวัติกล่าวว่า หลังจากพระยามอญ ๗ องค์ สร้างอุโบสถแล้วเสร็จได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นไว้รอบๆอุโบสถจำนวน ๗ องค์ ซึ่งมีความหมายว่าเมืองหน้าด่านทั้ง ๗ ได้แก่ เมืองสิงห์ (สมิงขะบุรี) เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองท่าขนุน เมืองท่ากระดาน เมืองไทรโยค และเมืองทองผาภูมิ
เสาหงส์ ตั้งอยู่บริเวณปากทางเข้าด้านหน้าวัด เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของวัดของชาวรามัญเป็นหงส์สำริด ตั้งอยู่บนเสาสูง
กุฏิสงฆ์เจ็ดห้อง อาคารไม้สักทรงไทยยกพื้นสูงขนาดด้านยาว ๗ ห้อง ด้านกว้าง ๑ ห้อง หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ชายคามีเสาไม้นางเรียงกลมรองรับ ฝาไม้ประกน หน้าต่างด้านผนังสกัด ๓ ช่อง ด้านข้าง ๗ ช่อง บานหน้าต่างไม้แกะสลักลวดลายประจำยาม เรียงต่อกันเป็นตาข่าย ด้านล่างเป็นภาพเล่าเรื่อง ที่กรอบมีลวดลายเป็นแท่นด้านล่าง
กุฏิสงฆ์เก้าห้อง อาคารไม้สักทรงไทย รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๗x๒๖ เมตร วางด้านยาวขนานกับทิศตะวันออก หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ชายคาโดยรอบมีเสานางเรียงไม้กลมรองรับ ช่อฟ้าใบระกาไม้แกะสลักประดับกระจก หน้าบันแกะสลักเป็นลายก้านแย่งปิดทองประดับกระจกลวดลายนี้คล้ายกับหน้าบันอุโบสถวัดเทพอาวาส ฝาไม้ประกน บานหน้าต่างไม้แกะสลักปิดทองล่องชาด
ซุ้มประตูหมู่กุฏิสงฆ์ ลักษณะเป็นซุ้มประตูก่ออิฐถือปูนทรงประตูยอด กรอบประตูซุ้มทรงสี่เหลี่ยม ส่วนยอดเป็นรูปเจดีย์ทรงระฆังสี่เหลี่ยม ๑ องค์ ด้านหน้าทางขึ้นเป็นเชิงบันไดเตี้ยมีขั้นบันได ๓ ขั้น ด้านข้างซุ้มมีระเบียงเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนทึบ มีการประดับด้วยช่องลมทรงกลมเป็นกระเบื้องเคลือบสีเขียวแบบจีน จากลักษณะของซุ้มประตู สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓-๔ กรุงรัตนโกสินทร์
หอสวดมนต์ ศาลาไม้ทรงไทยใต้ถุนต่ำเปิดโล่ง หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ชายคามีเสากลมรองรับโดยรอบ มีช่อฟ้าใบระกาประดับกระจก หน้าบันมีลวดลายไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก เป็นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ ด้านข้างเป็นลายก้านขดมีเทพพนมแยกออกที่ตัวลาย ผนังโปร่งยกพื้นเป็นชั้นสำหรับพระภิกษุนั่งสวดมนต์ เสาด้านบนมีลวดลายลงรักปิดทองเป็นรูปมังกร ๑ ตัวพันรอบเสา ปัจจุบันเปลี่ยนหน้าที่การใช้งานมาเป็นหอพระประดิษฐานพระพุทธรูป
เรียบเรียง : นางจิรนันท์ คอนเซพซิออน
นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑ ราชบุรี
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก มังกร พรหมโยธี
ครั้งที่พิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ ๑
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์กรมสรรพสามิต
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๙
จำนวนหน้า ๑๗๔ หน้า
หมายเหตุ -
หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก มังกร พรหมโยธี เล่มนี้ ได้รวบรวมประวัติ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของไทย เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของต่างประเทศ คำไว้อาลัยของบุคคลสำคัญๆในวงการราชการและมิตรสนิท เกียรติประวัติทางทหาร และพลเอกมังกร พรหมโยธี ในทัศนะของนักหนังสือพิมพ์
เลขทะเบียน : นพ.บ.147/11ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 52 หน้า ; 4 x 51 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 90 (377-391) ผูก 11 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปปทวณฺณนา ธมฺมปทฎกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.127/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 26 หน้า ; 4.5 x 50.5 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 73 (257-266) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : อานิสงส์ 8 หมื่นสี่พันขันธ์ (ฉลอง 8 หมื่น)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.16/1-4
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 27 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 45 (ต่อ)ชื่อผู้แต่ง : -ปีที่พิมพ์ : 2511 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : องค์การค้าของคุรุสภา จำนวนหน้า : 340 หน้าสาระสังเขป : ประชุมพงศาวดารเป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องเก่าๆ ที่มีสาระและคำอธิบายของผู้มีความรู้ในวิชาดังกล่าวไว้โดยละเอียด โดยประชุมพงศาวดารเล่ม 27 ภาคที่ 45 เล่มนี้ เป็นการอธิบายเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2400