ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
มหานิปาตวณฺณนา(ทสชาติ) ชาตกฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฺฐกถา (สุวณฺณสาม,มโหสถ,วิธูร,เนมิราชชาตก)
ชบ.บ.105.7ก/1-1
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.330/3ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 56 หน้า ; 4 x 50.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ทองทึบ-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 130 (329-337) ผูก 3 (2565)หัวเรื่อง : มหานิปาต (คาถาพัน) ชาตกปาลิ ขุทฺทกนิกาย --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
แผ่นอิฐมีรอยประทับรูปฝ่าเท้าของคน สมัยทวารวดี จัดแสดง ณ อาคารจัดแสดง ๒ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
แผ่นอิฐทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ชำรุดหักหายไปส่วนหนึ่ง ขนาดกว้าง ๑๘.๕ เซนติเมตร ยาว ๑๙.๕ เซนติเมตร หนา ๗.๕ เซนติเมตร เนื้ออิฐมีรูพรุน เห็นร่องรอยแกลบข้าวในเนื้ออิฐอย่างชัดเจน บนผิวหน้าอิฐมีรอยประทับรูปฝ่าเท้าด้านขวา ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเกิดขึ้นจากความบังเอิญในระหว่างขั้นตอนการผลิตอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรม กำหนดอายุสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ หรือประมาณ ๑,๐๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว
อิฐสมัยทวารวดีที่ใช้ในการก่อสร้าง ส่วนมากเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า อิฐที่พบจากโบราณสถานแต่ละแหล่งอาจมีขนาดไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมีลักษณะร่วมกันคือมีขนาดใหญ่กว่าอิฐในสมัยอื่นๆ เนื้ออิฐมีรูพรุนเนื่องจากมีการการผสมแกลบข้าวลงไปในส่วนผสม สันนิษฐานว่าเพื่อช่วยในการถ่ายเทอากาศขณะเผา และช่วยไม่ให้อิฐแตกง่าย เมื่อเผาอิฐแล้วแกลบข้าวเหล่านี้ก็จะถูกเผาสลายไปกลายเป็นรูพรุนในเนื้ออิฐ อิฐบางก้อนเผาไม่สุกทั่วทั้งก้อน โดยเนื้ออิฐภายนอกที่สุกจะมีสีส้ม แต่เนื้ออิฐภายในที่ไม่สุกจะมีสีดำ อิฐเหล่านี้ผลิตขึ้นอย่างไม่ประณีตนัก เนื่องจากต้องผลิตครั้งละจำนวนมากเพื่อใช้ในการก่อสร้าง และมักมีการฉาบปูนหรือตกแต่งด้วยปูนปั้นทับอิฐเหล่านั้น อิฐที่ใช้ในงานก่อสร้างสถาปัตยกรรมโดยทั่วไปจะไม่ได้รับการขัดฝนผิวให้เรียบ ต่างจากอิฐพิเศษที่ใช้ในพิธีกรรมอย่างอิฐฤกษ์ที่จะมีการขัดฝนผิวให้เรียบและตกแต่งลวดลายบนผิวหน้าอิฐ
อิฐที่ใช้ในการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรม นอกจากอิฐรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใช้ในการก่อเป็นโครงสร้างทรงสี่เหลี่ยมทั่วไปแล้ว ยังพบอิฐที่มีลักษณะเป็นวงโค้งคล้ายอิฐหน้าวัวที่อาจเป็นโครงสร้างของส่วนที่มีความโค้ง เช่น ฐานเจดีย์ทรงกลม หรืออิฐที่มีรอยบากหรือรอยถากเพื่อประกอบเป็นส่วนต่างๆ ของสถาปัตยกรรม เช่น ฐานบัว อิฐจำหลักลายสำหรับประดับส่วนฐานหรือส่วนต่างๆ ของสถาปัตยกรรม อิฐมีลายลูบรอยนิ้วมือ เป็นต้น
รอยประทับรูปฝ่าเท้ามนุษย์ แม้จะเกิดด้วยความบังเอิญในระหว่างขั้นตอนการผลิตก็ตาม แต่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงตัวตนและผู้คนสมัยทวารวดี ซึ่งผู้ประทับรอยเท้าบนที่ปรากฏบนอิฐก้อนนี้ อาจจะเป็นช่าง ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมในสมัยทวารวดีที่เมืองโบราณอู่ทอง ก็เป็นได้
เอกสารอ้างอิง
เด่นดาว ศิลปานนท์. โบราณสถานบ้านศรีสรรเพชญ์ ๓ ปริศนาวิหารถ้ำเมืองอู่ทอง. กรุงเทพ : อรุณการ พิมพ์, ๒๕๕๙.
วิภาดา อ่อนวิมล. “อิฐมีลวดลายในสมัยทวารวดี”. เอกสารการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๖.
"พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ : ช้างสำคัญคู่พระบารมีช้างแรกในรัชกาลที่ 9"
ช้างเผือกมีความสำคัญต่อบ้านเมืองและเป็นพระราชพาหนะคู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์ มีฐานะเทียบเท่าเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า เชื่อกันว่า ช้างเผือกเกิดขึ้นเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์ เป็นมิ่งขวัญของราษฎร การได้ช้างเผือกจึงเป็นมงคลสำหรับบ้านเมือง หากผู้ใดจับช้างเผือกได้หรือช้างที่เลี้ยงไว้ตกลูกออกมาเป็นช้างเผือกจะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เป็นไปตามพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า พ.ศ. 2464 มาตรา 12
คำว่า “ช้างเผือก” โดยส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าต้องมีสีขาวหรือขาวกว่าปกติ แต่ตามลักษณะของกรมพระคชบาลถือตามตำราพระคชศาสตร์กล่าวว่าช้างเผือกมีหลายสี ได้แก่ ขาว เหลือง เขียว แดง ดำ ม่วง เมฆ และต้องประกอบด้วยคชลักษณ์อื่น ๆ อีก เช่น ตา เพดาน อัณฑโกศ เล็บ ขน คางใน (ร่องผิวหนัง) ไรเล็บ สนับงา ช่องแมลงภู่ จึงเข้าลักษณะเป็นช้างเผือกได้ ซึ่งกรมคชบาลไม่เรียกว่า “ช้างเผือก” เรียกว่า “ช้างสำคัญ” เมื่อตรวจสอบตามตำรารวมทั้งกริยามารยาทอื่น ๆ ว่าถูกต้องตามคชลักษณ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางพระราชทานนามเป็นพระยาช้างต้นหรือนางพระยาช้างต้น ณ เมืองที่ได้ช้างนั้น หรือนำมากรุงเทพฯ แล้วแต่พระราชประสงค์ ถ้าจัดพระราชพิธีในกรุงเทพฯ ก่อนนำช้างมาจะมีการสมโภช ณ เมืองที่จับช้างได้ และเมื่อเดินทางหากพักแรมที่เมืองใดก็จะมีการสมโภชทุกเมือง คือ มีพระสงฆ์สวดมนต์ เวียนเทียน และมหรสพสมโภช ตลอดทุก ๆ เมือง
ย้อนไปตั้งแต่สมัยพระเศวตคชเดชน์ดิลก ช้างคู่พระบารมีในรัชกาลที่ 7 ล้มลง ประเทศไทยก็ไม่พบช้างเผือกอีกเลย กระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยทราบว่าที่จังหวัดกระบี่มีช้างสีประหลาดเข้าคอกนายแปลก ฟุ้งเฟื่อง จึงให้พระราชวังเมืองสุริยชาติ สมุห (ปุ้ย คชาชีวะ) ผู้เชี่ยวชาญการดูลักษณะช้างมาตรวจสอบโดยละเอียด พบว่า ลูกช้างพลายเชือกนี้เป็นลูกช้างที่ต้องด้วยคชลักษณ์เป็นช้างสำคัญคู่บ้านคู่เมือง และเป็นเครื่องส่งเสริมพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ กล่าวคือ เป็นช้างพลายรูปงาม อายุประมาณ 3 ขวบ สูง 154 ซม. งาขวาซ้าย งามเรียวเป็นต้นปลาย ยาว 29.5 ซม. หู หาง งามพร้อม หางปัดปลอก ตาขาวเจือเหลือง เพดานขาวเจือชมพู อัณฑโกศขาวเจือชมพู เล็บขาวเจือเหลืองอ่อน ขนโขมดสีน้ำผึ้งโปร่ง ขนหูยาว ขนบรรทัดหลังสีน้ำผึ้งโปร่งเจือแดง ขนตัวขึ้นขุมละ 2 เส้น ขนหางสีน้ำผึ้งแก่ เจือแดงแก่ สีกายสีบัวแดง สรุปคือ เป็นช้างที่มีลักษณะสมบูรณ์ตรงตามคชลักษณ์ อยู่ในตระกูลพรหมพงศ์ จำนวนอัฐิทิศ “กมุท” สีกายดังดอกโกมุท เสียงเป็นสรรพแห่งแตรงอน ประจำทิศหรดี
องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยได้น้อมเกล้าฯ ถวายลูกช้างพลายสำคัญแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ สวนสัตว์ดุสิต (ขณะนั้นใช้ชื่อสวนสัตว์เขาดินวนา) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 เวลา 15 นาฬิกา 20 นาที และต่อมาจึงมีพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 10 – 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 และได้พระราชทานพระนามว่า
“พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวมนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาต สยามราษฎรสวัสดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรบพิตรสารศักดิเลิศฟ้า” ซึ่งถือเป็นช้างสำคัญคู่พระบารมีช้างแรกในรัชกาลที่ 9
พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 เวลา 15 นาฬิกา ได้มีขบวนแห่ช้างสำคัญออกจากสวนสัตว์ดุสิตเข้าสู่โรงพระราชพิธี พระราชวังดุสิต พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์ พราหมณ์ทำพิธีบูชาพระเทวกรรม พระราชพิธีฯ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 ประกอบด้วย ช้างสำคัญอาบน้ำ การตักบาตร เลี้ยงพระขึ้นระวาง ครั้นได้เวลาพระฤกษ์ โหรหลวงลั่นฆ้องชัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับเกยข้างเบญจพาษ ทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระเต้าเทวบิฐและน้ำพระมหาสังข์พระราชทานแก่ช้างสำคัญ ทรงเจิมอ้อยแดงจารึกนามพระราชทานช้างสำคัญ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณรดน้ำสังข์ตามโบราณราชประเพณี พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานเครื่องคชาภรณ์ให้แต่งช้างสำคัญ พราหมณ์อ่านฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง แล้วเบิกแว่นเวียนเทียนสมโภชพระยาช้างต้น และพราหมณ์เจิมพระยาช้างต้น เป็นอันเสร็จพิธี
พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ยืนโรงที่โรงช้างต้น สวนสัตว์ดุสิต กระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชเสาวณีย์โปรดเกล้าฯ ให้นำพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เข้าไปยืนโรงในโรงช้างต้น พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อ พ.ศ. 2519 และต่อมาได้เคลื่อนย้ายพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ไปยืนโรง ณ โรงช้างต้น พระราชวังไกลกังวล เมื่อวันที่ 17 - 18 มีนาคม พ.ศ. 2547 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชโรงช้างต้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2547 ทั้งนี้ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ล้มลงเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553 ณ โรงช้างต้น พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ผู้เรียบเรียง : นางสาวดุษฎี ชัยเพชร นักจดหมายเหตุชำนาญการ คณะทำงานองค์ความรู้ของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
หมายเหตุ : คงการสะกดชื่อพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ตามที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุ
------------------------------
อ้างอิง :
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย มท 0201.2.1.31/42 เรื่อง พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ (31 ตุลาคม 2502)
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารบันทึกเหตุการณ์และจดหมายเหตุ จ/2502/40 เรื่อง พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ระหว่างวันที่ 10 – 11 พฤศจิกายน 2502 (10 – 11 พฤศจิกายน 2502)
เพลินพิศ กำราญ. โรงช้างต้น. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2521.
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ภาพถ่ายเหตุการณ์สำคัญ ฉ/จ/1587 ภาพช้างสำคัญ
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. ภาพส่วนบุคคล ชุด นางเติมทรัพย์ จามรกุล ภ หจภ สบ2.3/11(1) ภาพพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. ภาพชุดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ภ หจภ อ2/78 (1) ภาพพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ
หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. ภาพชุด สำนักพระราชวัง ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่) ภ หจภ พว2.1.2/130 (1) ภาพพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ
ชื่อเรื่อง โบราณสถานบ้านศรีสรรเพชญ์ 3 ปริศนาวิหารถ้ำเมืองอู่ทองผู้แต่ง กรมศิลปากรประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือท้องถิ่นISBN/ISSN -หมวดหมู่ ประวัติศาสตร์เลขหมู่ 959.373 ด865บสถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯสำนักพิมพ์ กรมศิลปากรปีที่พิมพ์ 2559ลักษณะวัสดุ 66 หน้า : ภาพประกอบ ; 30 ซม.หัวเรื่อง โบราณสถานศรีสรรเพชญ์ 3 โบราณคดี(การขุดค้น) – สุพรรณบุรี โบราณวัตถุ – สุพรรณบุรี ศิลปวัตถุ – สุพรรณบุรี สุพรรณบุรี – โบราณสถานภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก สำหรับโบราณสถานบ้านศรีสรรเพชญ์ 3 เป็นพุทธสถานแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี บริเวณนอกเมืองอู่ทองด้านทิศตะวันตก เมื่อวัฒนธรรมทวารวดีเสื่อมคลายลง เมืองอู่ทองถูกทิ้งร้างไป โบราณสถานแห่งนี้จึงกลายเป็นซากปรักหักพังที่ถูกกร่อนเซาะด้วยกาลเวลามานานนับพันปี
กรมศิลปากร. พระราชหัตถเลขาคราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ ในรัชกาลที่ 5. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2561. เอกสารประวัติศาสตร์ เรื่อง พระราชหัตถเลขาคราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือ ในรัชกาลที่ 5 มีลักษณะเป็นบันทึกประจำวันการเสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ผู้สำเร็จราชการอยู่รักษาพระนครกรุงเทพฯ รวม 26 ฉบับ ซึ่งเป็นเรื่องราวเหตุการณ์เสด็จประพาสสถานที่สำคัญตามบ้านและหัวเมืองใหญ่น้อย ภายหลังจากที่เสด็จฯ ออกจากพระนครศรีอยุธยา ไปถึงเมืองอ่างทอง สิงห์บุรี สรรพยา ชัยนาท มโนรมย์ อุทัยธานี นครสวรรค์ บางมูลนาค บ้านขมัง พิจิตร พิษณุโลก พิชัย ตรอนตรีสินธุ์ อุตรดิตถ์ ทุ่งแย้ ลับแล และฝาง ตามลำดับ
สำนักช่างสิบหมู่ นำเสนอ E – book ความรู้เรื่อง : การเขียนภาพจิตรกรรมประกอบนิทรรศการพิเศษ เรื่อง "เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก" ณ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ภาพจิตรกรรมเรือสำเภาแล่นในท้องทะเล เป็นภาพแสดงท้องทะเลและเรือสำเภาขนส่งสินค้าเดินทางติดต่อค้าขาย มีทั้งเรือสำเภาญี่ปุ่น จีน อยุธยา และยุโรปโดยจัดวาง องค์ประกอบเพื่อสื่อให้เห็นถึงบรรยากาศการเดินทางติดต่อค้าขาย ด้วยเรือสำเภาระหว่างเมืองท่าญี่ปุ่น อยุธยาและยุโรปนำไปติดตั้งสร้างบรรยากาศ ประกอบกับการจัดแสดงภายในนิทรรศการ
ผู้เรียบเรียงและออกแบบ นายธรรมรัตน์ กังวาลก้อง จิตรกรปฏิบัติการ
สังกัด กลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร
ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด E – book ขั้นตอนการเขียนภาพจิตรกรรมได้จากลิ้งค์ที่แนบด้านล่างนะคะ
------------------------------------------------
https://datasipmu.finearts.go.th/academic/84
------------------------------------------------
#佐賀県有田焼展覧会バンコク国立博物館
#SagaAritaThaiceramicexhibitionBangkokNationalmuseum
#นิทรรศการไทยญี่ปุ่นเซรามิกอาริตะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย 2565 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม ถึง 8 พฤศจิกายน 2565 ภายในงานพบกับการเเสดงเเสงเสียง Light & Sound 2022 สุโขทัย การเเสดงพลุ ตะไล ไฟพะเนียง การแสดงศิลปวัฒนธรรม การเเสดงกระบี่กระบอง การเเสดงโขน ละคร หุ่น การประกวดนางนพมาศ รวมทั้งเลือกซื้อสินค้าในตลาดถุงเงิน ณ วัดตระพังเงิน ตลาดแลกเบี้ย ณ บริเวณสระยายเพิ้ง ตลาดปสาน ณ บริเวณด้านหลังวัดชนะสงคราม และตลาดบ้าน บ้าน ณ บริเวณด้านหลังวัดชนะสงคราม
การจองบัตรฟรีเข้าชมการแสดง แสง เสียง ผ่านระบบออนไลน์ สามารถจองได้ที่ : https://forms.gle/FUYjUN8aMH4cVJBg6
เช็คสถานะการจองได้ที่ : https://shorturl.asia/eYJEH เมื่อจองหรือลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์เรียบร้อยแล้ว สามารถนำบัตรประชาชน มารับบัตรเข้าชมการแสดง ได้ที่ กองอำนวยการ บริเวณศาลหลักเมือง ได้ตั้งวันที่ 28 ต.ค. เป็นต้นไป ระหว่างเวลา 13.30-17.30 น.
ทั้งนี้ หากลงทะเบียนแบบออนไลน์ไม่ทัน สามารถลงทะเบียนรับบัตรเข้าชมแสง เสียง ได้ที่หน้างานลอยกระทง โดยสามารถลงได้ที่ กองอำนวยการ บริเวณศาลหลักเมือง ระหว่างเวลา 17.30-18.15 น.
>>>กำหนดการจัดกิจกรรม อ่านได้ที่ view
>>>แผนผังการจัดงานกิจกรรม : view
นอกจากนี้ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ยังได้จัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง "สังคโลกสุโขทัย" เพื่อเป็นการให้ความรู้และเผยแพร่การดำเนินงานของกรมศิลปากร ซึ่งอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้ดำเนินการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งเตาทุเรียงเมืองเก่าสุโขทัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ขุดแต่งและบูรณะครั้งใหญ่ ระหว่างปีงบประมาณ 2560-2563ที่ผ่านมา
ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร/กิจกรรมเพิ่มเติม ได้ทางเพจเฟสบุ๊ก อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 26/5ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ความรู้เรื่อง เพลงกล่อมเด็กล้านนา เพลงกล่อมเด็กเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะชนิดหนึ่ง โดยเป็นเพลงที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเด็กใช้ร้องขับกล่อมให้เด็กฟังเพื่อให้เด็กนอนหลับสบาย ไม่งอแง พัฒนามาจากการเล่านิทานให้เด็กฟังก่อนนอนในสมัยก่อน ต่อมาจึงมีการใส่ทำนองเพลงช้าๆ เพื่อความไพเราะ และสร้างบรรยากาศให้เด็กหลับง่ายขึ้น สานสัมพันธ์ความรัก ความห่วงใยจากพ่อแม่สู่ลูก ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคม วิถีชีวิตของคนในสมัยก่อนผ่านบทเพลง ในภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน มีปรากฏเพลงกล่อมเด็กอยู่ในวัฒนธรรมพื้นบ้านมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันช่วงเวลาแน่ชัด โดยลักษณะของเพลงกล่อมเด็กล้านนา ส่วนมากมักขึ้นต้นด้วยการร้อง "อื่อ จา จา" หรือ "อื่อ อื่อ จา จา" จึงมักเรียกว่า เพลงอื่อ คำว่า “อื่อ” หมายถึง เพลงที่ขับร้องโดยมีการส่งเสียงหึ่งจากลำคอให้ดังออกมาทางจมูก และมักจะทอดเสียงท้ายว่า ชา หรือ ชาชา เป็นทำนองต่างๆ เพื่อให้เกิดเสียงนุ่มนวล ชวนให้เด็กหลับได้ง่าย ปัจจุบัน เพลงอื่อ ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เนื่องจากเป็นเพลงที่ใช้การจดจำสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ที่มีปรากฏส่วนมากมาจากคนรุ่นเก่าๆ ที่ได้สืบทอดไว้นั่นเองเรียบเรียงโดยนางสาวพิมพา สุธัญญาวัชชัย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 34/4ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 30 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 53.5 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 129/4 เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)