ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,823 รายการ
อาสนวิหารอัสสัมชัญ เป็นศาสนสถานในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่ในซอย โอเรียนเต็ล ถนนเจริญกรุง ๔๐ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ประวัติความเป็นมาของอาสนวิหารอัสสัมชัญ เริ่มจากบาทหลวงยอน บัปติส ปาสกัล (Jean-Baptiste Pascal) ผู้มีเชื้อสายโปรตุเกส ได้รวบรวมเงินจากบรรดาคริสตศาสนิกชนคาทอลิก นำไปมอบให้แก่บาทหลวงเอสปรีต์ ฟลอรังส์ (Esprit-Marie-Joseph Florens) เพื่อสร้างวัดถวายเกียรติแด่พระแม่มารี บาทหลวงฟลอรังส์จึงได้นำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณฝั่งตรงข้ามวัดซางตาครู้สเพื่อเตรียมสร้างวัด ภายหลัง เมื่อบาทหลวงฟลอรังส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราช และเดินทางไปเยี่ยมคริสตศาสนิกชนที่ปีนัง ได้มีผู้บริจาคเงินเพื่อสมทบทุนสร้างวัดพระแม่มารี ท่านจึงได้ซื้อที่ดินแปลงที่สองแล้วเริ่มดำเนินการก่อสร้างวัดอัสสัมชัญขึ้น โบสถ์หลังแรกสร้างด้วยอิฐ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ “วิลันดา” อันเป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมสยามและสถาปัตยกรรมตะวันตก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาคารหลังนี้สร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๖๔ และทำพิธีเสก ในวันฉลองแม่พระลูกประคำ ใน พ.ศ. ๒๓๖๕ พระสังฆราชฌ็อง บัปติส ปัลเลอกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) บาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังประเทศสยามในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้บันทึกถึงโบสถ์หลังนี้ไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ดังปรากฏความตอนหนึ่งว่า “มีสำนักคริสตจักร หรือชมรมพวกคริสตังอยู่ห้าแห่งด้วยกันในพระนครหลวง แห่งแรกชื่อชมรมอัสสัมชัญ ซึ่งวิทยาลัยเสมินาร์ตั้งอยู่ที่นั่น ใกล้กับตัวโบสถ์อันงามก่ออิฐถือปูน สร้างมาได้เกือบสี่สิบปีแล้ว ตัวโบสถ์นั้นมีสวนอันกว้างล้อมอยู่โดยรอบ มีบ้านเรือนของพวกคริสตังกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ห่างจากชายฝั่งแม่น้ำ (Me-nam) ลึกไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร จะเห็นทำเนียบอันสูงเด่นของมุขนายกมิซซังซึ่งสิ้นค่าก่อสร้างไปถึงสามพันฟรังก์เศษ ชั้นล่างของอาคารหลังนั้นประกอบด้วยห้องนอนสองห้องกับห้องรับแขกอันกว้างใหญ่” ต่อมา บาทหลวงเอมีล กอลมเบต์ (Emile Genest Auguste Colombet) ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอัสสัมชัญระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๘ - ๒๔๗๖ มีความเห็นว่าโบสถ์หลังเดิมคับแคบ ไม่สามารถรองรับคริสตศาสนิกชนซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงได้หารือกับบาทหลวงปิแอร์ ฌ็อง-หลุยส์ โรมิเออ (Pierre Jean Louis Romieu) เหรัญญิกของคณะมิสซังสยามซึ่งรับผิดชอบโรงพิมพ์อัสสัมชัญอยู่ในขณะนั้น และตกลงว่าจะดำเนินการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ทดแทนหลังเดิม โดยจำลองรูปแบบภายนอกอาคารมาจากอาสนวิหารแม่พระแห่งเมืองไซ่ง่อน ประเทศเวียดนาม ส่วนอาคารหลังเดิมได้ถูกรื้อถอนใน พ.ศ ๒๔๔๗ อาสนวิหารหลังใหม่เริ่มวางฐานรากเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ แต่การก่อสร้าง ใช้เวลาหลายปีเนื่องจากอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทำให้การคมนาคมไม่สะดวก และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ขาดแคลน อย่างไรก็ดี อาคารหลังใหม่นี้ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาสนวิหารอัสสัมชัญได้รับความเสียหายจากแรงระเบิด จึงต้องซ่อมแซมโดยใช้เหล็กยึดโยงกลางวัด ภายในอาสนวิหารหลังปัจจุบันตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนโดยโจวานนี สกวานชิ (Giovanni Sguanci) จิตรกรจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ภาพที่มีความโดดเด่นที่สุดคือ ภาพเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติพระแม่มารีซึ่งอยู่เหนือพระแท่นบูชา ส่วนสิ่งของที่ใช้ประดับตัวอาคาร รวมถึงรูปพระต่างๆ มีทั้งของเก่าที่นำมาจากอาสนวิหารหลังเดิม และของใหม่ที่บาทหลวงกอลมเบต์สั่งมาจากประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี รวมทั้งสิ่งของที่มีผู้บริจาคด้วย อาสนวิหารอัสสัมชัญเคยได้รับเกียรติเป็นสถานที่ต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ ๒ เมื่อครั้งเสด็จเยือนประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๕๒๗ นอกจากนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันยังได้เสด็จมาประกอบพิธีมิสซาเพื่อเยาวชน ในคราวเสด็จเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒ ด้วย ซึ่งได้มีการเผยแพร่ภาพข่าวพิธีมิสซาดังกล่าวไปทั่วโลก(ภาพสเก็ตช์) อาสนวิหารอัสสัมชัญหลังเดิม ภาพจากหนังสือ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ของพระสังฆราชฌ็อง บัปติส ปัลเลอกัวซ์ภาพ อาสนวิหารอัสสัมชัญในปัจจุบัน------------------------------------------------------------เรียบเรียงโดย นางสาวพัชรา สุขเกษม นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการ กลุ่มแปลและเรียบเรียง สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์------------------------------------------------------------
พระที่นั่งคชกรรมประเวศ ถ่ายเมื่อเป็นพิพิธภัณฑสถานในราวทศวรรษที่ ๒๔๓๐
ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ สถาปนาพระบาทมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวให้มีพระราชอิสริยยศเทียบเท่ากับพระเจ้าแผ่นดิน จึงทรงดำริให้สร้างพระที่นั่งคชกรรมประเวศ บริเวณชาลาหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระบวรราชวัง เพื่อเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติยศ โดยพระที่นั่งโถงองค์นี้เป็นพระที่นั่งทรงปราสาทเพียงองค์เดียวที่เคยสร้างในวังหน้า จาก “สาส์นสมเด็จ” ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลงวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๔๗๔ ความตอนหนึ่งว่า “...สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) โปรดปราสาทองค์นั้น (พระที่นั่งคชกรรมประเวศ) มาก ได้เคยทำพิธีพืชน์มงคลที่นั้นครั้งหนึ่ง....”
ตามหลักฐานที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาพบว่า ในพุทธศักราช ๒๔๔๒ (รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๘) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีพืชมงคลที่พระที่นั่งคชกรรมประเวศ โดยมีรายละเอียดดังนี้
“วันที่ ๒๐ เมษายน เวลาเย็นได้ตั้งกระบวนแห่ พระพุทธรูปแลเทวรูปต่างๆ แลพระไชยวัฒน แต่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปประดิษฐานที่มณฑลพระราชพิธี ณ พระที่นั่งคชกรรมประเวศ พระพุทธรูปตั้งที่เตียงมณฑลบนพระที่นั่งนั้น เทวรูปตั้งบนโต๊ะที่ปรำด้านเหนือแห่งพระที่นั่ง...” อย่างไรก็ดีพระที่นั่งโถงทรงปราสาทองค์นี้เป็นพระที่นั่งเครื่องไม้ ในปลายรัชกาลที่ ๕ ทรุดโทรมเสาผุจนไม่สามารถปฏิสังขรณ์ได้ จึงโปรดให้รื้อยังคงแต่ฐานปราสาทกับเกยช้างอยู่ข้างน่าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์จนทุกวันนี้
พระที่นั่งคชกรรมประเวศ ถ่ายในปลายรัชกาลที่ ๕
ตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เสนอ เพื่อเป็นการจารึกพระนาม และเนื่องในวโรกาสครบรอบ ๖๔ พรรษา ของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี และในวโรกาสที่ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ตลอดจนเผยแผ่พระเกียรติคุณและพระมหากรุณาธิคุณในฐานะเจ้าหญิงของปวงประชา และองค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์อย่างกว้างไกลและยิ่งยืนนานและเผยแพร่ต่อประชาชนชาวไทย และใช้ในราชการ รวมถึงผู้คนทั่วโลก สามารถนำชุดแบบอักษรไปใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดภาษาและตัวอักษรไทย รวมถึงเป็นการจารึกพระนามขององค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์บนโลกดิจิทัล
สำหรับชุดแบบอักษรพระราชทาน “จุฬาภรณ์ลิขิต” ได้รับการออกแบบให้มีความคล้ายคลึงกับยอดอ่อนของดอกกล้วยไม้พันธุ์ Phalaenopsis Princess Chulabhorn เพื่อเผยแผ่เกียรติคุณและรางวัลระดับนานาชาติที่ทรงได้รับอันเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วยตัวอักษรไทยซึ่งมีโครงสร้างถูกต้องตามมาตรฐานโดยมีลักษณะเป็นตัว มีหัว มีปาก มีส่วนประกอบถูกต้องตามอักขรวิธี ไม่มีการประดับลวดลาย รายละเอียดมากจนเกินไป สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายลักษณะ จึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในราชการ อย่างไรก็ตาม ครม.เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานดำเนินการติดตั้งชุดแบบอักษรพระราชทาน “จุฬาภรณ์ลิขิต” เป็นชุดแบบอักษรมาตรฐานราชการไทย แบบที่ ๑๔ เพิ่มเข้าไปในระบบปฏิบัติการ Thai OS และให้ถือเป็นมาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วย ดาวน์โหลดชุดแบบอักษรพระราชทานจุฬาภรณ์ลิขิต https://www.cra.ac.th/th/download_fonts/no_donation
ชื่อเรื่อง ตำนานธาตุพนม (พื้นธาตุพนม)
สพ.บ. 384/1
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ภาษา บาลี/ไทยอีสาน
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
พระธาตุพนม
ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน
ลักษณะวัสดุ 12 หน้า : กว้าง 5.2 ซม. ยาว 57.5 ซม.
บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิน ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
องค์ความรู้ : กลุ่มภาษาและวรรณกรรม สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ เรื่อง "กรีนิรมิต" บทเสภาสรรเสริญพระคเณศ เทพแห่งศิลปวิทยา โดยนางสาวทิพพวรรณ บุญส่งเจริญ นักอักษรศาสตร์ชำนา่ญการ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม
นายพนมบุตร จันทรโชติ รองอธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากรได้พัฒนาการจัดแสดง นิทรรศการถาวรภายในอาคารมหาสุรสิงหนาท ตามโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ระหว่าง พ.ศ.๒๕๕๕ – ๒๕๖๔ โดยบูรณะอาคารและพัฒนาการจัดแสดงนิทรรศการถาวรทั้งอาคาร มาตั้งแต่ ปี ๒๕๖๒ ปัจจุบันอาคารมหาสุรสิงหนาทจัดแสดงศิลปะเอเชีย และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ - โบราณคดีที่พบบนผืนแผ่นดินไทยตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ก่อนพุทธศักราช ๑๘๐๐ อันเป็นช่วงเวลาที่ดินแดนในประเทศไทยปัจจุบันปรากฏหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์ จนถึงยุคที่รับวัฒนธรรมจากภายนอกโดยเฉพาะประเทศอินเดีย ก่อเกิดการพัฒนาจากบ้านสู่รัฐ ได้แก่ ห้องศิลปะเอเชีย ห้องก่อนประวัติศาสตร์ ห้องทวารวดี ห้องลพบุรี และห้องศรีวิชัย ห้อง ๔๐๑ : ห้องศิลปะเอเชีย จัดแสดงโบราณวัตถุที่เป็นงานศิลปกรรมในภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ศิลปะอินเดีย ศิลปะลังกา ศิลปะจีน ศิลปะญี่ปุ่น ศิลปะจาม และศิลปะพุกาม-พม่า ส่วนมากเป็นประติมากรรมในพุทธศาสนาซึ่งแสดงถึงการแพร่กระจายและความหลากหลายของรูปแบบศิลปกรรมในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งพุทธศิลป์บางประเทศได้เป็นต้นแบบการสร้างพระพุทธรูปในศิลปะไทย อาทิ ศิลปะลังกาที่ส่งอิทธิพลให้กับศิลปะสุโขทัย หรือศิลปะพม่าที่ส่งอิทธิพลให้กับการสร้างพระพุทธรูปในศิลปะล้านนา ห้อง ๔๐๒ : ห้องก่อนประวัติศาสตร์ ประเทศไทยพบหลักฐานเครื่องมือที่ทำจากหินกะเทาะของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตั้งแต่เมื่อประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว และมีพัฒนาการมาเป็นลำดับจนประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว จึงพบการผลิตเครื่องมือหินขัด ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า เมื่อเข้าสู่สมัยโลหะมีการนำแร่โลหะ เช่น ทองแดง ดีบุก เหล็ก มาหลอมทำอาวุธ เครื่องมือ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วงเวลานี้มีการค้นพบโบราณวัตถุที่แลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่นที่ห่างไกล จากการติดต่อสัมพันธ์ส่งผลให้เกิดพัฒนาการทางสังคมเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา ห้อง ๔๐๓ : ห้องทวารวดี “ทวารวดี” คำจารึกบนเหรียญเงินซึ่งพบตามชุมชนโบราณหลายแห่งใน พื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย นักวิชาการสันนิษฐานว่าคืออาณาจักร “โตโลโปตี” ที่ปรากฏในเอกสารจีนสมัยราชวงศ์ถัง วัฒนธรรมทวารวดีแพร่กระจายไปตามชุมชนโบราณหลายแห่งของประเทศไทย นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ หรือ ๑,๐๐๐-๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว ส่วนใหญ่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระพุทธศาสนา โดยพบหลักฐานจำนวนมากในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตก ส่วนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้มีรูปแบบที่คลี่คลายผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น โบราณวัตถุสำคัญ เช่น ธรรมจักร วัดเสน่หา (ร้าง) นครปฐม พระพุทธรูปปางแสดงธรรม คูบัว ราชบุรี ฯลฯ ห้อง ๔๐๔ : ห้องลพบุรี “ลพบุรี” มาจากชื่อเมืองหรือรัฐ “ลวปุระ” ใช้เรียกรูปแบบศิลปกรรมที่มี ความใกล้ชิดกับรูปแบบศิลปกรรมวัฒนธรรมเขมรในราชอาณาจักรกัมพูชา สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ หรือประมาณ ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว ต่อมาช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ หรือประมาณ ๘๐๐-๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว พบหลักฐานงานศิลปกรรมสร้างขึ้นเนื่องในความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธ ผ่านระบบการเมืองการปกครอง ห้อง ๔๐๕ : ห้องลพบุรี ศาสนสถานในศิลปะลพบุรีสร้างด้วยถาวรวัตถุ ประเภทอิฐหรือหิน จึงปรากฏหลักฐานชิ้นส่วนประดับสถาปัตยกรรมต่างๆ อาทิ ทับหลัง เสาประดับกรอบประตู สำหรับประติมากรรมรูปเคารพมีทั้งที่สลักจากศิลาและหล่อจากสำริด รูปแบบศิลปะลพบุรีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศิลปะเขมรสมัยเมืองพระนคร และต่อยอดเป็นพื้นฐานงานศิลปกรรมในสมัยอยุธยาตอนต้น นอกเหนือจากหลักฐานงานศิลปกรรมด้านศาสนา ปรากฏหลักฐานงานศิลปกรรมเกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิต ประเภทเครื่องปั้นดินเผาที่รังสรรค์เป็นงานศิลปกรรมประดับอาคาร และเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ห้อง ๔๐๖ : ห้องศิลปะศรีวิชัย ศรีวิชัย เป็นชื่อรัฐในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘ หรือประมาณ ๘๐๐-๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว ตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทรแหลมมลายูภาคใต้ของประเทศไทยจนถึงเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบหลักฐานทางโบราณคดีวัฒนธรรมศรีวิชัย อาทิ โบราณสถาน จารึก รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ทั้งไศวนิกายและไวษณพนิกาย ศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน สำหรับประติมากรรมศิลปะชวา เป็นโบราณวัตถุที่ได้รับมอบในคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสชวา ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๓๙ และอีกส่วนหนึ่งได้รับเพิ่มเติมในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทั้งนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมการจัดแสดงนิทรรศการถาวร ภายในอาคารมหาสุรสิงหนาท คงเหลือการจัดแสดงนิทรรศการถาวรห้องลพบุรี ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการต่อไป ผู้สนใจสามารถเข้าชมการจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์-โบราณคดีก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้บริการทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ ระหว่างเวลา ๐๘.๓๐ – ๑๖.๐๐ น. ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒ , ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓ โทรสาร ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๔
กรมศิลปากร ขอเชิญรับชมถ่ายทอดสด Facebook Live รายการ ไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน "การจัดรูปขบวนพยุหยาตราทางชลมารค” วิทยากรโดย นาวาเอกณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ ผู้อำนวยการกองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ กองทัพเรือ, นางยุนีย์ ธีระนันท์ หัวหน้ากลุ่มงานช่างปิดทองประดับกระจกและช่างสนะไทย กลุ่มประณีตศิลป์ สำนักช่างสิบหมู่ และนางสาวดวงใจ พิชิตณรงค์ชัย หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ดำเนินรายการโดย นางกมลชนก พรภาสกร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. ผู้สนใจสามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากร
...เกาะต่างๆ ในอ่าวพังงา ที่เราแล่นเรือผ่านนั้น หากสังเกตบริเวณผนังเพิงผาหรือถ้ำ อาจพบภาพเขียนสีหรือศิลปะถ้ำ ที่มนุษย์ในอดีตได้เขียนหรือวาดเอาไว้ เมื่อครั้งที่แวะเข้ามาพักพิงและใช้พื้นที่เพื่อวัตถุประสงค์ในหลายๆประการ ที่เกาะยางแดงแห่งนี้ แม้จะไม่ปรากฏภาพบุคคลและสัตว์ประเภทต่างๆ ดังที่พบที่เกาะอื่นๆ แต่ที่นี่ปรากฏภาพที่อาจสื่อถึงพืชพันธุ์ธรรมชาติที่อาจเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคนั้นได้... ที่ตั้งและสภาพทั่วไป แหล่งภาพเขียนสีเกาะยางแดง ตั้งอยู่ที่ ตำบลกะไหล อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา อยู่บนเกาะซึ่งไม่ปรากฏชื่อในแผนที่ทหาร ใกล้กับเกาะทะลุใต้ เป็นเขาหินปูนขนาดเล็ก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะที่อยู่ติดกัน ตัวเกาะมีรูปร่างยาวรี วางตัวตามแนวแกนทิศเหนือ – ใต้ มีความยาวประมาณ ๒๕๐ เมตร กว้างประมาณ ๘๐ เมตร การเข้าถึงแหล่ง จากอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา เดินทางโดยเรือระยะทางประมาณ ๑๗.๒ กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ ๒๐ – ๒๕ นาที โดยผ่านคลองเกาะปันหยี เกาะปันหยี มาทางทิศใต้ผ่านเขาพิงกัน และมุ่งหน้าทางตะวันตก มุ่งสู่เกาะทะลุใต้ ทางด้านซ้ายหรือด้านทิศใต้เป็นที่ตั้งของเกาะยางแดง ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเขาพิงกัน และควรเดินทางมาถึงช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูง เพื่อให้เรือสามารถแล่นเลาะเลียบเกาะทางฝั่งด้านทิศตะวันออกที่มีลักษณะเป็นอ่าวขนาดเล็กที่มีสภาพค่อนข้างตื้น ไปยังตำแหน่งทางขึ้นสู่เพิงผาที่ปรากฏภาพเขียนสีได้ ลักษณะและรูปแบบ บริเวณที่ปรากฏภาพเขียนสี เป็นเพิงผาขนาดเล็กและแคบ หันไปทางทิศตะวันออก ลักษณะเป็นโพรงถ้ำขนาดเล็กในแนวนอน ขนาดกว้างประมาณ ๒ เมตร ยาวประมาณ ๗ เมตร และสูงประมาณ ๑ เมตร ทางขึ้นค่อนข้างชันมาก เพิงผาอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๓ – ๕ เมตร มีหินงอกหินย้อย และสามารถเข้าไปอยู่ในโพรงถ้ำได้เพียงครั้งละ ๑ – ๒ คนเท่านั้น ที่ผนังของเพิงผาปรากฏกลุ่มภาพเขียนสีแดงเข้ม เป็นภาพลายเส้นคล้ายดอกไม้ ลายเส้นอื่นๆ และร่องรอยภาพสีแดงที่ค่อนข้างลบเลือน ภาพที่ปรากฏชัดเจนเป็นกลุ่มภาพลายเส้นสีแดงเข้ม มีจำนวน ๕ – ๖ ภาพ อยู่ใกล้กัน ขนาดกลุ่มภาพโดยรวมกว้างประมาณ ๑๐๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๖๐ –๗๐ เซนติเมตร ภาพที่ปรากฏชัดเจนที่สุด อยู่ด้านล่างสุดของกลุ่มภาพ เป็นภาพลายเส้นโค้งและเส้นตรงประกอบกันคล้ายรูปดอกไม้หรือดอกหญ้าชูขึ้น ขนาดภาพกว้างและยาวด้านละประมาณ ๑๕ เซนติเมตร สูงจากพื้นเพิงผา ๔๐ เซนติเมตร ส่วนภาพอื่นๆ เป็นภาพลายเส้นตรง เส้นตรงปลายแหลม และเส้นโค้งต่างๆ ซึ่งบางภาพเขียนประกอบกันคล้ายภาพเรขาคณิต แต่ไม่มีรูปทรงที่ชัดเจน และที่ผนังด้านในปรากฏร่องรอยสีแดง สาระสำคัญ เกาะยางแดง มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่กลางทะเลในอ่าวพังงา โดยด้านทิศตะวันออกของเกาะเป็นอ่าวขนาดเล็ก ซึ่งมนุษย์ในอดีตสามารถใช้จอดเรือและหลบคลื่นลม และสามารถใช้เพิงผาและถ้ำขนาดเล็กเป็นแหล่งพักพิงชั่วคราว ทั้งนี้สภาพภูมิประเทศในอดีต เพิงผานี้อาจมีสภาพที่เหมาะสมและมีขนาดใหญ่มากพอที่มนุษย์จะสามารถเข้าไปใช้พื้นที่ด้านในเพื่อประกอบกิจกรรม หรือพิธีกรรม ซึ่งอาจมีการขีดเขียนวาดภาพบนผนังเพิงผาเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งสันนิษฐานว่าอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว กลุ่มภาพสีแดงเข้มที่ปรากฏบนผนังเพิงผา สันนิษฐานว่าอาจเป็นกลุ่มภาพเล่าเรื่องแสดงเหตุการณ์หรือบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต โดยมีภาพที่สำคัญเป็นภาพลายเส้นคล้ายดอกไม้ ดอกหญ้า หรือพืชชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ผู้เขียนได้พบเห็นมา หรือเขียนบอกเล่าชนิดของพืชที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการอุปโภคและบริโภคได้ ส่วนภาพลายเส้นอื่นๆ ที่บางภาพเขียนประกอบกันคล้ายภาพเรขาคณิต อาจเป็นการขีดเขียนเพื่อสื่อสาร เขียนภาพประกอบ หรืออาจเป็นภาพที่ยังเขียนไม่แล้วเสร็จ -------------------------------------------------------สำรวจ/เรียบเรียง/กราฟิก : นายธวัชชัย ชั้นไพศาลศิลป์ นักโบราณคดีชำนาญการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช
ชื่อเรื่อง ธมฺมปทวณฺณา ธมฺมปทฏฐกถา ขุทฺทกนิกายฏฐกถา (ธมฺมปทฺธ)
สพ.บ. 376/9ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 4 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง ธรรมเทศนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน ภาษาบาลี-ไทยอีสาน เส้นจาร ฉบับล่องชาด-ลองรัก ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.39/1-6
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)