ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,784 รายการ
ชื่อเรื่อง บทละครครั้งกรุงเก่า เรื่องนางมโนห์ราและสังข์ทอง ฉบับหอสมุดแห่งชาติผู้แต่ง กรมศิลปากรพิมพ์ครั้งที่ 3ประเภทวัสดุ/มีเดีย หนังสือหายากหมวดหมู่ วรรณคดีเลขหมู่ 895.9112082 บ129สถานที่พิมพ์ พระนครสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์รุ่งเรืองรัตน์ปีที่พิมพ์ 2508ลักษณะวัสดุ 136 หน้าหัวเรื่อง บทละครไทย – รวมเรื่องภาษา ไทยบทคัดย่อ/บันทึก หนังสือเล่มนี้ อภิบายเรื่องบทละครครั้งกรุงเก่า นิทานและบทละครเรื่องนางมโนห์รา นิทานและบทละครเรื่องสังข์ทอง
พระเจดีย์หลวงบนเขาตังกวน
ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
ประวัติของพระเจดีย์หลวงบนเขาตังกวน
ชื่อเขาตังกวนปรากฏหลักฐานครั้งแรกในแผนที่ภาพกัลปนาวัดเมืองพัทลุงในสมัยอยุธยา ส่วนองค์พระเจดีย์ที่อยู่บนยอดเขาตังกวนมีประวัติการก่อสร้างไม่แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใดและใครเป็นผู้สร้าง แต่มีปรากฏข้อมูลหลักฐานการบูรณปฏิสังขรณ์ที่ชัดเจนในเอกสารพงศาวดารเมืองสงขลาที่เขียนขึ้นโดยเจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาลำดับที่ ๕ ระบุไว้ว่า เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๔ เสด็จประพาสเมืองสงขลา ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๐๒ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปบนเขาตังกวน เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๐๒ เพื่อสักการะพระเจดีย์และทอดพระเนตรทัศนียภาพเมืองสงขลาจากมุมสูง ทรงมีพระราชดำริจะให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์ให้มีขนาดสูงใหญ่ขึ้นกว่าของเก่า จากนั้นในวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๔๐๒ ทรงโปรดเกล้าฯให้สมุหพระกลาโหม (ช่วง บุนนาค) เอาตัวอย่างพระเจดีย์มาให้เจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์) ถึงทำเนียบผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๔ เสด็จนิวัติถึงพระนครแล้ว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสามภพพ่าย (หนู เกตุทัต) เป็นข้าหลวงออกไปให้เจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์) ดำเนินการบูรณะพระเจดีย์บนยอดเขาตังกวน มีความสูง ๙ วา ๓ ศอก (ประมาณ ๑๘.๗๕ เมตร) โดยได้พระราชทานเงินทั้งสิ้นจำนวน ๓๗ ชั่ง ๔ บาท
ในโอกาสเดียวกันนั้นเจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์) ได้สร้างคฤห์ (ซุ้มพระ) ต่อที่ฐานทักษิณ ๒ คฤห์ อยู่ทางด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ขององค์พระเจดีย์เพื่อเป็นที่ทำการสักการะบูชาพระเจดีย์ พร้อมทั้งก่อสร้างอาคารเก๋งจีนขนาดเล็กอยู่ทั้ง ๔ มุม และมีกำแพงแก้วล้อมรอบ โดยสิ่งดังกล่าวนี้เจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์) ทำขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯถวายโดยเสด็จพระราชกุศลเข้าในพระเจดีย์หลวง คิดเป็นเงิน ๑๗ ชั่ง ๓ บาท การบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์องค์นี้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อปีขาล อัฐศก จุลศักราช ๑๒๒๘ (พ.ศ. ๒๔๐๙) โดยปรากฏศิลาจารึกเกี่ยวกับการบูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์อยู่ที่ผนังเหนือแท่นบูชาภายในคฤห์ทางด้านทิศใต้ ซึ่งปัจจุบันศิลาจารึกดังกล่าวได้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา
เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๗ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จฯ เขาตังกวน และทรงบันทึกถึงเรื่องพระเจดีย์บนเขาตังกวนรวมทั้งสถานที่สำคัญต่างๆของเมืองสงขลาไว้
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสแหลมมลายูถึงเมืองสงขลา เมื่อวันอังคาร เดือน ๙ แรม ๑๓ ค่ำ (ตรงกับวันอังคารที่ ๔ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๓๑) เวลาเช้าเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระเจดีย์บนยอดเขาตังกวนทรงพระราชศรัทธาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างศาลาพระวิหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระราชดำริจะสร้างค้างอยู่ จนแล้วเสร็จในปีศก ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒)
นอกจากนี้ยังได้ก่อสร้างบันไดนาคซึ่งเป็นบันไดที่สร้างขึ้นด้วยหินตั้งอยู่ระหว่างศาลาพระวิหารขึ้นสู่พระเจดีย์หลวงบนยอดเขาตังกวน รวมทั้งประภาคารก่ออิฐถือปูน โดยก่อสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ดังปรากฏข้อความในหนังสือจดหมายระยะทางไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ.๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕) ซึ่งประภาคารดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อให้แสงไฟแสดงที่หมายในการนำเรือเข้าร่องน้ำ อ่าว เขตท่าเรือหรือเตือนอันตรายเวลาเดินเรือ ปัจจุบันประภาคารบนเขาตังกวนอยู่ในความดูแลของกองเครื่องหมายทางเรือ กรมอุทกศาสตร์
ในปี พ.ศ.๒๔๔๗ พระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชขอพระราชทานกราบทูลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภานุรังสีสว่างวงษ์ กรมพระภานุพันธุวงษ์วรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เรื่องขอรับพระราชทานปืนทองเหลืองขนาดย่อม ๆ จำนวน ๒ กระบอก สำหรับไว้ยิงเป็นเครื่องสัญญาณบนยอดเขาพระเจดีย์ เมื่อวันที่ ๔ เดือน มกราคม ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ซึ่งจะส่งสัญญาณเพื่อให้ประชาชนทั่วไปทราบในเวลาที่เรือเมล์หรือเรือราชการเข้าออก เพื่อความสะดวกทางการค้าและทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๑๑ - ๒๕๑๖ กรมศิลปากร โดยหน่วยศิลปากรที่ ๙ สงขลา ได้ดำเนินการบูรณะพระเจดีย์บนเขาตังกวนและพลับพลาที่ประทับรัชกาลที่ ๔ (ศาลาวิหารแดง)
พ.ศ. ๒๕๒๕ กรมศิลปากร โดยหน่วยศิลปากรที่ ๙ สงขลา ได้ดำเนินการบูรณะโบราณสถานบนเขาตังกวนอีกครั้ง ประกอบด้วย พระเจดีย์หลวง ศาลาวิหารแดง บันไดนาค และบันไดทางขึ้นด้านทิศเหนือ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมฉลองสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี
ในการเฉลิมฉลองเมืองสงขลา ๓๐๐ ปี ซึ่งจัดงานระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ จังหวัดสงขลาได้ทาสีองค์พระเจดีย์และทาสีทองปลียอดพระเจดีย์หลวง ทำบันไดนาคจากเชิงเขาขึ้นตังกวน และเริ่มโครงการขอพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุเพื่อบรรจุ ณ พระเจดีย์หลวงบนเขาตังกวนนี้
ต่อมาเมื่อปี ๒๕๓๙ อันเป็นปีมหามงคลสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ครองราชย์ครบ ๕๐ ปี นายภาณุ อุทัยรัตน์ นายอำเภอเมืองสงขลา ได้รวบรวมเงินบริจาคจากชาวสงขลาผู้มีจิตศรัทธา จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ดำเนินการทาสีองค์พระเจดีย์หลวง ขณะเดียวกันสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๑๐ สงขลา ได้บูรณะพลับพลาที่ประทับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน
จากนั้นในระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ นายบัญญัติ จันทร์เสนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากสำนักพระราชวังมาถึงจังหวัดสงขลา เพื่อทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในองค์พระเจดีย์หลวงเขาตังกวน โดยมี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นประธาน
การประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
พระเจดีย์และพลับพลาที่ประทับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบนเขาตังกวน (ศาลาวิหารแดง) ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติเป็นครั้งแรก ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๕๒ ตอนที่ ๗๕ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๘ และได้ประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๒ ตอนที่ ๑๘๐ หน้า ๑๔๗ (ฉบับพิเศษ) วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๘ พื้นที่ประมาณ ๓ ไร่ ๑ งาน ๒๕ ตารางวา โดยมีสิ่งสำคัญ ประกอบด้วย พระเจดีย์ , พลับพลาที่ประทับฯ (ศาลาวิหารแดง) , ประภาคาร และบันไดนาค
โครงการบูรณะพระเจดีย์บนเขาตังกวน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ปีงบประมาณ ๒๕๖๕
สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา กรมศิลปากร ได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนเงิน ๓,๖๙๔,๐๐๐ บาท (สามล้านหกแสนเก้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน) เพื่อดำเนินงานโครงการบูรณะพระเจดีย์บนเขาตังกวน ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา โดยมีขอบเขตการดำเนินงาน คือ การบูรณะซ่อมแซมองค์พระเจดีย์ และองค์ประกอบอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย คฤห์ (ซุ้มพระ) ทางด้านทิศเหนือ – ใต้ , บันไดทางขึ้นสู่องค์พระเจดีย์ , ลานประทักษิณบนฐานพระเจดีย์ , อาคารเก๋งจีนทั้ง ๔ หลัง , กำแพงแก้ว และพื้นลานภายในเขตกำแพงแก้ว
ซึ่งจะมีรายละเอียดขั้นตอนในการอนุรักษ์พระเจดีย์บนเขาตังกวนให้รับชมในเร็วๆนี้ นะคะ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย นางสาวชนาธิป ไชยานุกิจ
นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ สงขลา
———————————————————————————————————————————————————————————————————————————————————————————
เรื่องพระเจดีย์หลวงบนเขาตังกวน เพิ่มเติม
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1208053499532811&id=461661324172036&sfnsn=mo
สำนักช่างสิบหมู่ นำเสนอ E – book ความรู้เรื่อง : การเขียนภาพจิตรกรรมประกอบนิทรรศการพิเศษ เรื่อง "เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก" ณ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ภาพจิตรกรรมเรือสำเภาแล่นในท้องทะเล เป็นภาพแสดงท้องทะเลและเรือสำเภาขนส่งสินค้าเดินทางติดต่อค้าขาย มีทั้งเรือสำเภาญี่ปุ่น จีน อยุธยา และยุโรปโดยจัดวาง องค์ประกอบเพื่อสื่อให้เห็นถึงบรรยากาศการเดินทางติดต่อค้าขาย ด้วยเรือสำเภาระหว่างเมืองท่าญี่ปุ่น อยุธยาและยุโรปนำไปติดตั้งสร้างบรรยากาศ ประกอบกับการจัดแสดงภายในนิทรรศการ
ผู้เรียบเรียงและออกแบบ นายธรรมรัตน์ กังวาลก้อง จิตรกรปฏิบัติการ
สังกัด กลุ่มจิตรกรรม สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร
ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด E – book ขั้นตอนการเขียนภาพจิตรกรรมได้จากลิ้งค์ที่แนบด้านล่างนะคะ
------------------------------------------------
https://datasipmu.finearts.go.th/academic/84
------------------------------------------------
#佐賀県有田焼展覧会バンコク国立博物館
#SagaAritaThaiceramicexhibitionBangkokNationalmuseum
#นิทรรศการไทยญี่ปุ่นเซรามิกอาริตะพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 26/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 44 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
องค์ความรู้ เรื่อง น้ำถุ้ง เรียบเรียงโดย พิมพ์สวาท จิตวรรณา เจ้าพนักงานห้องสมุดชำนาญงาน หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่ น้ำถุ้ง เป็นภาชนะที่ใช้ตักน้ำจากบ่อน้ำ ทำด้วยไม้ไผ่ มีรูปทรงกรวยป้าน ก้นแหลม มีงวงหรือหูจับทำด้วยไม้ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เป็นการออกแบบที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาของชาวชนบทภาคเหนือ สำหรับการใช้งานตามความต้องการได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากชาวล้านนามักจะขุดบ่อน้ำไว้ใช้สำหรับใช้ในครัวเรือน บ่อน้ำที่ขุดมีความลึกเกินกว่าที่จะเอื้อมมือตักได้ จึงจำเป็นต้องใช้ภาชนะสำหรับตักน้ำขึ้นมาใช้ การสานน้ำถุ้ง เริ่มที่การทำแบบไม้รูปทรงคล้ายน้ำถุ้งคว่ำหรือบางรายก็ใช้น้ำถุ้งเก่าเป็นแม่แบบ ใช้ตอกแบนเป็นโครงเส้นยืนวางทับไขว้กันบนแบบในลักษณะรัศมีออกจากศูนย์กลาง ใช้ตอกส่วนผิวเส้นเล็กสานขัดวนขึ้นมาแบบลายก้นหอยจากศูนย์กลางส่วนก้น ๔-๕ รอบแล้วสลับเส้นที่บางแต่กว้างกว่ามาสานต่ออีกจนได้ระดับความสูงประมาณ ๑๕ เซนติเมตร จึงตัดปลายตอก เมื่อได้โครงไม้ไผ่เสร็จแล้วก็ทามูลควายเป็นการอุดรูรั่วไว้ชั้นหนึ่งก่อน หลังจากนั้นจึงติดงวงแล้วนำไปลงชัน ทางภาคเหนือเรียกว่า “ขี้หย้า” ซึ่งเป็นยางไม้ที่เกิดจากแมลงตัวเล็ก ๆ สีแดงคล้ายแมงหวี่ ก่อรังตามต้นเหียง ต้นรัง และต้นแงะ(ต้นเต็ง) ลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาวหม่นก่อนทาต้องนำมาตำแล้วร่อนเอาผงละเอียดผสมกับน้ำมันยางหรือน้ำมันก๊าดทาเคลือบผิวหรือหากต้องการความรวดเร็วอาจจะไม่ลงมูลสัตว์แต่ต้องใช้ผงชันผสมน้ำมันก๊าดทาทับผิว ก็จะได้น้ำถุ้งที่ไม่มีรูรั่ว ทนน้ำ หรือบางบ้านก็อาจนำสังกะสีมาดัดแปลงแทนไม้ไผ่ซึ่งมีความคงทนแต่ถ้าใช้ไปนาน ๆ อาจเกิดสนิมได้ รูปทรงของน้ำถุ้ง ที่เป็นกรวยป้าน คือปากกว้าง ก้นแหลมโค้งมน ทำให้น้ำถุ้งจมผ่านผิวน้ำได้เร็วขึ้น หูที่ทำจากไม้ไขว้กันก็จะเพิ่มน้ำหนักช่วยกดปากน้ำถุ้งให้จมลงและน้ำเข้าได้ง่ายเมื่อโยนลงไปในบ่อน้ำ ปัจจุบัน การใช้น้ำถุ้งเป็นภาชนะตักน้ำจากบ่อแทบไม่มีให้เห็น แต่ละบ้านมีการใช้น้ำประปาแทนการตักน้ำจากบ่อน้ำ น้ำถุ้งจึงเปลี่ยนบทบาทจากภาชนะที่ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นภาชนะที่ใช้ประดับตกแต่งสถานที่เพื่อความสวยงาม#องค์ความรู้สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 128/7
เอกสารโบราณ
(คัมภีร์ใบลาน)
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 164/6 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 19/1ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
เลขทะเบียน : นพ.บ.589/1ข ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 102 หน้า ; 4 x 49 ซ.ม. : รักทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 190 (378-384) ผูก 1ข (2566)หัวเรื่อง : พระสังคิณี--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ วันแห่งการสถาปนา “กรุงรัตนโกสินทร์” และวันยกเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวลา ๒๔๑ ปี ทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จึงเรียบเรียงเรื่องราวสำคัญนี้ขึ้นมา เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
เป็นเรื่องราวก่อนวันสถาปนา “กรุงรัตนโกสินทร์” รัชสมัยที่ราชธานียังคงเป็น “กรุงธนบุรี”ปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เกิดการจลาจลขึ้นในกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ระงับจลาจลราบคาบ และทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๓๒๕
และนำไปสู่เหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อรัชสมัย “กรุงรัตนโกสินทร์” นั้นคือ เหตุการณ์การย้ายราชธานี โดยราชธานีใหม่นั้นก็คือ “กรุงเทพมหานคร” หรือชื่อเต็มในขณะนั้นเรียกกันว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้อธิบายถึงสาเหตุของการย้ายราชธานีในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ว่า
“ฝั่งฟากตะวันออก (กรุงเทพฯ) เป็นที่ชัยภูมิดีกว่าที่ฟากตะวันตก (กรุงธนบุรี) โดยเป็นแหลมมีลำแม่น้ำเป็นขอบเขตต์อยู่กว่าครึ่ง ถ้าตั้งพระนครข้างฝั่งตะวันออก (กรุงเทพฯ) แม้นข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนครก็ต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่าอยู่ข้างฝั่งตะวันตก (กรุงธนบุรี) ฝั่งตะวันออก (กรุงเทพฯ) นั้นเสียแต่เป็นที่ลุ่ม เจ้ากรุงธนบุรีจึงได้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก (กรุงธนบุรี) ที่เป็นดอน แต่ก็เป็นที่ท้องคุ้งน้ำเซาะทรุดพังอยู่เสมอไม่ถาวร พระราชนิเวศน์มนเทียรสถานเล่า ก็ตั้งอยู่ในอุปจาร ระหว่างวัดแจ้งและวัดท้ายตลาดขนาบอยู่ทั้ง ๒ ข้าง ควรเป็นที่รังเกียจ ” โดยสรุปสาเหตุที่ย้ายราชธานีเพราะ
๑. ที่ตั้งราชธานีใหม่ (กรุงเทพฯ) อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา เป็นพื้นที่กว้างขวางเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การป้องกันตัวเองจากข้าศึก
๒. ที่ตั้งราชธานีเดิม (กรุงธนบุรี) อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่นํ้าเจ้าพระยาเป็นที่ที่นํ้าเซาะ
๓. ราชธานีเดิม (กรุงธนบุรี) มีวัดขนาบทั้งสองข้างไม่เหมาะแก่การที่จะขยายพระราชวังออกไปได้อีก
ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๔๑ ปี ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ นี้ ถือเป็นโอกาสดีที่คนไทย โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ จะได้เรียนรู้และสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดความรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม