ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 163/5 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)
พระสาวกนั่งพนมมือ
ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒
ได้มาจากวัดศรีโขง ตำบลฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๔-๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
หินผลึกใสสลักรูปพระสาวกในท่าอัญชลี (พนมมือ) นั่งขัดสมาธิราบ ศีรษะเรียบ ใบหน้ากลม คิ้วโก่ง หลับตา ปลายหางตาตวัดเล็กน้อย บริเวณคอมีรอยแตกชำรุด ครองจีวรห่มเฉียง มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาในท่าอัญชลี
พระสาวก หมายถึง ศิษย์ของศาสดา* รูปประติมากรรมพระสาวกจะแตกต่างจากพระพุทธรูปชัดเจน คือ ไม่ปรากฏอุษณีษะบนศีรษะ อันเป็นหนึ่งในลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการของพระพุทธเจ้า รวมทั้งหากเป็นพระพุทธรูปจะไม่แสดงท่าอัญชลี (การพนมมือ) เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงมีสถานะสูงสุดในโลกนี้
การสร้างประติมากรรมพระสาวกในล้านนา เกิดขึ้นภายใต้ความเชื่อเรื่อง พระรัตนตรัย ทางพุทธศาสนาที่ประกอบไปด้วย “พระพุทธ” หมายถึง พระพุทธเจ้า “พระธรรม” หมายถึงหลักธรรมคำสอน และ “พระสงฆ์” หมายถึงพระสาวก ทั้งนี้ในวัฒนธรรมสมัยหริภุญไชย (พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๙) ปรากฏทั้งประติมากรรมลอยตัวพระสาวกนั่งขัดสมาธิราบแสดงการพนมมือ และพระพิมพ์บางชิ้นยังปรากฏรูปพระสาวกนั่งคุกเข่าพนมมือขนาบข้างพระพุทธเจ้า
ต่อมาในวัฒนธรรมล้านนายังคงปรากฏการสร้างรูปพระสาวกในพุทธศาสนา มีตัวอย่างเช่นประติมากรรมพระอัครสาวกสองรูปที่วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. ๑๙๕๔ ประติมากรรมพระสาวกสัมฤทธิ์ที่จัดแสดงอยู่ในห้องล้านนา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมทั้งพระสาวกหินผลึกองค์นี้ ซึ่งได้จากโบราณสถานวัดศรีโขง โบราณสถานที่พบทั้งพระพุทธรูปงา พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ และพระพุทธรูปหินผลึกเป็นจำนวนมากและมีหลากหลายสี จำนวนทั้งสิ้น ๑๑๕ ชิ้น
แรงบันดาลใจสำคัญของการสร้างพระสาวกและพระพุทธรูปหินผลึกเหล่านี้ เกิดจากแนวคิดอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป มีปรากฏในคัมภีร์อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปฉบับล้านนา ระบุว่าอานิสงส์ที่จะได้รับจากการสร้างพระพุทธรูปนั้น ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ กรณีของแก้วหรือหินผลึกกล่าวว่า จะได้เสวยผลอานิสงส์ ๖๕ กัป**
*ตามความหมายของ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หน้า ๑๒๕๐
**กัป หมายถึง อายุของโลกตั้งแต่เมื่อพระพรหมสร้างเสร็จจนถึงเวลาที่ไฟประลัยกัลป์มาล้างโลกบางทีใช้คู่กับคำกัลป์ เช่น ชั่วกัปชั่วกัลป์ นานนับกัปกัลป์พุทธันดร.
อ้างอิง
กรมศิลปากร. พระพุทธรูป ณ วังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน นพปฏิมารัตนมารวิชัย. กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๖๒.
กรมศิลปากร. สมบัติศิลปจากบริเวณเขื่อนภูมิพล. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แพร่การช่าง. (พิมพ์เป็นที่ระลึกในการฌาปนกิจศพ นายนกยูง พงษ์สามารถ ณ เมรุวัดธาตุทอง วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘).
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖.
ความรู้สึกทั้งหมด
152152
ชื่อเรื่อง สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ. 17/7ประเภทวัดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา
ชื่อผู้แต่ง -
ชื่อเรื่อง อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นายเสริม วินิจฉัยกุล
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ กรุงเทพฯ
สำนักพิมพ์ บริษัท เพื่อนพิมพ์ จำกัด
ปีที่พิมพ์ ๒๕๒๘
จำนวนหน้า ๑๐๑ หน้า
ราชบัณฑิตยสถานกับเจ้าภาพ ขออนุญาติจัดพิมพ์บทความทางวิชาการที่ท่านได้เขียนขึ้น แม้บางเรื่องจะเขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๖ และ ๒๔๘๗ ในโอกาศการพระราชทานเพลิงศพ นายเสริม วินิจฉัยกุล นายกราชบัณฑิตยสถาน ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพสิรินทราวาส
เลขทะเบียน : นพ.บ.439/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 24 หน้า ; 5 x 58 ซ.ม. : ทองทึบ-ชาดทึบ-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 157 (141-148) ผูก 7 (2566)หัวเรื่อง : เวสฺสนฺตรชาตก--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.585/1ก ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 30 หน้า ; 4.5 x 59 ซ.ม. : ชาดทึบ-รักทึบ-ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 189 (372-377) ผูก 1ก (2566)หัวเรื่อง : ปัญญาบารมีหลวง--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เทวดาปูนปั้นวัดเจ็ดยอด ประติมากรรมปูนปั้นรูปเทวดาถูกประดับอยู่ที่บริเวณผนังของวิหารวัดมหาโพธาราม หรือ วัดเจ็ดยอด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ. 1998 สมัยพระเจ้าติโลกมหาราช โดยโปรดให้ช่างถ่ายแบบมาจากวิหารมหาโพธิ์ ตำบลพุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยย่อส่วนให้เหลือประมาณ 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น ส่วนลวดลายปูนปั้นที่ผนังนอกวิหารใช้การประดับเป็นรูปเทวดาแทนตำแหน่งพระพุทธรูป ซึ่งแตกต่างจากต้นแบบ .ลักษณะของเทวดาที่ประดับเรียงรายอยู่ในแต่ละช่องที่คั่นด้วยเสามี 2 ชั้น แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ 1. เทวดานั่งพนมมือ ท่าทางเหมือนลอยหรือเหาะอยู่กลางอากาศ ประดับที่ผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้ 2. เทวดายืนพนมมือ อยู่บนฐานบัว ประดับที่มุมจากการยกเก็จด้านหลังของวิหารพื้นหลังของเทวดาตกแต่งโปรยปรายด้วยลายดอกไม้ร่วง จากลักษณะดังกล่าวนี้เอง การประดับเทวดาในที่นี้น่าจะหมายถึง เหล่าเทวดาลงมาชุมนุม ร่วมแสดงความยินดีในคราวที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่ามกลางดอกไม้สวรรค์ เนื่องจากเหล่าเทวดามีหันพระพักตร์ไปทางด้านหลังของวิหารวัดเจ็ดยอด ซึ่งมีต้นโพธิ์อันเป็นสัญลักษณ์การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ด้วย ภาพเหล่าเทวดาหรือเทพชุมนุมเช่นนี้มักพบอยู่ในงานจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาตอนปลายหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่ที่วัดเจ็ดยอดนี้เป็นงานปูนปั้นด้านนอกของวิหาร.รูปแบบของเทวดาทั้งกลุ่มนั่งและยืน มีพระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระเนตรมองตรง แย้มพระโอษฐ์ พระวรกายเพรียวบาง บั้นพระองค์เล็ก เครื่องประดับ ทรงสวมมงกุฎกรวยสูง (กรัณฑมงกุฎ) กุณฑล กรองศอ สายอุทรพันธะ พาหุรัด ข้อพระกร ข้อพระบาท การแต่งกาย ทรงสวมผ้านุ่งยาวและชักชายผ้าออกมาโดยทำให้มีลักษณะพลิ้วไหวปลายสะบัดขึ้น ทำให้เหมือนว่าเทวดากำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศพื้นหลังมีลายดอกไม้ร่วง โดยทำเป็นลายดอกโบตั๋น ผสมใบและลายกนกก้านขด ลายก้อนเมฆ ลายจำปาดะที่คล้ายดอกจำปีหรือจำปา แต่มีขนาดใหญ่กว่า.เทวดาปูนปั้นวัดเจ็ดยอดถือได้ว่าเป็นต้นแบบในการกำหนดอายุงานศิลปกรรมในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 21 ของล้านนาได้ จากรูปแบบข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นถึงการได้รับแรงบันดาลใจจากงานศิลปะหลายแหล่งที่เป็นนิยมในช่วงนั้น เช่น การทำพระพักตร์รูปไข่ พระเนตรมองตรง พระวรกายบาง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย ซึ่งลักษณะเหล่านี้ได้ปรากฏในกลุ่มพระพุทธรูปด้วย การสวมเครื่องประดับ เช่น กรัณฑมงกุฎ การนุ่งผ้า และลายดอกจำปาดะ ก็แสดงให้เห็นถึงกระแสศิลปะลังกา ที่ในสมัยพระเจ้าติโลกมหาราช มีกลุ่มพระภิกษุนิกายวัดป่าแดงได้ไปศึกษาศาสนาที่ลังกาและอาจนำกลับมาก็เป็นได้ ส่วนลายดอกโบตั๋น แสดงให้เห็นถึงความนิยมในลวดลายประดับแบบศิลปะจีนที่พบเจอทั้งในงานประติมากรรม งานจิตรกรรม และเครื่องถ้วยในสมัยนี้-------------------------------------------อ้างอิง- สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะภาคเหนือ : หริภุญชัย – ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2555. หน้า 121 - 123.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะล้านนา. กรุงเทพฯ : มติชน, 2556. หน้า 323 – 325.- ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย. นนทบุรี : เมืองโบราณ, 2565. หน้า .ที่มารูปภาพ- ภาพถ่ายเก่าวัดเจ็ดยอด จาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่
เมืองโบราณยะรัง Ep.4 เมืองโบราณยะรัง : โบราณสถานและโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ
---------------------------------------------------------------
สำหรับหัวข้อที่จะมานำเสนอในวันนี้ คือ เมืองโบราณยะรัง : โบราณสถานและโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ จะมีเนื้อหาจะเป็นอย่างไรนั้นเชิญติดตามรับชมกันได้เลยค่ะ
---------------------------------------------------------------
Ep.1 เมืองโบราณยะรัง : เมืองโบราณสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/628320109334790
Ep.2 เมืองโบราณยะรัง = ลังกาสุกะ?
https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/pfbid023vs8jRqA2iqonHKfjBgCMWEC6GfQLWyYHFy8ogMX3RVt1UG1uy2pSNVxkd2s9BT6l
Ep.3 เมืองโบราณยะรัง : การดำเนินงานทางด้านโบราณคดี
https://www.facebook.com/fad11songkhla/posts/pfbid02yA8FEeS67MfC8HzjSBSYFYPtYd2b3nmNpXf9FQuwkajWb5X4woZgmPtHJ4vyyA8dl
Ep.4 เมืองโบราณยะรัง : โบราณสถานและโบราณวัตถุชิ้นพิเศษ
EP.5 เมืองโบราณยะรัง : การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งโบราณสถานด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (Li-DAR)
Ep.6 เมืองโบราณยะรัง : การศึกษาชายฝั่งทะเลโบราณอ่าวปัตตานี
--------------------
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร. พัฒนาการทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ๓ จังหวัดชายแดนใต้. สงขลา : สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา, 2565.
การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้, ศูนย์. ลุ่มน้ำตานี, ปัตตานี : ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2525
เขมชาติ เทพไชย, รายงานการสำรวจขุดค้นทางด้านโบราณคดี บริเวณเมืองโบราณยะรังและใกล้เคียง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี, สงขลา : โครงการโบราณคดีประเทศไทย(ภาคใต้) กองโบราณคดี
กรมศิลปากร, 2528
เขมชาติ เทพไชย, “การวิจัยทางโบราณคดี ณ บริเวณเมืองโบราณยะรัง จังหวัดปัตตานี”, เอกสารหมายเลข 11 การสัมมนาวิจัยวัฒนธรรมภาคใต้ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมไทยโฮเต็ล นครศรีธรรมราช 18-20 กันยายน 2532
ชูสิริ จามรมาน, รายงานผลการวิจัยเรื่องการวิจัยข้อมูลทางศิลปะและโบราณคดี ณ เมืองโบราณที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เพื่อศึกษาเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์, นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม, 2528
พรทิพย์ พันธุโกวิท, การศึกษาประติมากรรมสมัยทวารวดี ณ เมืองโบราณ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,2530
ภัคพดี อยู่คงดี, รายงานสังเขปผลการปฏิบัติงานทางวิชาการ โครงการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานเมืองยะรัง จังหวัดปัตตานี ปีงบประมาณ 2531 และครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2532
ศิริพร ลิ่มวิจิตรวงศ์, รายงานการขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านประแวในปีพ.ศ.2541
ศิลปากรที่ 11 สงขลา, สำนัก. รายงานผลการดำเนินงานโครงการศึกษาและขยายฐานความรู้เมืองโบราณยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ปีงบประมาณ 2561, เอกสารอัดสำเนา, 2561
ศิลปากรที่ 11 สงขลา, สำนัก. พัฒนาการทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ 3 จังหวัดชายแดนใต้,สมุทรสาคร : บริษัท บางกอกอินเฮาส์ จำกัด,2565
สว่าง เลิศฤทธิ์, การสำรวจขุดค้นทางด้านโบราณคดีบริเวณเมืองโบราณยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี, ปัตตานี : ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2530
อนันต์ วัฒนานิกร, แลหลังเมืองตานี, ปัตตานี : ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2528
อิบรอฮิม ซุกรี(เขียน), หะสัน หมัดหมาน(แปล) ประพน เรืองณรงค์(เรียบเรียง), ตำนานเมืองปัตตานี (Sejarah Kerajaan Melayu Pattani), ปัตตานี : ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2525
อมรา ศรีสุชาติ.ศรีวิชัยในสุวรรณทวีป. กรุงเทพฯ:กรมศิลปากร,2557.
จารึกศรีจนาศะ
มหาศักราช ๘๕๙ (ตรงกับพุทธศักราช ๑๔๘๐)
พบบริเวณเทวสถาน ใกล้สะพานชีกุน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องลพบุรี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
จารึกแผ่นศิลา รูปทรงคล้ายกลีบบัว จารึกอักษรเขมรโบราณทั้งสองด้าน ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑-๑๘ จารึกภาษาสันสกฤต ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๑-๑๗ จารึกภาษาเขมรโบราณ (ส่วนล่างของจารึกชำรุดหักหายไป) เนื้อความในจารึกหลักนี้ ด้านที่ ๑ กล่าวสรรเสริญพระศิวะ และระบุรายนามกษัตริย์ผู้ปกครอง “ศรีจนาศะ” ได้แก่ พระเจ้าภคทัตต์ พระเจ้าศรีสุนทรปรากรม พระเจ้าศรีสุนทรวรมัน พระเจ้านรปติสิงหวรมัน และพระเจ้าศรีมังคลวรมัน ส่วนด้านที่ ๒ กล่าวถึงนามข้าทาส
แม้จารึกหลักนี้มีประวัติว่าพบที่บริเวณเทวสถาน ใกล้สะพานชีกุนในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา แต่บริเวณที่พบนั้นไม่มีโบราณสถานที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เท่ากับอายุของจารึกศรีจนาศะ จึงเป็นไปได้ว่าจารึกศรีจนาศะหลักนี้ เดิมเคยอยู่ในพื้นที่อื่น กระทั่งต่อมาถูกย้ายมาอยู่ในพระนครศรีอยุธยา
ส่วนที่มาของจารึกหลักนี้สันนิษฐานว่าย้ายมาจากเมืองเสมาเนื่องจากจารึกหลักนี้ปรากฏชื่อ “จนาศะปุระ” หรือเมืองศรีจนาศะ ซึ่งชื่อเมืองนี้มีปรากฏในจารึกบ่ออีกา (พุทธศักราช ๑๔๑๑) พบที่บ้านบ่ออีกา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ด้านที่ ๑ ของจารึกกล่าวถึงกษัตริย์แห่งศรีจนาศะได้ถวายสัตว์ (กระบือ โค) และข้าทาสชายหญิงแก่พระภิกษุเพื่อบรรลุสัมโพธิญาณ ประกอบกับที่ตั้งเมืองโบราณขนาดใหญ่ในพื้นที่นี้คือ “เมืองเสมา” ซึ่งเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินชัดเจน พบหลักฐานในวัฒนธรรมทวารวดีเป็นจำนวนมาก ทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุ รวมถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมเขมรซึ่งสะท้อนถึงการอยู่อาศัยที่ต่อเนื่อง
ในจารึกบ่ออีกาด้านที่ ๑ เป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนว่า ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เมืองเสมามีผู้ปกครองโดยกลุ่มอำนาจในท้องถิ่น เนื่องจากจารึกบ่ออีการะบุว่า ศรีจนาศะเป็นดินแดนที่อยู่นอกกัมพุชเทศ (กมฺวุเทศานฺตเร) หรือนอกอำนาจของการปกครองของราชสำนักเขมร แม้จะปรากฏการรับวัฒนธรรมเขมรเข้ามาผสมผสานบ้างก็ตาม (เช่น การใช้ภาษาเขมรบนจารึก เป็นต้น) อย่างไรก็ตามในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ปรากฏหลักฐานว่าราชสำนักเขมรได้เข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่เมืองเสมาอย่างชัดเจน โดยมีหลักฐานสำคัญคือ จารึกเมืองเสมา ระบุมหาศักราช ๘๙๓ (ตรงกับ พุทธศักราช ๑๕๑๔) ระบุว่าพราหมณ์ยัชญวราหะ สถาปนารูปเคารพ และสร้างปราสาท (ปัจจุบันคือโบราณสถานหมายเลข ๑ เมืองเสมา) พร้อมทั้งกัลปนาข้าทาสไว้ด้วย
อ้างอิง
รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์การตรวจสอบพิกัดสถานที่พบและเก็บรักษาของจารึกรุ่นก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ในประเทศไทย เพื่อพัฒนาภูมิสารสนเทศจารึกของชาติ ปีที่ ๒ : จารึกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เล่มที่ ๑. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), ๒๕๖๔. (เอกสารอัดสำเนา)
ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกบ่ออีกา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖, จาก: https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/332
.
ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกศรีจนาศะ. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖, จาก: https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/313
ชื่อเรื่อง ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺมปทฏธกถา ขุทฺทกนิกายฏธกถ (ธมฺมปทขั้นปลาย)อย.บ. 240/19หมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 60 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ; ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธ ศาสนา บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน ฉบับทองทึบ
สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา ขอเชิญเที่ยวงานเทศกาลเที่ยวพิมาย ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ชมการแสดงแสง สี เสียง สุดยิ่งใหญ่อลังการตระการตา ณ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย พร้อมทั้งตลาดย้อนยุค ตลอดเส้นทางถนนจอมสุดาเสด็จ และประเพณีแข่งเรือยาว ชิงถ้วยพระราชทาน ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ ลำน้ำจักราช อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
อำเภอพิมาย ร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา กรมศิลปากร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอพิมาย กำหนดจัดงานเทศกาลเที่ยวพิมาย นครราชสีมา ประจำปี ๒๕๖๖ (ในสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายนเป็นประจำทุกปี) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมรายได้ให้กับประชาชน ตลอดจนส่งเสริมฟื้นฟูอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น อีกทั้งร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบ ๕๕๕ ปีการสถาปนาเมืองนครราชสีมา (พ.ศ. ๒๐๑๑ - ๒๕๖๖) ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๖ นี้ด้วย
ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร กิจกรรมต่างๆ ในงานเทศกาลเที่ยวพิมาย ๒๕๖๖ ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย Phimai Historical Park
พระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยสัมฤทธิ์ ศิลปะอยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ และพระพุทธรูปทองคำฐานบุด้วยเงิน ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น พุทธศตวรรษที่ ๒๔ ได้จากกรุภายในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า)
วัดบวรสถานสุทธาวาส อยู่ในพื้นที่ของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เดิมบริเวณนี้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ โปรดให้สร้างวัดประทานแก่หลวงชีนักนางแม้น ผู้เป็นมารดาของนักองค์อีและนักองค์ภาพระสนมเอกของพระองค์ เรียกว่า “วัดหลวงชี”
ต่อมาวัดนี้ชำรุดทรุดโทรมลง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๒ จึงโปรดให้รื้อวัดหลวงชีทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๓ ทรงอุทิศบริเวณสวนกระต่ายโปรดให้สร้างวัดขึ้นใหม่ พระราชทานนามว่า “วัดบวรสถานสุทธาวาส” เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อทรงแก้บน หรือเฉลิมพระเกียรติเมื่อครั้งได้เสด็จยกกองทัพไปปราบกบฏเวียงจันทน์ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๘
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวการก่อสร้างได้แล้วเสร็จ มีการเขียนจิตรกรรมเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ล้อมรอบ โดยมีพระราชดำริให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ให้มาประดิษฐาน แต่ก็ได้ล้มเลิกไป
“กรุ” หมายถึง ช่องว่างหรือห้องเล็ก ๆ ภายในสถูปเจดีย์ พระปรางค์ หรือพระอุโบสถ ทำไว้เพื่อบรรจุพระพุทธรูป พระพิมพ์ เครื่องราชูปโภค หรือพระบรมสารีริกธาตุ
คติการสร้างกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมพระพุทธปฏิมาและเครื่องบูชาต่างๆ นั้น มีหลักฐานกล่าวถึงจำนวนมาก ทั้งตำนานการอัญเชิญพระบรมธาตุจากลังกามาบรรจุยังสถานที่ต่างๆ อาทิ ตำนานพระปฐมเจดีย์ และจารึกวัดบูรพาราม แสดงให้เห็นความเชื่อการรับพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ผ่านการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ สอดคล้องกับคติพระมหาธาตุประจำเมือง ความศักดิ์สิทธิ์ และการอุทิศถวายเป็นพุทธบูชา
จากคัมภีร์ปฐมสมโพธิกถาเรื่อง “ธาตุนิธานกรรม” (การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) กล่าวว่า “ครั้งพระมหากัสสปะรวบรวมและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในมหาสถูปกรุงราชคฤห์ ให้ขุดดินฝังพระธาตุลึกลงไป ๘๐ ศอก ...ทำรูปพระบรมโพธิสัตว์ ๕๕๐ ชาติ รูปพระอสีติ ๗ องค์ รูปพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางสิริมหามายา และสหชาติทั้ง ๗ พร้องเครื่องราชปสาธนอลังการาภรณ์ อันพระเจ้าอชาตศัตรูถวายภายในเป็นการสัการบูชา แล้วปิดทวารห้องพระบรมธาตุอย่างมั่นคง”
ในคัมภีร์มหาวงศ์พงศาวดารลังกา กล่าวถึง “...สมัยพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยโปรดให้สร้างธาตุคัพภจรนะ (ห้องพระบรมสารีริกธาตุ) เป็นห้องสี่เหลี่ยมขาวเหมือนก้อนเมฆตกแต่งอย่างวิจิตร ...ตั้งพระพุทธรูปทองคำประดับรัตนะบนบัลลังก์แวดล้อมด้วยพระพรหมถือฉัตร ท้าวสักกะถือสังข์ พระปัญจสิขรถือพิณ พญากาฬนาค และพญามารพันมือขี่ช้างพร้อมบริวาร สร้างรูปพุทธประวัติ รูปชาดก ท้าวมหาราชประจำ ๔ ทิศ รูปยักษ์ เทวดาประนมมือ ฟ้อนรำ ประโคมเครื่องดนตรี ถือสิ่งของเครื่องบูชาต่างๆ มีแถวตะเกียงสว่างไสว มุมทั้งสี่กองด้วยทอง แก้วมณี กองไข่มุก และกองเพชร จากนั้นกระทำธาตุนิธานะ แล้วก่อปิดสถูปไว้...”
จากหลักฐานข้างต้น ทำให้เห็นว่าคติความเชื่อการสร้างกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องอุทิศถวายฯ ยังได้ส่งต่อมายังสมัยอยุธยาด้วยทั้งจากพระปรางค์วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดพระศรีมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และการบรรจุพระพุทธรูปภายในพระอุระของพระมงคลบพิตร
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ยังมีการพบกรุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพร้อมพระพุทธรูปและเครื่องบูชาต่างๆ ทั้งภายในสถูปเจดีย์และเพดานพระอุโบสถด้วย
เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๐๗ ได้มีการสำรวจพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส และได้พบพระพุทธรูปพร้อมเครื่องอุทิศถวายต่างๆ จำนวนหนึ่งภายในเพดานของพระอุโบสถ ซึ่งสร้างมาจากแก้วผลึกหรือหินมีค่า ทองคำ และสัมฤทธิ์ สามารถกำหนดอายุได้ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
โดยนำไปจัดแสดงอยู่ภายในส่วนของมุขกระสันด้านหลังพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เรียกว่า “ห้องมหรรฆภัณฑ์” เป็นห้องนิรภัยสำหรับเก็บรักษาเครื่องทองหลวง และของมีค่าหายาก อันเป็นสมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติและได้จากการขุดค้นหรือสำรวจทางโบราณคดี ต่อมามีการปรับปรุงพื้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จึงได้ย้ายมาเก็บรักษา ณ คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แต่ได้มีการนำพระพุทธรูปแก้วผลึกส่วนหนึ่งออกมาให้ประชาชนได้สักการะบูชาตามโอกาสสำคัญด้วย
____________________
อ้างอิง
กรมศิลปากร. โบราณวัตถุ กรุพระเจดีย์ วัดพระศรีสรรเพชญ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร ๒๕๖๔
กรมศิลปากร. วัดบวรสถานสุทธาวาส “วัด”ในเขตพระราชวังบวรสถานมงคล เข้าถึงเมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/T5ezS
กรมศิลปากร. สักการะพระพุทธรูป ณ วังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน : ทศพุทธปฏิมาวังหน้า. เข้าถึงเมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/OhEQ2
กรมศิลปากร. พระพุทธรูปและพระพิมพ์จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา : วิเคราะห์รูปแบบ แนวคิดและคติความเชื่อในการบรรจุในกรุเจดีย์. เข้าถึงเมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/BukAO