ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ


การสำรวจศิลปกรรมประเภทแกะสลักหินทรายบนทับหลัง โบราณสถานประเภท อโรคยาศาล..."กุฏิฤาษีหนองบัวลาย" โดย นายรัชฎ์ ศิริ นายช่างศิลปกรรมอาวุโส กุฏิฤาษีหนองบัวลาย หมู่ที่ ๗ บ้านหนองบัวลาย ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๙ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘และกำหนดขอบเขตโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๙ ตอนที่ ๑๕๕ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ พื้นที่โบราณสถาน ๑ ไร่ ๓ งาน ๗๑ ตารางวา องค์ประกอบของโบราณสถาน ๑.ปรางค์ เป็นปรางค์ขอมสร้างด้วยศิลาแลง แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตรัสย่อมุม มีขนาดประมาณ ๕x๕ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกมีซุ้มยื่นออกไปเป็นช่องประตู ขนาดประมาณ ๒.๖๐x๓ เมตร ผนังของซุ้มด้านทิศใต้เจาะเป็นช่องหน้าต่าง ๑ ช่อง ส่วนด้านอื่นๆทำเป็นซุ้มประตูหลอก ยอดปรางค์ประธาน ทำเป็นบัวเชิงบาตร ๔ ชั้น แต่ล่ะชั้นมีกลีบขนุนหินทรายจำหลักลวดลาย ส่วนยอดบนสุดเป็นบัวกลุ่ม ๒.บรรณาลัย ก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปรางค์ประธาน ภายในกำแพงแก้ว ปัจจุบันสภาพพังทลาย ๓.กำแพงแก้วและซุ้มประตู กำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง มีขนาดประมาณ ๒๕.๗๐x๓๑.๗๐ เมตร มีซุ้มประตูอยู่ทางด้านทิศตะวันออกก่อด้วยศิลาแลงกรอบประตูเป็นหินทราย ผนังซุ้มประตูด้านทิศเหนือเจาะช่องหน้าต่าง ๑ ช่อง ๔.สระน้ำประจำโบราณสถาน ตั้งอยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกกำแพงแก้วของกุฏิฤาษีหนองบัวลาย


พวงพร  ศรีสมบูรณ์ และ การุณ  โรหิตรัตนะ.  การอนุรักษ์คัมภีร์อัลกุรอาน.  กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2560.           คัมภีร์อัลกุรอาน เป็นมรดกวัฒนธรรมล้ำค่าของชาวมุสลิมที่ทุกคนศรัทธาและถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน การอนุรักษ์คัมภีร์อัลกุรอาน มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลรักษาและป้องกันการเสื่อมสภาพของคัมภีร์ คู่มือเล่มนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์คัมภีร์อัลกุรอานด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ให้รายละเอียดของวัสดุที่เป็นส่วนประกอบของคัมภีร์อัลกุรอาน การเสื่อมสภาพของคัมภีร์อัลกุรอาน การเตรียมวัสดุที่ใช้ในการซ่อมแซมคัมภีร์อัลกุรอาน วิธีการซ่อมแซมและข้อควรระวังในการซ่อมแซมคัมภีร์อัลกุรอาน รวมทั้งเทคนิคการซ่อมแซมคัมภีร์อัลกุรอาน


พระพุทธรูปยืน ศิลปะทวารวดี      ลักษณะ แสดงวิตรรกะมุทธา (ปางแสดงธรรม) ทั้ง ๒ พระหัตถ์  มีพระพักตร์กลมแป้น พระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา พระนาสิกแบน พระโอษฐ์หนาแบะ เป็นลักษณะที่พบในพระพุทธรูปในศิลปะทวารวดี   ย้ายมาจากวิหารหลวงวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา



          นายโยธิน และนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท บีเอสวายกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้มอบเครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีจากแหล่งเตาจังหวัดบุรีรัมย์ ให้กับกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จำนวน 164 รายการ มูลค่า 82 ล้านบาท โดยทำพิธีรับมอบอย่างเป็นทางการ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการรับมอบ  เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา      นายโยธิน และนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ได้มอบเครื่องปั้นดินเผาชุดนี้ให้กับกรมศิลปากร เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และจัดแสดงในนิทรรศการเครื่องปั้นดินเผา ห้องลพบุรี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ            1. เพื่อให้คนไทยโดยเฉพาะอนุชนรุ่นใหม่ ได้ภาคภูมิใจในความสามารถของคนไทยในอดีต ที่เป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณภาพดีมาตั้งแต่โบราณ จากหลักฐานแหล่งผลิตที่เตาบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกไปยังราชสำนักเมืองพระนครและเมืองอื่นภายใน อาณาจักรเขมรโบราณ เช่นเดียวกับในปัจจุบันคนไทยยังคงเป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำที่มีคุณภาพดีส่งไป จำหน่ายทั่วโลก            2. เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรีจากแหล่งเตาเมืองบุรีรัมย์ชุดนี้เมื่อจัดแสดงในนิทรรศการ เครื่องปั้นดินเผาที่ห้องลพบุรีแล้ว จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เข้ามาชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มากยิ่งขึ้น            นายโยธินใช้เวลาในการศึกษารวบรวมมากว่า 20 ปี ผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องปั้นดินเผาทั้งชาวไทยและต่างประเทศ จนเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากนักวิชาการด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ทั่วโลกว่าเป็นเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งเตาบุรีรัมย์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย   ทั้งนี้ เครื่องปั้นดินเผาสมัยลพบุรี กรมศิลปากรได้พบแหล่งผลิตเป็นเตาเผาจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ อันเป็นแหล่งอุตสาหกรรมในอดีต ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-19 นิยมผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นเอกลักษณ์ คือใช้น้ำเคลือบสีน้ำตาล สีเขียว สร้างสรรค์เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายเป็นสินค้าในภูมิภาค ปัจจุบันจึงพบเครื่องปั้นดินเผาจากเตานี้ ในแหล่งโบราณคดีที่เป็นศาสนสถานทั้งในประเทศไทย และประเทศกัมพูชา    ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำโบราณวัตถุดังกล่าวจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปชม ณ ห้องศิลปะลพบุรี อาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตามเจตนารมณ์ของผู้มอบ ผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น. ปิดวันจันทร์ – วันอังคารคนที พุทธศตวรรษที่ 13 (ประมาณ 1,300 ปี)หม้อมีพวย เผาที่อุณหภูมิต่ำ เคลือบขี้เถ้าพืช ปากผายกว้าง คอยาว ไหล่กว้าง กดประทับแถบลวดลายบริเวณไหล่ การกดประทับแบบนี้เป็นที่นิยมมากในสมัยทวารวดี ปลายพวยปั้นติดลายใบไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับลวดลายบนทับหลัง ซึ่งพบที่จังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว ลักษณะพิเศษของหม้อน้ำใบนี้ คือ การเคลือบผิว ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบยากในช่วงต้นประวัติศาสตร์เมื่อกว่าพันปีมาแล้วภาชนะรูปสัตว์ชนิดต่างๆ ได้แก่ นก กวาง กระต่าย หมูป่า สิงห์ ตัวนิ่ม แมว ปลา กบ ผลิตจากแหล่งเตาในจังหวัดบุรีรัมย์ สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่บริเวณ เทือกเขาพนมดงเร็กไหรูปนก เตาเผาพนมดงเร็ก จังหวัดบุรีรัมย์ พุทธศตวรรษที่ 17 - 18ไหมีเชิง ลำตัวกลม ปั้นติดรายละเอียดส่วนหน้าตา ปีก จะงอยปากที่เป็นลักษณะของนก มีกรงเล็บหนา เกาะเหนี่ยวไว้ที่ฐาน เคลือบขี้เถ้าพืชที่มีส่วนผสมของแร่เหล็กออกไซด์ทำให้เกิดเคลือบสีน้ำตาลตลับเคลือบขี้เถ้าพืช ผลิตจากเตาพนมกุเลน จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ 16 (ประมาณ 1,000ปีมาแล้ว)คนโทรูปพระคเณศ เตาพนมดงเร็ก จังหวัดบุรีรัมย์ พุทธศตวรรษที่ 17 - 18 (ประมาณ 800 - 900ปีมาแล้ว)คนโทเคลือบขี้เถ้าพืช บางแห่งมีการผสมแร่เหล็กออกไซด์ทำให้เกิดสีน้ำตาล ตอนบนปั้นเป็นรูปพระคเณศนั่งขัดสมาธิราบ สวมเครื่องประดับศีรษะ พระหัตถ์ขวาถืองาข้างที่หัก ตอนล่างเป็นภาชนะทรงกระบอกที่มีส่วนลำตัวคอดเว้า สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะที่ใช้สำหรับพิธีกรรมในศาสนาฮินดูคนโทรูปลิง เตาพนมดงเร็ก จังหวัดบุรีรัมย์ พุทธศตวรรษที่ 16 - 17 (ประมาณ 900 - 1,000ปีมาแล้วคนโทรเคลือบขี้เถ้าพืช ปากแคบ คอแคบสูง ลำตัวช่วงบนทำเป็นใบหน้าคล้ายลิง ลำตัวด้านหน้าปั้นติดหางยาว ใกล้ส่วนฐานด้านหน้าปั้นติดส่วนขาไหเคลือบสีน้ำตาล ผลิตจากแหล่งเตาในกัมพูชา พุทธศตวรรษที่ 18 - 19 (ประมาณ 700 - 800ปีมาแล้ว)ไหเคลือบสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ เนื้อไม่ดี เคลือบไม่สม่ำเสมอ ปั้นติดรูปช้างสองตัวบนไหล่ รูปทรงของไหมีความสัมพันธ์กับเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตจากแหล่งเตาบางปูน จังหวัดสุพรรณบุรี ไหใบนี้อาจเป็นต้นแบบให้แก่เครื่องปั้นดินเผาแหล่งเตาดังกล่าวในภาคกลางของประเทศไทย


ประวัติความเป็นมา           งานโบราณคดีใต้น้ำประเทศไทยเริ่มต้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ที่อ่าวสัตหีบ จังหวัดชลบุรี สาเหตุที่กรมศิลปากรเริ่มทำงานวิชาการด้านนี้อย่างจริงจังและกะทันหัน โดยที่กรมศิลปากรยังไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติงานในทะเล และไม่มีอุปกรณ์ปฏิบัติงานใต้น้ำ เนื่องจากมีชาวประมงพบซากเรื่อจมโบราณมีโบราณวัตถุประเภทเครื่องสังคโลกจำนวนมากในร่องน้ำลึกใกล้เกาะคราม และมีนักล่าสมบัติ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าไปงมเครื่องถ้วยสังคโลกขึ้นมาขาย โดยไม่หวั่นกลัวต่อกฎหมาย ทำให้หลักฐานทางวิชาการและมรดกทางวัฒนธรรมของชาติถูกทำลายไปมากมาย            ในการปฏิบัติงานโบราณคดีใต้น้ำระยะเริ่มต้นกรมศิลปากรได้ขอความร่วมมือจากกองทัพเรือ จัดส่งเรื่องอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการใต้น้ำมาช่วยดำเนินงานกู้โบราณวัตถุเครื่องถ้วยในแหล่งเรือจมโบราณใกล้เกาะครามได้เป็นผลสำเร็จ           ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ กรมศิลปากรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลประเทศเดนมาร์กส่งผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีใต้น้ำมาช่วยแนะนำการปฏิบัติงานและร่วมการปฏิบัติงาน ให้ทุนฝึกอบรมและศึกษาดูงานในประเทศเดนมาร์ก นับตั้งแต่ปีนั้นมาคนไทยและนานาชาติก็รู้จักโบราณคดีใต้น้ำในประเทศไทย           ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ รัฐบาลไทยจึงอนุมัติให้กรมศิลปากร จัดตั้งโครงการโบราณคดีใต้น้ำ และได้บรรจุโครงการฯเข้าไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๐ - ๒๕๒๔) ต่อมาภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนยกระดับจากโครงการโบราณคดีใต้น้ำมาเป็นงานโบราณคดีใต้น้ำ ฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดีจนสุดท้ายมาเป็นกองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมดังในปัจจุบัน   บทบาทหน้าที่           จากจุดเริ่มต้นโครงการโบราณคดีใต้น้ำมีหน้าที่รับผิดชอบในกิจกรรมการศึกษา วิจัยเรื่องการพาณิชยานาวีสมัยโบราณโดยการสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีใต้น้ำประเภทซากเรื่อจมโบราณ ซึ่งหลักฐานจมน้ำเช่นนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การคมนาคม การติดต่อค้าขายทางทะเลตลอดจนถึงสินค้า แหล่งผลิตสินค้า เทคโนโลยีการต่อเรื่อ การเดินเรือ การสงคราม และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเรือ และเมื่อท่าต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ทั้งของประเทศและของภูมิภาค           หน้าที่ความรับผิดชอบกลุ่มวิชาการโบราณคดีใต้น้ำได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามกิจกรรมดังนี้           ๑. เก็บข้อมูลทางวิชาการเพื่อการศึกษาวิจัย โดยการสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีใต้น้ำทั่วทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นในมหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ลำธาร คลอง บึง น้ำตก หนอง กว๊าน ตระพัง สระ หรืออ่างเก็บน้ำที่เกิดจากการสร้างเขื่อน           ๒. ศึกษาวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีที่ได้จากการสำรวจขุดค้นและร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีความชำนาญการเฉพาะด้าน ตามกระบวนการศึกษาวิจัย           ๓. แปลความและตีความหมายจากหลักฐานที่ได้จากการสำรวจขุดค้น           ๔. จัดการฝึกอบรมในสาขาที่เกี่ยวข้องกับงานโบราณคดีใต้น้ำ           ๕. พัฒนาปรับปรุงอุปกรณ์และเทคนิคการปฏิบัติงานใต้น้ำให้เหมาะสมแก่เรื่องและกรณี ทั้งการจัดหาจัดซื้อและผลิตเองที่มาของข้อมูล : 8705-กองโบราณคดีใต้น้ำ



          วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางรักชนก โคจรานนท์ รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โต๊ะข่าวไลฟ์ (Life) ในประเด็นการจัดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง เซรามิกแห่งแหลมทองและแดนอาทิตย์อุทัย: สานตำนานสายใยไม่เสื่อมคลายในพาณิชยวัฒนธรรมโลก โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การจัดนิทรรศการ การคัดเลือกชิ้นงานจัดแสดง และการแนะนำชิ้นงานที่น่าสนใจ ฯลฯ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมทั้งยังได้มอบหนังสือประกอบนิทรรศการให้แก่ผู้สื่อข่าว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเขียนบทความเพิ่มเติมอีกด้วย



กรมศิลปากร.  โบราณคดีภาคใต้ อ่าวลึก อ่าวพังงา.  กรมศิลปากร : กรุงเทพฯ, 2532.       เป็นประมวลผลการศึกษาหลังสุดของโครงการสำรวจแหล่งโบราณคดี (ภาคใต้) ของฝั่งตะวันตกหรือฝั่งอันดามัน ซึ่งสำรวจจากแหล่งโบราณคดีที่เป็นถ้ำและเพิง ผาหินปูนรอบอ่าวลึก อ่าวพังงา เป็นการขุดค้นแหล่งโบราณคดีแห่งหนึ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากพบเครื่องมือหินกะเทาะคล้ายฮิวปิเนียนฝังอยู่กับโครงมนุษย์โครงหนึ่ง ที่กำหนดอายุได้หลายพันปีมาแล้ว รวมถึงการขุดค้นแหล่งโบราณเขาเฒ่า และการขุดทดสอบกองเปลือกหอยที่แหล่งโบราณคดีเขางุ้ม


❝ เมืองนครไทย : จากหลักฐานเอกสาร ❞ #เมืองนครไทย_ตอนที่๒#โบราณคดีจังหวัดพิษณุโลก #พี่โข่ทั๋ยมี๋เรื๋องเล๋า..เรื่องราวของเมืองนครไทย มีปรากฏในหลักฐานเอกสาร ดังนี้ ๑. เมืองนครไทย จากศิลาจารึกสุโขทัย  ๑.๑ จารึกวัดเขากบ จารึกวัดเขากบ พบที่บนเขากบ เหนือปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นจารึกสมัยสุโขทัย ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ มีเนื้อหากล่าวถึงการสร้างรอยพระพุทธบาท พระเจดีย์และวิหารไว้บนยอดเขาสุมนกูฏ หรือ เขากบ นั่นเอง โดยในเนื้อหาของจารึกวัดเขากบ ด้านที่ ๒ มีความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงเมืองนครไทย ดังนี้ ❝...ข้ามมาลุตะนาวศรีเพื่อเลือกเอาคนฝูงดี.....สิงหลทีป รอดพระพุทธศรีอารยไมตรี เพชรบุรี ราชบุรีน....ส อโยธยา ศรีรามเทพนคร ที่สอรพิรุณาส ตรงบาดาล พระ...เด็จ ท่านก่อที่นั้น ผสมแต่ก่อพระเจดีย์พระศรีรัตนธาตุได้พัน...ร้อยห้าสิบเจ็ด รัตนกูดา #นครไทย (นครไท) ว่ากัมพงคลองอีกพระเจดีย์...... ❞   ดูข้อมูลของจารึกวัดเขากบ เพิ่มเติมได้ที่ : https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/215.๑.๒ จารึกวัดบูรพาราม  จารึกวัดบูรพาราม  พบที่จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันอยู่ที่หอพระสมุดวชิรญาณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร มีอายุศักราช พ.ศ. ๑๙๓๙ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงขอบเขตดินแดนของสุโขทัยโดยรวมถึงเมืองนครไทยด้วย  ความว่า ❝ศักราชเจ็ดร้อยห้าสิบแปดกลาย (พ.ศ. ๑๙๓๙) ท่านได้ปราบต์ทั้งปกกาวชาวด้านหนตีน  เถิงฝั่งของ...ตะวันออกคุง......เบื้องตะวันตกเท้าเมืองฉอดรอดแดนพัล เบื้องข้างตะวันหนออกรอดเถิงลุมบาจายรอดสายยโสธรเบื้องข้างหนอุดร #ลุนครไท (นคอร(ไท))....รอดริด...เชียงดงเชียงทองนองด้วยท้าวพระยาทิศานุทิศมาไหว้คัล❞ นอกจากนี้จารึกหลักเดียวกันนี้อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นภาษาบาลี ปรากฏชื่อเมืองนครไทยว่า ❝ #นครเทยฺยกํ❞   ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออก (บูรพา) ของสุโขทัย   ดูข้อมูลของจารึกวัดบูรพารามเพิ่มเติมได้ที่https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/254.๑.๓ จารึกกฎหมายลักษณะโจร จารึกกฎหมายลักษณะโจร (พ.ศ. ๑๙๔๐) พบที่ทางเลี้ยวเข้าวัดพระมหาธาตุและวัดสระศรี หลักกิโลเมตรที่ ๕๐ - ๕๑  อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานครเนื้อความของจารึกหลักนี้ กล่าวถึงพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติกฎหมายลักษณะโจร มีความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงข้าราชบริพารที่มาเข้าเฝ้าจากเมืองต่าง ๆ ความดังนี้❝...พระองค์ท่านเสด็จในกำแพงเพชรบุรีศรีวิมลาสน์ ด้วยพระราชศฤงคารบริพารพลแลจตุรงคนิกรธารลำน้ำพระยาพังเกษตร สคาบุรีพระยาพัง ศรีสัชนาลัยบุรีพระยาพังไทวยนทีศรียมนาพี่พระยาทานพัง #นครไทย (นคอรไทย) แล...พระราชมาตุละบพิตรมนตรีอนุชิต... ❞   ดูข้อมูลของจารึกกฎหมายลักษณะโจร เพิ่มเติมได้ที่https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/118..ข้อความที่เกี่ยวข้องกับเมืองนครไทยในจารึกสุโขทัย แสดงให้เห็นว่าในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ได้มีเมืองนครไทยเกิดขึ้นแล้ว และเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของสุโขทัย ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของเมืองที่เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างดินแดนต่าง ๆ ทั้งสุโขทัย ล้านช้าง อยุธยา และล้านนา และการเป็นแหล่งทรัพยากรประเภทของป่า รวมทั้งการผลิตเกลือ ทำให้เมืองนครไทยมีร่องรอยของพัฒนาการสืบเนื่องต่อมา โดยเฉพาะในสมัยอยุธยา ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเมืองนครไทย ดังนี้.. ๒. พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ เนื้อความในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ พูดถึงเมืองนครไทย ๒ เหตุการณ์ ดังนี้❝ ศักราช ๘๒๔ มะเมียศก (พ.ศ. ๒๐๐๕) #เมืองนะครรไทย พาเอาครัวอพยพหนีไปนาน แลให้พระกลาโหมไปตามได้คืนมา... ❞   เหตุการณ์ที่หนึ่งกล่าวถึง ปี พ.ศ. ๒๐๐๕ ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ในช่วงที่ทำสงครามกับพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา ได้เกิดการอพยพผู้คนจากเมืองนครไทยไปอยู่ที่เมืองน่าน จนทำให้ทางกรุงศรีอยุธยาต้องส่งพระยากลาโหมไปกวาดเทครัวที่อพยพหนีไปกลับคืนมา ซึ่งในเวลาต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงย้ายมาประทับบัญชาการศึกอยู่ที่พิษณุโลกและทรงผนวชที่วัดจุฬามณี เป็นเวลาถึง ๒๕ ปี เพราะฉะนั้น นครไทยในช่วงนั้น น่าจะเป็นหัวเมืองสำคัญหัวเมืองหนึ่งของอยุธยา จึงไม่สามารถปล่อยเมืองนี้ไปอยู่ในความครอบครองของล้านนาได้จากเหตุการณ์นี้เอง เป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงโปรดฯ ให้ตั้งเมืองนครไทยขึ้นเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ ๒๐๒๐ ดังความว่า ❝...ศักราช ๘๓๙ ระกาศก (พ.ศ. ๒๐๒๐) แรกตั้ง #เมืองณครรไทย.... ❞  . ๓. จดหมายเหตุลาลูแบร์ จดหมายเหตุลาลูแบร์ (Du Royaume de Siam แปลตามตัวคือ “ว่าด้วยราชอาณาจักรสยาม”) เป็นบันทึกของของซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de La Loubère) ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา จดหมายเหตุลาลูแบร์ ได้กล่าวถึงเมืองนครไทยไว้เช่นเดียวกัน โดยกล่าวถึงตำนานการสร้างพระนครศรีอยุธยา ว่ามีบรรพกษัตริย์ของสมเด็จพระรามาธิบดี (พระเจ้าอู่ทอง) พระองค์หนึ่ง อพยพมาอยู่ที่เมืองนครไทย ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อนที่กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาจะอพยพลงมาสร้างพระนครศรีอยุธยา และได้ระบุถึงปี พ.ศ. ๑๗๓๑ ไว้ด้วย ความว่า❝...ในปี พ.ศ. ๑๗๓๑ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๒ สืบต่อจากพระองค์นี้ ซึ่งทรงพระนามว่า พระพนมไชยศิริ ทรงให้อาณาประชาราษฎรของพระองค์อพยพตามไปยังเมือง #นครไทย (Lacontai) ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอันไหลมาจากภูเขาแดนลาว ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำ (เจ้าพระยา) ตอนเหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไปเล็กน้อย แต่นั้นไปยังเมืองนครไทยไกลกัน ๔๐ ถึง ๕๐ ลี้ แต่พระมหากษัตริย์พระองค์นี้มิได้ประทับอยู่ ณ เมืองนครไทยตลอดมา.... ❞  ตำนานการสร้างพระนครศรีอยุธยาของลาลูแบร์ มีเค้าโครงคล้ายกับตำนานพระเจ้าอู่ทองที่มีอยู่หลายสำนวน แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเอกสารของลาลูแบร์ เป็นการจดบันทึกจากคำบอกเล่า ทั้งคำบอกเล่าของขุนนางบ้าง ราษฎรบ้าง เป็นการจดบันทึกต่อ ๆ กันมา แต่อย่างไรก็ตาม จดหมายเหตุลาลูแบร์ก็แสดงให้เห็นว่า อยุธยาในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมืองนครไทยยังคงเป็นหัวเมืองสำคัญที่อยู่ในการรับรู้ของชาวอยุธยา ..#โบราณคดีจังหวัดพิษณุโลก #เมืองนครไทย #พี่โข่ทั๋ยมี๋เรื๋องเล๋า #องค์ความรู้ออนไลน์..::: อ้างอิง  :::. กรมศิลปากร. ประชุมจารึก ภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๘. กรมศิลปากร. ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๒. นาตยา ภูศรี. เมืองนครไทย : ข้อมูลใหม่จากงานโบราณคดีที่วัดหน้าพระธาตุ. (เอกสารอัดสำเนา). ม.ป.ท : สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย, ๒๕๖๑. ลาลูแบร์. จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร : สำนักพิมพ์ก้าวหน้า, ๒๕๑๐. หวน  พินธุพันธ์. พิษณุโลกของเรา. พระนคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๑๔...…………………………………………………………………………………☆ ช่องทางออนไลน์ : สำนักศิลปากรที่ ๖ สุโขทัย ☆…………………………………………………………………………………กดไลก์ กดแชร์ กดกระดิ่ง และกดติดตาม เพื่อไม่พลาดข่าวสารกันได้ที่ Facebook Fanpage ::: https://www.facebook.com/fad6sukhothaiYoutube Channel ::: https://www.youtube.com/channel/UCD2W0so8kn4bL-WOu8Doqnw


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           33/4ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              38 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 45 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา




คิริมานนฺทสุตฺต (คิริมานนฺทสูตร) ชบ.บ 126/1ก เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)


black ribbon.