ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,815 รายการ
มกร อ่านว่า มะ-กะ-ระ หรือ มะ-กอน เป็นคำภาษาสันสกฤต ในพจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ให้ความหมายว่า เป็นสัตว์ตามจินตนาการของช่างอินเดียโบราณ มีลักษณะต่าง ๆ กันไป เช่น ในสมัยแรกส่วนหัวคล้ายจระเข้ มีจะงอยปากงอไปทางด้านหลังคล้ายงวงช้างขนาดสั้น มีฟันแหลมคม มีขาคล้ายสิงโตหรือสุนัข ท่อนหางทำเป็นอย่างหางปลา ส่วนมกรในศิลปะขอมมีลักษณะคล้ายมกรในศิลปะอินเดียแบบหลังคุปตะ (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๓) คือมี ๒ ขา และมีหางม้วนเป็นลายก้านขด ในศิลปะขอมแบบกุเลน (ราว พ.ศ. ๑๓๗๐ – ๑๔๒๐) รูปมกรมีรูปใหม่คือมี ๔ ขา ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ รูปมกรได้เข้ามาปะปนกับรูปนาค และหัวมกรเริ่มกลายเป็นหน้าสิงห์ไป
มกรถือเป็นสัตว์ในจินตนาการ เชื่อกันว่าเป็นเทพแห่งท้องทะเล มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดมาผสมกัน ทั้งระหว่างสัตว์บกและสัตว์น้ำ อาทิ มีส่วนปากคล้ายจระเข้ มีงวงเหมือนกับช้าง มีลำตัวและหางเหมือนปลา และมีลักษณะของสัตว์อื่น ๆ เพิ่มเติมหลายชนิดมากยิ่งขึ้นตามจินตนาการของช่าง เช่น สิงโต แพะ กวาง นาค มังกร เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์ที่มีความหมายในทางมงคลทั้งสิ้น
มกรสังคโลกพบหลักฐานการขุดค้นเป็นจำนวนมากในพื้นที่เมืองโบราณสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และเมืองกำแพงเพชร ผลิตขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๒ จากกลุ่มเตาเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัย โดยเป็นเครื่องประกอบในงานสถาปัตยกรรมประเภทวิหาร ใช้ประดับบริเวณราวบันไดหรือชายคาอาคาร
ในเมืองกำแพงเพชรได้พบมกรจากการดำเนินงานทางด้านโบราณคดีในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เช่น วัดอาวาสใหญ่ วัดฆ้องชัย โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ เป็นมกรเขียนลายสีดำบนน้ำดินสีขาวแล้วเคลือบใสทับอีกครั้งหนึ่ง กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑
บรรณานุกรม
- กรมศิลปากร. นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗), ๒๕๕๗.
- ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๐. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๐.
ชื่อผู้แต่ง ขุนวิจิตรมาตรา
ชื่อเรื่อง คอคิดขอเขียน
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ศรีหงส์
ปีที่พิมพ์ ๒๕๐๗
จำนวนหน้า ๙๘ หน้า
หมายเหตุ ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ ร้อยเอก หลวงจบกลศึก (ยี่ จบกลศึก) ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม ๘ เมษายน ๒๕๐๗
หนังสือเรื่อง คอคิดขอเขียน เล่มนี้ ได้เขียนถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วไป ซึ่งผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเกิดความสนุกเพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องอ่านเล่น
เลขทะเบียน : นพ.บ.142/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 80 หน้า ; 4.6 x 55.5 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากชื่อชุด : มัดที่ 85 (340-345) ผูก 1 (2564)หัวเรื่อง : สงฺคีติกถา (ปถมพระสงฺคายนา-จตุตถพระสงฺคายนา)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ขอมภาษา : บาลี-ไทยบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.89/9ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 58 หน้า ; 4.6 x 50 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา มีฉลากไม้ชื่อชุด : มัดที่ 52 (103-117) ผูก 9 (2564)หัวเรื่อง : ธมฺมปทวณฺณนา ธมฺปทฎฺฐกถา ขุทฺทกนิกายฎฐกถา (ธรรมบท)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สังคิณี-มหาปัฎฐาน)
เลขที่ ชบ.บ.10/1-7
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
ชื่อเรื่อง : ประชุมพงศาวดาร เล่ม 25 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 41 (ต่อ)-42-43) ชื่อผู้แต่ง : - ปีที่พิมพ์ : 2511 สถานที่พิมพ์ : กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว จำนวนหน้า : 340 หน้า สาระสังเขป : ประชุมพงศาวดารขององค์การค้าคุรุสภาจัดพิมพ์ขึ้น โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงรวบรวม มีรายละเอียด ดังนี้ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 41 (ต่อ) เรื่องจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาค 2 อีกทั้งมี ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 42 เรื่องจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาค 3 (ต่อจากภาคที่ 2 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 41) และประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 43 เรื่องจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาคที่ 4 (ต่อจากภาคที่ 3 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 42)
ฝาบาตรที่ระลึกพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๕
รัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๔๑๖
ไม้ลงรักประดับมุก
สูง ๗ เซนติเมตร ปากกว้าง ๒๖.๕ เซนติเมตร
จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประทานยืม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ทำขึ้นเพื่อพระราชทานแก่พระราชาคณะในคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จุลศักราช ๑๒๘๕ (พุทธศักราช ๒๕๑๖)
ฝาบาตรประดับมุกเป็นลวดลายตราแผ่นดินรูปช้างสามเศียรหรือช้างไอยราพตอยู่ภายในโล่ ภายใต้พานพระมหากฐินประดิษฐานพระจุลมงกุฎ (พระเกี้ยว) ขนาบด้วยฉัตรเครื่องสูง ด้านซ้ายโล่ประดับรูปราชสีห์ส่วนด้านขวาเป็นคชสีห์ ตอนบนและล่างตราแผ่นดินมีแถบแพรจารึกพระปรมาภิไธยและการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ปัจจุบันฝาบาตรใบนี้จัดแสดงในห้องเครื่องมุก พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ชั้นล่าง) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ประติมากรรมดินเผารูปราชยลักษมีประกอบกับรูปคชลักษมี พบจากเมืองโบราณอู่ทอง : ประติมากรรมรูปแบบเฉพาะสมัยทวารวดี
ประติมากรรมดินเผารูปราชยลักษมีประกอบกับรูปคชลักษมี พบจากเมืองโบราณอู่ทอง จัดแสดง ณ ห้องอู่ทองศรีทวารวดี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง
ประติมากรรมดินเผา สูงประมาณ ๙.๘ เซนติเมตร มีภาพนูนสูง ๒ ด้าน รองรับด้วยฐานทรงกลมตกแต่งด้วยลายกลีบบัว
ด้านที่ ๑ เป็นประติมากรรมรูปราชยลักษมี ประกอบด้วยรูปพระลักษมี เศียรหักหายไป นั่งโอบลำตัวสิงห์ที่หมอบอยู่ด้านข้าง สิงห์มีแผงคอขีดเป็นร่อง ตาโปน จมูกใหญ่ แยกเขี้ยวยิงฟันคล้ายประติมากรรมดินเผารูปสิงห์ ที่พบในเมืองโบราณอู่ทอง ด้านข้างเป็นรูปบุคคลนั่งคุกเข่าพนมมือ โดยหันหน้าไปทางรูปราชยลักษมี สันนิษฐานว่าเป็นบริวารที่แสดงความเคารพบูชาต่อพระลักษมี
ด้านที่ ๒ เป็นรูปคชลักษมี กึ่งกลางเป็นรูปพระลักษมี เศียรหักหายไป พระหัตถ์ขวาทรงถือก้านดอกบัวตูมยกขึ้นในระดับพระอุระ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายหักหายสันนิษฐานว่าทรงถือก้านดอกบัวตูมยกขึ้นในระดับพระอุระเช่นเดียวกัน นั่งขัดสมาธิราบบนฐานบัว ด้านข้างทั้งสองชำรุดมาก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรูปช้างชูงวงถือหม้อน้ำเพื่อรดน้ำอภิเษกพระลักษมี
สันนิษฐานว่า อาจใช้เป็นฝาจุกภาชนะ หรือประดิษฐานเพื่อการเคารพบูชา หรือใช้เป็นเครื่องรางสำหรับติดตัวพ่อค้าหรือนักเดินทาง นอกจากประติมากรรมชิ้นนี้แล้ว ที่เมืองโบราณอู่ทองยังพบประติมากรรมดินเผารูป ราชยลักษมี และประติมากรรมดินเผารูปคชลักษมีที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกับประติมากรรมชิ้นนี้อีก ๒ ชิ้นด้วย กำหนดอายุประติมากรรมดังกล่าวอยู่ในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ (ประมาณ ๑,๒๐๐ – ๑,๔๐๐ ปีมาแล้ว)
ราชยลักษมีและคชลักษมีเป็นรูปแบบหนึ่งของพระศรี – ลักษมี ซึ่งผู้นับถือเพื่อความมีโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ ปรากฏในศิลปะอินเดีย และส่งอิทธิพลด้านรูปแบบศิลปกรรมและคติความเชื่อให้กับศิลปะทวารวดี สำหรับประติมากรรมชิ้นนี้ ช่างสมัยทวารวดีมีการปรับเปลี่ยนจนมีรูปแบบเฉพาะของตนเอง ได้แก่ การนำรูปราชยลักษมีและคชลักษมีมาประกอบกัน ซึ่งไม่พบในศิลปะอินเดีย และยังไม่เคยพบจากเมืองโบราณสมัยทวารวดีอื่น ๆ ในประเทศไทย ประติมากรรมชิ้นนี้จึงเป็นรูปแบบพิเศษซึ่งพบเฉพาะในเมืองโบราณอู่ทอง และยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความนิยมในการนับถือพระลักษมีในฐานะเทวีแห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์ในดินแดนแถบนี้เป็นอย่างมากด้วย
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว. รูปแบบและความเชื่อของงานศิลปกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระศรี-ลักษมีที่พบใน ประเทศไทยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๕๐.
ชื่อผู้แต่ง อ.อนันตคุณานุภาพ
ชื่อเรื่อง สัญญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์
ครั้งที่พิมพ์ -
สถานที่พิมพ์ พระนคร
สำนักพิมพ์ เอี่ยมสุทธา
ปีที่พิมพ์ ๒๔๙๙
จำนวนหน้า ๖๓๒ หน้า
หนังสือเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อต้องการหาทุนทรัพย์ มาช่วยเหลือการศึกษาของพระภิกษุสามเณรจังหวัดนครพนม ซึ่งได้มาศึกษาอยู่ในพระนครและธนบุรี ด้วยเหตุนี้หนังสือเล่มนี้จึงเป้นหนังสือการกุศลหนังสือ สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์เล่มนี้ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสร้างนักพูดเหมาะสมแก่ผู้ยังใหม่เป็นอย่างยิ่ง หลักการและแนวทางที่เบาสมอง จงฝึกหัดและฝึกฝนตาม แล้วท่านจะต้องเป็นนักพูดที่เรืองนามแน่
มกร
ศิลปะสุโขทัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ หรือประมาณ ๖๐๐ - ๗๐๐ ปีมาแล้ว
ดินเผาเคลือบเขียนลายสีน้ำตาล
สูง ๘๖.๕ เซนติเมตร
มกรรูปแบบนี้ เป็นส่วนประดับสถาปัตยกรรมเช่น ช่อฟ้า หัวบันได ผลิตจากเตาเผาสังคโลกบริเวณกลุ่มเตาป่ายาง ริมแม่น้ำยมนอกเมืองโบราณศรีสัชนาลัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นเตาเผาก่ออิฐแบบระบายความร้อนแนวเฉียง
มกร เป็นสัตว์น้ำในเทวตำนานของศาสนาฮินดู ส่วนบนมีหัวและลำตัวเหมือนสัตว์บก ส่วนล่างมีหางเหมือนปลา รูปมกรชิ้นนี้มีศีรษะและลำตัวคล้ายสิงห์ คือ มีแผงรอบคอ มีขา และงวงคล้ายช้าง มีเขาคล้ายกวาง ตกแต่งส่วนหัวเป็นตัวกระหนก ไม่มีส่วนลำตัว แต่มีช่องกว้างที่ส่วนล่างเพื่อให้ประกอบเข้ากับราวพนักบันได
ปัจจุบันรูปมกรนี้ จัดแสดงในห้องประวัติศาสตร์และโบราณคดีสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ชื่อเรื่อง ตำนานธาตุพนม (พื้นธาตุพนม)
สพ.บ. 384/1ก
หมวดหมู่ พุทธศาสนา
ภาษา บาลี/ไทยอีสาน
หัวเรื่อง พุทธศาสนา
พระธาตุพนม
ประเภทวัสดุ/มีเดีย คัมภีร์ใบลาน
ลักษณะวัสดุ 14 หน้า : กว้าง 5 ซม. ยาว 56.3 ซม.
บทคัดย่อ
เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรธรรมอีสาน เส้นจาร ฉบับลานดิบ ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
จันทบุรีเป็นเมืองท่องเที่ยว มีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติมากมาย ทั้งน้ำตก ทะเล หาดทราย เมื่อ 2 ตอนที่แล้วได้แนะนำหาดทรายที่สวยงาม คือ หาดคุ้งวิมาน หาดแหลมเสด็จ และหาดจ้าวหลาว ใกล้กับแหลมเสด็จจะมีอ่าวที่สวยงาม คือ อ่าวคุ้งกระเบน อ่าวคุ้งกระเบน จะอยู่ทางด้านขวามือของแหลมเสด็จ ชาวบ้านจะเรียกหาดทางด้านซ้ายมือของแหลมเสด็จว่า “ทะเลนอก” เพราะถัดหาดทรายออกไปเป็นทะเลเวิ้งว้างสุดขอบฟ้า ส่วนอ่าวคุ้งกระเบนเรียกว่า “ทะเลใน” หากมองจากภาพถ่ายทางอากาศ จะเห็นอ่าวนี้มีรูปร่างเหมือนปลากระเบน จึงเรียกอ่าวนี้ว่า “อ่าวคุ้งกระเบน” พื้นที่ภายในอ่าวคุ้งกระเบนเป็นลักษณะป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งกำเนิดของสัตว์น้ำเล็กๆ ทั้งกุ้ง หอย ปูปลา เมื่อเติบโตแข็งแรงแล้วก็จะว่ายออกทะเลลึก จึงนับว่าภายในอ่าวคุ้งกระเบนเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่มีค่าอย่างมหาศาล อ่าวคุ้งกระเบนมีสถานที่สำคัญคือ ศุนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ตั้งขึ้นตามพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอ่าวคุ้งกระเบนที่เปิดให้เข้าชม มีป่าชายเลนที่มีพันธ์ไม้มากมายกว่า 30 ชนิด ขึ้นกระจายปกคลุมรอบอ่าว มีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติเป็นระยะทาง 850 เมตร ด้วยภูมิประเทศที่สวยงาม จึงทำให้เอื้อประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยว------------------------------------------------------------------ผู้เรียบเรียง : นายประพนธ์ รอบรู้ นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี------------------------------------------------------------------