ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 3,808 รายการ
พระคเณศ วัสดุ สำริดศิลปะขอมแบบบายน พุทธศตวรรษที่ 18 พบที่ ตำบลพังยาง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส พระคเณศองค์นี้ เป็นพระคเณศขนาดเล็ก สูงประมาณ 6 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นพระคเณศ 2 กร (มือ) อยู่ในอิริยาบถประทับนั่งบนแท่นฐานทรงสี่เหลี่ยมในท่าแบบชวา โดยคุกพระชานุ (เข่า) ซ้ายลงกับพื้น และยกพระชานุ (เข่า) ขวาขึ้น พระหัตถ์ (มือ) ซ้ายถือขนมโมทกะ สัญลักษณ์ของสติปัญญาอันยอดเยี่ยม พระหัตถ์ (มือ) ขวาถืองาหัก งวงอยู่ในลักษณะห้อยตรงคดโค้งเล็กน้อย มีความยาวเพียงระดับพระอุระ (อก) สวมมงกุฎ มีกระบังหน้า และทรงพระภูษา (ผ้านุ่ง) สั้นเหนือพระชานุ (เข่า) ลักษณะคล้ายเทวรูปในศิลปะขอมแบบบายน สวมสายยัชโญปวีต หรือสายธุรำพาดพระอังสา (บ่า, ไหล่) ขวา ซึ่งสายยัชโญปวีต หรือสายธุรำ เป็นเชือกหรือด้ายมงคลศักดิ์สิทธิ์ของวรรณะพราหมณ์ เพื่อแสดงความเป็นพราหมณ์ อันหมายถึงผู้ที่ถือกำเนิด 2 ครั้ง โดยครั้งแรกถือกำเนิดจากครรภ์มารดา ครั้งที่ 2 ถือกำเนิดโดยผ่านพิธีกรรมทางศาสนา เป็นพราหมณ์โดยสมบูรณ์ จึงจะมีสิทธิ์คล้องสายยัชโญปวีต หรือสายธุรำ พระอุระ (อก) ด้านซ้ายมีปมเชือกที่เรียกว่า พรหมามุทิ ทรงเครื่องประดับตกแต่งแบบกษัตริย์ มีสร้อยพระศอ (สร้อยคอ) พาหุรัด (กำไลต้นแขน) ทองพระกร (กำไลข้อมือ) และทองพระบาท (กำไลข้อเท้า) จากลักษณะของประติมากรรม และเครื่องแต่งกาย สันนิษฐานได้ว่าพระคเณศองค์นี้น่าจะมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 และจากการที่พระคเณศองค์นี้เป็นพระคเณศที่มีขนาดเล็ก และมีลักษณะที่มีความคล้ายคลึงกับเทวรูปในศิลปะขอมแบบบายน ทำให้สันนิษฐานได้ว่าอาจจะถูกนำเข้ามาจากที่อื่น โดยพ่อค้าชาวต่างชาติที่นำติดตัวเข้ามาทำการค้าในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ ตามคติการนับถือพระคเณศที่เชื่อว่าทรงเป็นเทพเจ้าที่ช่วยขจัดอุปสรรคและประทานความสำเร็จในการเดินทางและการค้าขาย พระคเณศเป็นเทพเจ้าที่สันนิษฐานกันว่า แต่เดิมเป็นเทพพื้นเมืองของอินเดีย ซึ่งต่อมากลายเป็นเทพเจ้าสำคัญในศาสนาฮินดู ทรงเป็นเทพเจ้าที่เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดองค์หนึ่ง สืบเนื่องมาจากมีคติความเชื่อที่ว่าทรงเป็นเทพเจ้าที่สามารถขจัดอุปสรรคทั้งปวง และยังเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาและการประพันธ์ คติการนับถือพระคเณศได้แพร่กระจายมาสู่ดินแดนประเทศไทยเป็นเวลาช้านาน จากหลักฐานประติมากรรมรูปเคารพของพระคเณศในระยะแรกบนแผ่นดินไทย ปรากฏขึ้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 สำหรับบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของไทยมีการพบพระคเณศที่เก่าแก่ที่สุดในบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ แม้ว่าพระคเณศจะไม่ได้รับการนับถือเป็นเทพเจ้าสูงสุดในดินแดนประเทศไทย ซึ่งมีการรับนับถือพุทธศาสนามาเป็นเวลาช้านาน แต่การพบหลักฐานประติมากรรมรูปเคารพพระคเณศที่มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในดินแดนประเทศไทยตลอดมา ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญในการประกอบพิธีกรรมตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดูสืบมาจนถึงปัจจุบัน พระคเณศในคติความเชื่อของไทยแสดงถึงความเป็นเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรค ผู้ได้รับการบูชาก่อนเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ในกิจการอันเป็นมงคล หรือในการศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ พระคเณศจึงกลายเป็นบรมครูแห่งศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ด้วย อ้างอิง : 1. กรมศิลปากร. สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2549. 2. กรมศิลปากร. สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. พระคเณศ เทพแห่งศิลปากร. กรุงเทพฯ: สมาพันธ์, 2554. 3. จิรัสสา คชาชีวะ. พระพิฆเนศวร์ : คติความเชื่อและรูปแบบของพระพิฆเนศวร์ที่พบในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์, 2547. 4. พิริยะ ไกรฤกษ์. ศิลปทักษิณก่อนพุทธศตวรรษที่ 19. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2523. 5. อุไร จันทร์เจ้า. "ร่องรอยหลักฐานของศาสนาพราหมณ์ในชุมชนโบราณบนคาบสมุทรสทิงพระ ก่อนพุทธศตวรรษที่ 19." วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2560.ที่มาของข้อมูล : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา
The 12 research papers in the book focus on the archaeological findings and remains at archaeological sites in Thailand, particularly recent discoveries at the sites that reflect the maritime cross-cultural exchanges in the past from the beginning of the third century to the eighteenth century CE.
THAI CULTURE, NEW SERIES No. 6
THE KHŌN
BY
H.H. PRINCE DHANINIVAT
KROMAMÜN BIDYALABH BRIDHYĀKORN
AND
DHANIT YUPHO
พระนครศรีอยุธยา หรือกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เป็นที่ทราบกันดีว่าตำแหน่งและผังเมืองของอดีตเมืองหลวงแห่งนี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญาด้านการจัดการทรัพยากรน้ำได้อย่างทรงประสิทธิภาพ แม้ว่าที่ตั้งจะเป็นจุดศูนย์รวมแม่น้ำสายสำคัญถึงสามสายแต่ชาวกรุงศรีอยุธยาก็สามารถปรับตัวและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับรัฐในระดับสากล ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๔ การเกษตรและการค้าขายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำพาอยุธยาขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่ทั้งนี้เบื้องหลังความเจริญดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากการควบคุมทรัพยากรน้ำโดยใช้ระบบคูคลองภายในเกาะเมืองอยุธยาเป็นหัวใจหลักอันหนึ่ง โดยสัณฐานเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยามีแม่น้ำล้อมรอบสามสาย ชาวอยุธยาเรียกแม่น้ำทั้งสามสายนี้รวมกันว่า “คลองคูเมือง” หรือ “คูเมือง” คูเมืองทิศเหนือรับน้ำจากแม่น้ำลพบุรีและเจ้าพระยา คูเมืองทิศตะวันออกรับน้ำจากแม่น้ำป่าสัก คูเมืองทิศใต้เป็นจุดรวมแม่น้ำทุกสายไหลรวมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลบางกระจะหรือบ้านน้ำวน ภายใน เกาะเมืองมีคลองหลักที่ผันน้ำจากคูเมืองทิศเหนือผ่านเกาะเมืองลงมายังคูเมืองทิศใต้ถึงสามสาย เรียงจาก ทิศตะวันตกไปตะวันออก ได้แก่ คลองฉะไกรใหญ่ (คลองท่อ) คลองประตูข้าวเปลือกหรือคลองประตูจีน และคลองนายก่าย (ภายหลังเรียก “คลองมะขามเรียง”) คลองทั้งสามนอกจากจะเป็นทางที่ตัดตรงจาก ทิศเหนือ–ใต้ ในมิติของการคมนาคม ยังเป็นคลองที่ใช้ระบายน้ำจากแม่น้ำลพบุรีลงมาออกแม่น้ำเจ้าพระยา ในฤดูที่น้ำเหนือไหลหลาก จากการที่เป็นเส้นทางคมนาคมหลักนี้เองจึงเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางด้านการเมือง การค้า และศาสนา สถานที่สำคัญทั้งที่เป็นศูนย์กลางทางอำนาจ การเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจ ของอยุธยา ตั้งอยู่ตลอดคลองทั้งสาม อันสมควรยกเป็นตัวอย่าง ทางด้านการปกครอง คือ พระราชวังหลวงของอยุธยา มีขอบเขตด้านทิศตะวันตกติดกับคลองฉะไกรใหญ่ (คลองท่อ) ยังปรากฏหลักฐานการผันน้ำจากคลองฉะไกรใหญ่เข้าสู่บ่อเก็บน้ำต่างๆ ในพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็น สระแก้ว สระระฆัง โดยเฉพาะพระที่นั่ง บรรยงค์รัตนาสน์ หรือพระที่นั่งท้ายสระ ซึ่งมีคูน้ำล้อมรอบด้วยการผันน้ำจากคลองฉะไกรใหญ่ผ่านประตูน้ำชื่อ “อุดมคงคา” และออกทางประตูน้ำ “ชลชาติทวารสาคร” แสดงให้เห็นการจงใจเลือกตำแหน่งของพระราชวังหลวงให้สามารถใช้ประโยชน์ด้านอุปโภคบริโภคจากคลองฉะไกรใหญ่ได้สะดวก ทางทิศตะวันออกของ คลองฉะไกรใหญ่ยังมีคลองประตูข้าวเปลือกเป็นทางน้ำขนาดใหญ่ขุดผ่านกลางเกาะเมือง ปากคลองทิศเหนือเป็นที่ตั้งของป้อมประตูข้าวเปลือก ไหลลงทางใต้ผ่านวัดคู่บ้านคู่เมืองพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ วัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ ซึ่งล้วนเป็นจุดศูนย์กลางทางศาสนา ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือวัดมหาธาตุซึ่งพระสังฆราช ฝ่ายคามวาสีของอยุธยาจำพรรษาอยู่ ความสำคัญของวัดมหาธาตุปรากฏดังเหตุการณ์ตอนหนึ่งในจดหมายเหตุราชทูตลังกาเดินทางมาสืบศาสนาในอยุธยา ราว พ.ศ. ๒๒๙๓ รัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กล่าวถึงเหตุการณ์เข้าพบพระสังฆราชของอยุธยา และบรรยายสภาพบริเวณสังฆาวาสของวัดมหาธาตุไว้ว่า “...ในบริเวณรอบตำหนักพระสังฆราช มีกุฎีภิกษุสามเณรต่อไปเป็นอันมาก มีทั้งที่พักอุบาสก อุบาสิกา และที่พักของพวกข้าพระโยมสงฆ์ ซึ่งมากระทำการอุปัฏฐากทุกๆ วัน...” แสดงให้เห็นว่าคลองประตูข้าวเปลือกเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่นำมาสู่ศูนย์กลางทางศาสนาของอยุธยา ปัจจัยสำคัญอีกเรื่องหนึ่งของอยุธยาเป็นเรื่องของการพานิชย์ปรากฏศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญที่สุดตั้งอยู่ปลายคลองนายก่ายทางทิศใต้ คือ ย่านนายก่าย ย่านสามม้า ต่อเนื่องถึงตลาดนานาชาติบริเวณ ป้อมเพชร พื้นที่ซึ่งชาวจีนตั้งย่านตลาดค้าขาย สินค้าทั้งที่นำเข้าจากต่างประเทศและผลิตโดยช่างชาวจีน บรรดาสินค้าจากต่างถิ่นซึ่งมีขายอยู่ในย่านนายก่าย ได้แก่ เครื่องกระเบื้อง ภาชนะโลหะต่างๆ ผ้าไหมและ ผ้าแพร เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ผลิตโดยช่างชาวจีน ได้แก่ ขนมแห้ง(จันอับ) รวมถึงขนมนานาชนิด เครื่องเรือนไม้ เครื่องใช้ไม้สอยจากโลหะ เป็นต้น จากตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่กล่าวมาพอจะให้ภาพสังคมของอยุธยาตั้งแต่เรื่องของการปกครอง ความเชื่อ และวิถีชีวิต ล้วนเกาะเกี่ยวเชื่อมโยงอยู่กับลำน้ำทั้งสามสายนี้เสมือนเป็น ถนนสายหลักของชาวกรุงศรีอยุธยา ---------------------------------ผู้เรียบเรียงข้อมูล : นายศุทธิภพ จันทราภาขจี นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๓ พระนครศรีอยุธยา เอกสารอ้างอิง : ๑. วินัย พงศ์ศรีเพียร. พรรณนาภูมิสถานพระนครศรีอยุธยา เอกสารจากหอหลวง (ฉบับความสมบูรณ์). กรุงเทพ: อุษาคเนย์, ๒๕๕๑ ๒. ศิลปากร, กรม. โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เล่ม ๑. ทวีวัฒน์การพิมพ์: กรุงเทพฯ, ๒๕๕๑
ชื่อผลงาน: หม่อมราชวงศ์ถนอมศักดิ์ กฤดากร (พ.ศ. 2458 - 2547)
ศิลปิน: เฟื้อ หริพิทักษ์ (พ.ศ. 2453 - 2536)
เทคนิค: ประติมากรรมสำริด
ขนาด: สูง 36 ซม.
ปีที่สร้างสรรค์: พ.ศ. 2480
รายละเอียดเพิ่มเติม: เฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินหัวก้าวหน้า ผู้มากด้วยทักษะฝีมือในทางศิลปะ ลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี นอกจากความสามารถชั้นยอดในทางจิตรกรรมแล้ว เฟื้อ ยังได้สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมไว้ด้วยจำนวนหนึ่ง ประติมากรรมรูปเหมือนหม่อมราชวงศ์ถนอมศักดิ์ กฤดากร (ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของศิลปิน) เป็นหนึ่งในผลงานศิลปกรรมชิ้นเด่นในชีวิตของเฟื้อ ซึ่งนำเสนอในรูปแบบสัจจนิยมผ่านภาพใบหน้าของสตรีสูงศักดิ์สวมผ้าคลุมผม
Title: M.R. Thanomsak Kridakorn (1915 - 2004)
Artist: Fua Haripitak (1910 - 1993)
Technique: sculpture (bronze casting)
Size: 36 cm. (H.)
Year: 1937
Detail: Fua Haripitak, a remarkable artist and early pupil of Silpa Bhirasri, apart from his marvelous skill on painting, Fua also sculpted some good pieces of sculpture. A portrait of M.R. Thanomsak Kridakorn (artist’s wife) is regarded as one of his finest piece, sculpted in realist manner, represented through the face of high-class lady which her hair neatly covered by head kerchief.
การดำเนินการซ่อมแซมเสริมความมั่นคงเบื้องต้น โบราณสถานปราสาทตามอญ ตำบลบัวเชด อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
- ติดตั้งเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็กค้ำยันภายในองค์ปราสาท เพื่อป้องกันการพังทลายลงของผนังอิฐ
- ดำเนินการก่ออิฐเสริมความมั่นคง ในจุดที่ได้รับความเสียหาย และใช้อิฐใหม่ก่อเสริมทดแทนอิฐเก่าที่ร่วงหล่นหายไป โดยก่อตามรูปแบบดั้งเดิม
นายนุกูล ดงสันเทียะ นายช่างโยธาชำนาญงาน