ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 40,775 รายการ

องค์ความรู้สุพรรณบุรี เรื่อง มอญสุพรรณผู้เรียบเรียง : นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ


        ประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระ พบที่โบราณสถานหมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง         ประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระ พบจากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องจัดแสดงนิทรรศการพิเศษเรื่อง โบราณวัตถุสำคัญจากเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี         ประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระ พบเพียงบริเวณส่วนศีรษะถึงลำตัว กว้าง ๑๕.๕ เซนติเมตร สูง ๒๓ เซนติเมตร ประติมากรรมรูปคนแคระมีใบหน้ากลม คิ้วนูนต่อเป็นปีกกา ตากลมโปน จมูกทรงสามเหลี่ยมมีขนาดใหญ่ ปากยกยิ้ม บริเวณหูประดับตุ้มหูทรงกลมขนาดใหญ่เจาะรูตรงกลางเป็นลักษณะที่นิยมในสมัยทวารวดี หากประติมากรรมมีความสมบูรณ์จะแสดงท่วงท่าการแบกเช่นเดียวกับประติมากรรมคนแคระแบกชิ้นอื่น ๆ ในศิลปะทวารวดี ที่น่าสังเกตคือ แกนภายในของประติมากรรมทำจากอิฐ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าประติมากรรมชิ้นนี้ยึดติดกับผนังของสถาปัตยกรรม จึงน่าจะสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับการสร้างหรือซ่อมแซมโบราณสถานหมายเลข ๒          ประติมากรรมรูปคนแคระปรากฏในศิลปะอินเดียโบราณ ต่อเนื่องมาถึงศิลปะคุปตะ ซึ่งนิยมทำประติมากรรมคนแคระในท่าแบกไว้ประดับส่วนฐานอาคาร สันนิษฐานว่าสัมพันธ์กับคติผู้ดูแลและค้ำจุนศาสนสถาน รูปลักษณ์ของคนแคระที่อ้วนพุงพลุ้ยยังแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ประติมากรรมรูปคนแคระแบกในสมัยทวารวดีนิยมประดับบริเวณส่วนฐานเจดีย์  สอดคล้องกับโบราณสถานหมายเลข ๒ ที่ส่วนฐานอาคารบริเวณท้องไม้มีการแบ่งช่องสำหรับประดับประติมากรรม  ซึ่งในศิลปะอินเดียฐานอาคารที่มีท้องไม้แบ่งช่องประดับด้วยประติมากรรมพบในศิลปะปาละตอนต้น และได้ส่งอิทธิพลให้กับศิลปะทวารวดีในเวลาต่อมา จึงกำหนดอายุประติมากรรมคนแคระนี้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ หรือราว ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว         นอกเหนือจากประติมากรรมคนแคระแบกที่พบจากโบราณสถานหมายเลข ๒ ยังพบประติมากรรมดินเผาประดับสถาปัตยกรรมรูปแบบอื่นในเมืองโบราณอู่ทอง ได้แก่ ประติมากรรมรูปนรสิงห์แบก และประติมากรรมรูปกินรีในท่าร่ายรำ เป็นต้น   เอกสารอ้างอิง กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : โรงพิมพ์ สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕. เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๐. เชษฐ์ ติงสัญชลี. ปราสาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๖๕. ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทาวศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). นนทบุรี : เมืองโบราณ,  ๒๕๖๒.


         ธงจุฑาธุชธิปไตย  แรกมีธงชัยเฉลิมพล          การใช้ธงประจำกองทัพในอดีตนั้นไม่ปรากฎรูปแบบที่ชัดเจน โดยในสมัยรัชกาลที่ ๓ คราวสยามทำศึกกับญวนพบว่ามีการใช้ธงรูปหนุมานและสุครีพ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทาน “ธงมหามงกุฎ” สำหรับประจำกองทหารเกียรติยศ โดยกำหนดให้ใช้เป็นธงประจำพระองค์ตามธรรมเนียมยุโรป พร้อมกับเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์ประทับอยู่ภายในพระนคร ส่วน “ธงไอยราพต” ใช้เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าพระองค์มิได้ประทับอยู่ในพระนคร           ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ปรากฎหลักฐานการใช้ธงประจำกองทัพทหารในสงครามปราบฮ่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ด้วยเหตุว่ายังไม่มีธงประจำกองทัพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เอาธงตราแผ่นดินมาพระราชทานให้เป็นเกียรติยศ พร้อมกับบรรจุพระเกศาในยอดธงสำหรับแทนพระองค์ด้วย          โดยมีรูปแบบเป็นธงพื้นสีแดง ตรงกลางเป็นตราอาร์มแผ่นดินปักด้วยดิ้นไหมและทอง ประกอบด้วยสัญลักษณ์จักรและตรีไขว้ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ พร้อมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ตรงกลางเป็นโล่มีรูปช้างไอยราพต ช้างเผือก และกริชไขว้กัน แสดงขอบเขตอาณาจักรสยาม ด้านข้างมีแท่นบุษบกมีคชสีห์และราชสีห์ประคองเครื่องสูง ๗ ชั้น ล้อมรอบด้้วยพระมหาสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ และสายสร้อยจุุลจอมเกล้าพร้้อมดวงตรา มีแถบแพรจารึกคาถา “สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคีวุฑฺฒิสาธิกา” รอบธงมีลายจักร ซึ่งได้สั่งมาจากประเทศออสเตรีย ทำจากแพรลูกฟูกอย่างธงสำหรับกองทัพในยุโรป ถือเป็นธงชัยเฉลิมพลประจำกองทัพผืนแรกของสยามอย่างเป็นทางการ           ในประวัติการของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ภาค ๑ ระบุว่า “เมื่อวันอาทิตย์แรม ๙ ค่ำเดือน ๑๑ ปีระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานธงชัยอันวิเศษสำคัญนี้ให้แก่กองทัพ เป็นที่หมายความไว้พระราชหฤทัยในความซื่อสัตย์สุจริต และความกล้าหาญของนายทหารและพลทหารทั้งปวงที่ได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณในบัดนี้ และต่อไปภายหน้า ...จงรู้จักเกียรติยศและอำนาจของธงชัยอันวิเศษสำคัญเป็นที่เฉลิมกองทัพนี้ ให้ถูกต้องตามพระบรมราชประสงค์ ...ให้คล้ายคลึงดุจชนชาติชาวยุโรป อันนับถือและตั้งใจรักษาธงชัยยิ่งกว่าชีวิต ตามแบบกฎหมายสำหรับทัพของชาวอารยประเทศ”  เมื่อได้ชัยชนะในสงครามปราบฮ่อ จึงพระราชทานนามธงนี้ว่า “ธงจุฑาธุชธิปไตย”           ธงจุฑาธุชธิปไตยนี้ เดิมทีคงมีการใช้ธงประจำพระองค์ตามธรรมเนียมยุโรป เช่นเดียวกับธงมหามงกุฎในสมัยรัชกาลที่ ๔ กระทั่งได้นำไปใช้สำหรับแทนพระองค์และธงชัยเฉลิมพลประจำกองทัพในสงครามปราบฮ่อ ด้วยเหตุว่ายังไม่มีธงประจำกองทัพ           ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า ในอดีตธงที่ใช้ในราชการต่างๆ ยังหาแบบอย่างที่แน่นอนไม่ได้ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งกองข้าหลวงให้ตรวจแบบอย่างที่สมควร และตราพระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ.๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔) ซึ่งได้มีการกำหนดรูปแบบของธงชัยเฉลิมพลขึ้นใหม่ และเพิ่มระเบียบสำหรับการใช้ธงจุฑาธุชธิปไตย ความว่า “...เปนราชธวัชสำหรับพลหลวงที่เรียกว่าทหารกรมต่างๆ ถ้าทหารกรมหนึ่งกรมใดจะไปราชการสงคราม แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้เสด็จพระราชดำเนินในกองนั้น ต้องใช้ธงนี้เปนที่หมายสำคัญแทนพระองค์ ฤาเวลาที่ออกยืนแถวรับเสด็จ ฤาเจ้านายต่างประเทศ ให้เปนเกียรติยศเท่านั้น”          คำอธิบายภาพถ่าย : ท่านแม่ทัพและเจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบาง ซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าสักกรินทรฤทธิ์ เจ้านครหลวงพระบาง เมื่อไปปราบฮ่อ กลับลงมาถึงเมืองซ่อน จึงได้นำธงชัยเฉลิมพล (ภายหลังเปลี่ยนเป็นธงจุฑาธุชธิปไตย) มาปักไว้เป็นที่ระลึก          ธงจุฑาธุชธิปไตยนี้ จากการตรวจสอบประวัติ สันนิษฐานได้ว่าอาจรับมาจากพิพิธภัณฑ์ทหารบก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปทุมธานี   อ้างอิง พระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ.๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔) สุรศักดิ์มนตรี (เจิม), จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยา. “ประวัติการของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ภาค ๑”. [ม.ป.ท.]: ม.ป.พ.; ๒๔๗๖. วันดี ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, พ.อ.หญิง. “ธงชัยเฉลิมพลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า” ในเสนาธิการศึกษา ๗๕, ๑ (มกราคม-เมษายน) ๒๕๕๒.


         ภาพปูนปั้นชาดกเล่าเรื่อง มหากปิ          - ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)          - ปูนปั้น          - ขนาด กว้าง ๙๕ ซม. ยาว ๘๔.๒ ซม. หนา ๕ ซม.          เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ภาพเล่าเรื่องมหากาปิ จากคัมภีร์ชาดกมาลาของอารยสูรในภาษาสันสกฤต เล่าเรื่อง เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระยาวานร ได้ช่วยเหลือชายหลงป่าให้กลับบ้านได้ปลอดภัย แม้จะรู้ว่าตนกำลังจะถูกชายผู้นั้นทำร้ายถึงชีวิตก็ตาม   แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40069   ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th




Messenger