ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 40,821 รายการ
นายจรวย พงษ์ชีพ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “ดำน้ำหยด” เกิดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2476เป็นเกษตรกรสวนผลไม้ชาวอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เป็นบุคคลต้นแบบผู้ริเริ่มนวัตกรรมใหม่เพื่อพัฒนาการทำสวนผลไม้ ผลงานชิ้นแรกที่ทำให้นายจรวยเป็นที่รู้จัก คือ การแก้ปัญหาเงาะขี้ครอก หรือเงาะที่ไม่ติดผล โดยค้นพบว่าน้ำยาเร่งดอกสับปะรดเพื่อให้สับปะรดออกผลตามฤดูกาลนั้น สามารถนำมาใช้กับเงาะเพื่อแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี และยังเป็นผู้ริเริ่มการผสมข้ามพันธุ์ผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะไทยกับเงาะอินโดนีเซีย ทุเรียนพันธุ์ทองย้อยกับทุเรียนพันธุ์กระดุมทอง ซึ่งทำให้ได้ทุเรียนที่มีรสหวาน เมล็ดลีบ และทนต่อโรค
ผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้นายจรวยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในระดับชาติและนานาชาติ คือ การพัฒนาชลประทานระบบน้ำหยดเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นวิธีการให้น้ำแบบประหยัดและให้ผลตอบแทนสูงสุด เนื่องจากสามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ตามความต้องการ และช่วยประหยัดเวลาในการให้น้ำ โดยนายจรวย เกิดการจุดประกายความคิดมาจากความบังเอิญที่พบว่าบริเวณต้นเงาะที่ให้ผลผลิตมากเป็นพิเศษนั้นมีท่อน้ำวางผ่านและมีรูรั่ว จึงได้เริ่มต้นคิดค้นและพัฒนาระบบการให้น้ำแบบน้ำหยดมาอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรชาวสวนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยชื่อ “ดำน้ำหยด” ที่เป็นที่รู้จักนั้น “ดำ” มาจากชื่อเล่นของนายจรวย และในช่วงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจึงได้ขนานนามว่า “ดำน้ำหยด” จนเรียนกันติดปากถึงทุกวันนี้
ระบบน้ำหยดที่นายจรวยได้คิดค้นและพัฒนาขึ้นนั้นจำเป็นต้องใช้ร่วมกับระบบไฟฟ้า โดยพื้นที่นั้นจะต้องมีแหล่งน้ำสำหรับใช้กับระบบสปริงเกอร์ มีการวางและต่อระบบน้ำ การประกอบระบบพ่นน้ำ และติดตั้งมอเตอร์ปั๊มน้ำ หากแหล่งน้ำอยู่ไกลก็อาจใช้เครื่องสูบน้ำแทน ภายหลังมีการพัฒนาระบบหัวฉีดหรือหัวจ่ายน้ำแบบต่างๆ เพื่อการประยุกต์ใช้กับพืชและระบบน้ำแต่ละชนิดให้เหมาะสม ทั้งนี้การให้น้ำโดยระบบน้ำหยดเพื่อให้พืชได้ผลผลิตที่ดี จำเป็นต้องมีการคำนึงถึงปัจจัยหลายด้าน เช่น ปริมาณน้ำที่พืชแต่ละชนิดต้องการ ระบบการสูบจ่ายน้ำ ประเภทและคุณภาพของดิน ตลอดจนสภาพภูมิอากาศร่วมด้วย
นายจรวย พงษ์ชีพ ได้รับการยกย่องจากมูลนิธิธารน้ำใจให้เป็นคนไทยตัวอย่างด้านการเกษตร ประจำปี พ.ศ. 2522 และได้รับการประสาทปริญญาเทคโนโลยีการเกษตร มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (พืชศาสตร์) จากสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2529
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ข้อควรรู้สักนิดก่อนติดสปริงเกอร์. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2566, จาก: https://www.baanlaesuan.com/45192/maintenance/sprinkler
วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดจันทบุรี. กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ, 2544.
ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออก. ดำน้ำหยด ผู้พิชิตน้ำแห่งเมืองขลุง. ระยอง: ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออก, ม.ป.ป.
เรียบเรียง: นางสาวปริศนา ตุ้มชัยพร บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี
องค์ความรู้สุพรรณบุรี เรื่อง มอญสุพรรณผู้เรียบเรียง :
นางอภิญญานุช เผ่าพงษ์คล้าย บรรณารักษ์ชำนาญการ
หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เฉลิมพระเกียรติ
ประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระ พบที่โบราณสถานหมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง
ประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระ พบจากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข ๒ เมืองโบราณอู่ทอง ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องจัดแสดงนิทรรศการพิเศษเรื่อง โบราณวัตถุสำคัญจากเมืองโบราณอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
ประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระ พบเพียงบริเวณส่วนศีรษะถึงลำตัว กว้าง ๑๕.๕ เซนติเมตร สูง ๒๓ เซนติเมตร ประติมากรรมรูปคนแคระมีใบหน้ากลม คิ้วนูนต่อเป็นปีกกา ตากลมโปน จมูกทรงสามเหลี่ยมมีขนาดใหญ่ ปากยกยิ้ม บริเวณหูประดับตุ้มหูทรงกลมขนาดใหญ่เจาะรูตรงกลางเป็นลักษณะที่นิยมในสมัยทวารวดี หากประติมากรรมมีความสมบูรณ์จะแสดงท่วงท่าการแบกเช่นเดียวกับประติมากรรมคนแคระแบกชิ้นอื่น ๆ ในศิลปะทวารวดี ที่น่าสังเกตคือ แกนภายในของประติมากรรมทำจากอิฐ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าประติมากรรมชิ้นนี้ยึดติดกับผนังของสถาปัตยกรรม จึงน่าจะสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับการสร้างหรือซ่อมแซมโบราณสถานหมายเลข ๒
ประติมากรรมรูปคนแคระปรากฏในศิลปะอินเดียโบราณ ต่อเนื่องมาถึงศิลปะคุปตะ ซึ่งนิยมทำประติมากรรมคนแคระในท่าแบกไว้ประดับส่วนฐานอาคาร สันนิษฐานว่าสัมพันธ์กับคติผู้ดูแลและค้ำจุนศาสนสถาน รูปลักษณ์ของคนแคระที่อ้วนพุงพลุ้ยยังแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ประติมากรรมรูปคนแคระแบกในสมัยทวารวดีนิยมประดับบริเวณส่วนฐานเจดีย์ สอดคล้องกับโบราณสถานหมายเลข ๒ ที่ส่วนฐานอาคารบริเวณท้องไม้มีการแบ่งช่องสำหรับประดับประติมากรรม ซึ่งในศิลปะอินเดียฐานอาคารที่มีท้องไม้แบ่งช่องประดับด้วยประติมากรรมพบในศิลปะปาละตอนต้น และได้ส่งอิทธิพลให้กับศิลปะทวารวดีในเวลาต่อมา จึงกำหนดอายุประติมากรรมคนแคระนี้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๕ หรือราว ๑,๑๐๐ – ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว
นอกเหนือจากประติมากรรมคนแคระแบกที่พบจากโบราณสถานหมายเลข ๒ ยังพบประติมากรรมดินเผาประดับสถาปัตยกรรมรูปแบบอื่นในเมืองโบราณอู่ทอง ได้แก่ ประติมากรรมรูปนรสิงห์แบก และประติมากรรมรูปกินรีในท่าร่ายรำ เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. โบราณคดีเมืองอู่ทอง. นนทบุรี : โรงพิมพ์ สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
เชษฐ์ ติงสัญชลี. ประวัติศาสตร์อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๖๐.
เชษฐ์ ติงสัญชลี. ปราสาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๖๕.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะทวารวดี : วัฒนธรรมทาวศาสนายุคแรกเริ่มในดินแดนไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๖๒.
ธงจุฑาธุชธิปไตย แรกมีธงชัยเฉลิมพล
การใช้ธงประจำกองทัพในอดีตนั้นไม่ปรากฎรูปแบบที่ชัดเจน โดยในสมัยรัชกาลที่ ๓ คราวสยามทำศึกกับญวนพบว่ามีการใช้ธงรูปหนุมานและสุครีพ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทาน “ธงมหามงกุฎ” สำหรับประจำกองทหารเกียรติยศ โดยกำหนดให้ใช้เป็นธงประจำพระองค์ตามธรรมเนียมยุโรป พร้อมกับเป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์ประทับอยู่ภายในพระนคร ส่วน “ธงไอยราพต” ใช้เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าพระองค์มิได้ประทับอยู่ในพระนคร
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ปรากฎหลักฐานการใช้ธงประจำกองทัพทหารในสงครามปราบฮ่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ด้วยเหตุว่ายังไม่มีธงประจำกองทัพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เอาธงตราแผ่นดินมาพระราชทานให้เป็นเกียรติยศ พร้อมกับบรรจุพระเกศาในยอดธงสำหรับแทนพระองค์ด้วย
โดยมีรูปแบบเป็นธงพื้นสีแดง ตรงกลางเป็นตราอาร์มแผ่นดินปักด้วยดิ้นไหมและทอง ประกอบด้วยสัญลักษณ์จักรและตรีไขว้ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ พร้อมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ตรงกลางเป็นโล่มีรูปช้างไอยราพต ช้างเผือก และกริชไขว้กัน แสดงขอบเขตอาณาจักรสยาม ด้านข้างมีแท่นบุษบกมีคชสีห์และราชสีห์ประคองเครื่องสูง ๗ ชั้น ล้อมรอบด้้วยพระมหาสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ และสายสร้อยจุุลจอมเกล้าพร้้อมดวงตรา มีแถบแพรจารึกคาถา “สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคีวุฑฺฒิสาธิกา” รอบธงมีลายจักร ซึ่งได้สั่งมาจากประเทศออสเตรีย ทำจากแพรลูกฟูกอย่างธงสำหรับกองทัพในยุโรป ถือเป็นธงชัยเฉลิมพลประจำกองทัพผืนแรกของสยามอย่างเป็นทางการ
ในประวัติการของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ภาค ๑ ระบุว่า “เมื่อวันอาทิตย์แรม ๙ ค่ำเดือน ๑๑ ปีระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานธงชัยอันวิเศษสำคัญนี้ให้แก่กองทัพ เป็นที่หมายความไว้พระราชหฤทัยในความซื่อสัตย์สุจริต และความกล้าหาญของนายทหารและพลทหารทั้งปวงที่ได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณในบัดนี้ และต่อไปภายหน้า ...จงรู้จักเกียรติยศและอำนาจของธงชัยอันวิเศษสำคัญเป็นที่เฉลิมกองทัพนี้ ให้ถูกต้องตามพระบรมราชประสงค์ ...ให้คล้ายคลึงดุจชนชาติชาวยุโรป อันนับถือและตั้งใจรักษาธงชัยยิ่งกว่าชีวิต ตามแบบกฎหมายสำหรับทัพของชาวอารยประเทศ” เมื่อได้ชัยชนะในสงครามปราบฮ่อ จึงพระราชทานนามธงนี้ว่า “ธงจุฑาธุชธิปไตย”
ธงจุฑาธุชธิปไตยนี้ เดิมทีคงมีการใช้ธงประจำพระองค์ตามธรรมเนียมยุโรป เช่นเดียวกับธงมหามงกุฎในสมัยรัชกาลที่ ๔ กระทั่งได้นำไปใช้สำหรับแทนพระองค์และธงชัยเฉลิมพลประจำกองทัพในสงครามปราบฮ่อ ด้วยเหตุว่ายังไม่มีธงประจำกองทัพ
ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า ในอดีตธงที่ใช้ในราชการต่างๆ ยังหาแบบอย่างที่แน่นอนไม่ได้ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งกองข้าหลวงให้ตรวจแบบอย่างที่สมควร และตราพระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ.๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔) ซึ่งได้มีการกำหนดรูปแบบของธงชัยเฉลิมพลขึ้นใหม่ และเพิ่มระเบียบสำหรับการใช้ธงจุฑาธุชธิปไตย ความว่า “...เปนราชธวัชสำหรับพลหลวงที่เรียกว่าทหารกรมต่างๆ ถ้าทหารกรมหนึ่งกรมใดจะไปราชการสงคราม แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้เสด็จพระราชดำเนินในกองนั้น ต้องใช้ธงนี้เปนที่หมายสำคัญแทนพระองค์ ฤาเวลาที่ออกยืนแถวรับเสด็จ ฤาเจ้านายต่างประเทศ ให้เปนเกียรติยศเท่านั้น”
คำอธิบายภาพถ่าย : ท่านแม่ทัพและเจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบาง ซึ่งภายหลังได้เป็นเจ้าสักกรินทรฤทธิ์ เจ้านครหลวงพระบาง เมื่อไปปราบฮ่อ กลับลงมาถึงเมืองซ่อน จึงได้นำธงชัยเฉลิมพล (ภายหลังเปลี่ยนเป็นธงจุฑาธุชธิปไตย) มาปักไว้เป็นที่ระลึก
ธงจุฑาธุชธิปไตยนี้ จากการตรวจสอบประวัติ สันนิษฐานได้ว่าอาจรับมาจากพิพิธภัณฑ์ทหารบก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปทุมธานี
อ้างอิง
พระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ.๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔)
สุรศักดิ์มนตรี (เจิม), จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยา. “ประวัติการของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ภาค ๑”. [ม.ป.ท.]: ม.ป.พ.; ๒๔๗๖.
วันดี ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, พ.อ.หญิง. “ธงชัยเฉลิมพลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า” ในเสนาธิการศึกษา ๗๕, ๑ (มกราคม-เมษายน) ๒๕๕๒.
ภาพปูนปั้นชาดกเล่าเรื่อง มหากปิ
- ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๔)
- ปูนปั้น
- ขนาด กว้าง ๙๕ ซม. ยาว ๘๔.๒ ซม. หนา ๕ ซม.
เดิมประดับที่ฐานลานประทักษิณด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเจดีย์จุลประโทน อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดี เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ภาพเล่าเรื่องมหากาปิ จากคัมภีร์ชาดกมาลาของอารยสูรในภาษาสันสกฤต เล่าเรื่อง เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระยาวานร ได้ช่วยเหลือชายหลงป่าให้กลับบ้านได้ปลอดภัย แม้จะรู้ว่าตนกำลังจะถูกชายผู้นั้นทำร้ายถึงชีวิตก็ตาม
แสดงภาพวัตถุหมุน คลิกที่นี่ https://smartmuseum-v2.finearts.go.th/3d_object/?obj=40069
ที่มา: https://smartmuseum.finearts.go.th