ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,758 รายการ
กรมศิลปากรชี้แจงประเด็นข่าวกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์
เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กรมศิลปากรแถลงข่าวชี้แจงประเด็นกุฏิพระโบราณที่วัดสิงห์ จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหาย โดยนายเอนก สีหามาตย์ รองอธิบดีกรมศิลปากร นายประทีป เพ็งตะโก ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี นายช่างโยธาและวิศกรควบคุมงาน เป็นผู้แถลงข่าว ณ ห้องประชุมกรมศิลปากร
ตามที่รายการเรื่องเล่าเสาร์ – อาทิตย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ประจำวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้เสนอข่าวเกี่ยวกับกุฏิพระโบราณ ที่วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พังทลายเสียหายทั้งหมด สาเหตุจากช่างที่กรมศิลปากรจ้างมาซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ นั้น
กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ขอชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวดังนี้
๑. วัดสิงห์ ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งยังปรากฏเจดีย์ โบสถ์ วิหารเก่าแก่ ควรค่าแก่การศึกษาด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี พระพุทธรูปสำคัญของวัดคือ หลวงพ่อโต พระพุทธรูปลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย สมัยกรุงศรีอยุธยา พระพุทธไสยาสน์ (หลวงพ่อเพชร) นอกจากนี้ยังมีโกศบรรจุอัฐิหลวงพ่อพญากราย ซึ่งเป็นพระมอญธุดงค์มาจำพรรษา ที่วัดสิงห์ บนกุฏิของวัดมีพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาของเก่า ได้แก่ ตุ่มสามโคก แท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสามโคก ใบลานอักษรมอญ ตู้พระธรรม และพระพุทธรูป ด้านหน้าวัดสิงห์มีการขุดค้นพบโบราณสถานเตาโอ่งอ่าง ซึ่งถือ เป็นหลักฐานของการตั้งชุมชนมอญในสมัยแรกในบริเวณนี้นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่มที่ ๑๐๙ ตอนที่ ๑๐๙
๒. กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้รับการจัดสรรงบประมาณโครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถานที่ประสบอุทกภัย โครงการบูรณะโบราณสถานวัดสิงห์ จำนวน ๑๒,๐๒๐,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็น ๒ โครงการ
- โครงการงานบูรณะโบราณสถาน จำนวนเงิน ๔,๔๕๐,๐๐๐ บาท
- โครงการงานปรับยกระดับ (ปรับดีด) วงเงินสัญญาจ้าง ๗,๕๓๙,๐๐๐ บาท ดำเนินการว่าจ้างบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ดำเนินงาน ตามสัญญาจ้างเลขที่ ๑๒/๒๕๕๕ เริ่มสัญญาวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายช่างโยธาชำนาญงาน สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี เป็นผู้ควบคุมงาน
๓. เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๑.๓๐ น. นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา ได้รับแจ้งจากตัวแทนบริษัทกันต์กนิษฐ์ ก่อสร้าง จำกัด ในเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ขณะที่คนงานอยู่ในช่วงพัก ไม่มีใครอยู่ภายในบริเวณอาคารกุฏิโบราณ ได้ยินเสียงพร้อมทั้งปูนฉาบของตัวอาคารกะเทาะหลุดร่วงลงมา แล้วมุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เกิดการทรุดตัวลง ทำให้กระเบื้องหลังคาและโครงสร้างหลังคาทั้งหมด ทรุดลงมากองอยู่บริเวณพื้นไม้ชั้นสองของอาคาร ทำให้น้ำหนักบรรทุกของพื้นมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นผนังด้านทิศใต้ ก็ได้พังทลายตามลงมาเนื่องจากรับหนักของหลังคาที่ทรุดลงมาไม่ไหว
๔. เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๙.๐๐ น.ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี (นายประทีป เพ็งตะโก) นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ วิศวกรชำนาญการพิเศษ นายจมร ปรปักษ์ประลัย สถาปนิกชำนาญการ นายเฉลิมศักดิ์ ทองมา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามโคก และคณะกรรมการวัดสิงห์ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายและหาสาเหตุของการพังทลาย ได้ข้อสรุปดังนี้
๔.๑ การที่อาคารเกิดการทรุดตัว เนื่องจากพื้นดินรับฐานรากอาคารอยู่ในที่ต่ำชุ่มน้ำตลอดทั้งปี ทำให้อ่อนตัวรับน้ำหนักอาคารไม่ไหวทำให้ผนังอาคารทรุดตัวลงมาประมาณ ๑ ใน ๔ ส่วน
๔.๒ ผนังอาคารมีร่องรอยแตกร้าวจำนวนมาก พบร่องรอยนี้จากการสำรวจเพื่อจัดทำรูปแบบรายการการอนุรักษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔
๔.๓ ปูนสอเสื่อมสภาพจากการถูกน้ำแช่ขังและใช้งานอาคารมาเป็นเวลานาน ทำให้การยึดตัวของอิฐและปูนสอไม่ดี เป็นสาเหตุให้ตัวอาคารทรุดลงมา
๔.๔ สภาพอาคารที่ปูนฉาบผนังนอกหลุดร่อน ทำให้น้ำซึมผ่านเข้าไปในผนังทำให้ ปูนสอชุ่มน้ำ ทำให้แรงยึดเกาะระหว่างอิฐต่ำ
๔.๕ ขณะที่อาคารทรุดตัวอยู่ระหว่างการขุดเพื่อตรวจสอบฐานของอาคารส่วนที่ จมดินเพื่อเตรียมการกำหนดระยะที่ทำการตัดผนังเพื่อเสริมคานถ่ายแรง ยังไม่ได้ทำการตัดผนัง จึงยังมิได้มีการรบกวนโครงสร้างของอาคารโบราณ แต่ตัวอาคารก็เกิดการทรุดตัวลงมาเสียก่อน
หลังจากทำการตรวจสอบพื้นที่แล้ว สำนักศิลปากรที่ ๒ สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้บริษัทผู้รับจ้างทำการค้ำยันผนังส่วนที่เหลือโดยให้ดำเนินการตามคำแนะนำของวิศวกร และทำการจัดเก็บวัสดุส่วนที่สามารถนำมาก่อสร้างเพื่อคืนสภาพอาคารไปจัดเก็บในที่ให้เรียบร้อย รวมทั้งได้เร่งรัดให้ผู้รับจ้างดำเนินการบูรณะกุฏิให้คืนสภาพโดยเร็ว โดยให้บริษัทผู้รับจ้างร่วมกับสถาปนิก วิศวกร และผู้เกี่ยวข้อง ปรับปรุงรูปแบบรายการ และวิธีปรับดีดให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันของกุฏิ และให้ดำเนินการบูรณะกุฏิให้กลับคืนสภาพเดิม โดยให้เป็นไปตามรูปแบบรายการบูรณะที่ได้รับอนุญาต
ประตูนะโม เป็นประตูหลักของเมืองโบราณสุโขทัยทางด้านใต้ มีลักษณะทั่วไปเช่นเดียวกับประตูเมืองด้านอื่นๆ คือตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางกำแพงด้านใต้ และมีป้อมดินที่สร้างยื่นออกไปจากแนวกำแพงเป็นรูปสี่เหลี่ยม หลักฐานเรื่องกำแพงเมืองสุโขทัยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า "…เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากประตูหลวง… " และ… "รอบเมืองสุโขทัยนี้ตรีบูรได้สามพันสี่ร้อยวา…" ลักษณะกำแพงเมืองสุโขทัยเป็นกำแพงสามชั้น สองชั้นนอกเป็นคันดินสลับกับคูน้ำ กำแพงชั้นในมีแกนเป็นคันดินบางส่วนก่อหุ้มด้วยศิลาแลงและอิฐ ประโยชน์ของกำแพงเมืองคือใช้บอกขอบเขตของเมือง ป้องกันข้าศึก และคูน้ำใช้เป็นทางระบายน้ำไม่ให้ท่วมเมือง เนื่องจากพื้นที่ลาดเอียงจึงเป็นทำเลที่ดีและมีการใช้เทคนิควิทยาการที่เหมาะสม คือใช้คันดินบังคับน้ำให้พ้นตัวเมือง การขุดค้นทางโบราณคดีระหว่าง พุทธศักราช ๒๕๒๔ - ๒๕๒๕ พบว่าการสร้างกำแพงเมืองทั้งสามชั้นนั้น คงสร้างในระยะสมัยที่แตกต่างกัน คือครั้งแรกมีกำแพงเมืองกับคูน้ำชั้นในเพียงชั้นเดียววัดก้อนแลง ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองโดยห่างจากประตูนะโมประมาณ ๖๐ เมตร เป็นวัดเล็กๆ และไม่มีหลักฐานการสร้างวัด ลักษณะโบราณสถานเหลือฐานเจดีย์ประธานซึ่งเป็นฐานสูงแบบฐานเขียงของเจดีย์ทรงดอกบัวตูม(ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) มีวิหารและเจดีย์รายก่อด้วยอิฐ
วัดต้นจันทร์ อยู่ห่างจากวัดก้อนแลงไปทางใต้ประมาณ ๒๐๐ เมตร วัดนี้แม้ไม่มีประวัติการสร้างวัดแต่ได้ค้นพบพระพิมพ์ดินเผาที่เรียกว่าเสน่ห์จันทน์ ซึ่งเป็นพระพิมพ์(พระเครื่อง) ที่มีชื่อเสียงของสุโขทัย มีเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐ มีคูหาหรือซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง ๔ ทิศ ส่วนยอดเหลือแต่องค์ระฆังเท่านั้น ด้านตะวันออกของเจดีย์มีวิหารก่ออิฐ มีเสาศิลาแลงรองรับหลังคามุงกระเบื้อง
วัดเชตุพน วัดโบราณแห่งนี้ มีสิ่งสำคัญคือมณฑปจตุรมุข ประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยาบถ (นั่ง นอน ยืน เดิน) ขนาดใหญ่ องค์พระพุทธรูปปั้นด้วยปูนแกนอิฐโดยรอบ ผนังอิฐซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนรองรับหลังคา อันเป็นลักษณะที่พัฒนามาจากสถาปัตยกรรมของพม่าในเมืองพุกาม ทางด้านตะวันตกของมณฑปจตุรมุขนี้มี มณฑปย่อมุมไม้ยี่สิบขนาดเล็ก มีหลังคาก่อซ้อนกันเป็นเสาและใช้หินชนวนขนาดใหญ่ทำเป็นเพดาน ยังปรากฏร่องรอยของพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยแต่ชำรุดมากแล้ว ที่ผนังด้านนอกมีลายเขียนสีดำ แสดงลักษณะแบบที่ปรากฏบนเครื่องถ้วยจีน เป็นลายพรรณพฤกษา วัดเชตุพนยังมีสิ่งที่น่าดูอีกอย่างหนึ่งก็คือ กำแพงแก้วที่ล้อมมณฑปจตุรมุขนี้สร้างจากหินชนวนที่มีขนาดใหญ่และหนา โดยมีการสกัดและบากหินเพื่อทำเป็นกรอบและซี่กรงเลียนแบบเครื่องไม้ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าวัดนี้สร้างในสมัยใด ศิลาจารึกวัดสรศักดิ์กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ว่าเมื่อพระมหาเถรธรรมไตรโลกฯ มีศักดิ์เป็นน้าของพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองสุโขทัยพระองค์หนึ่ง มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสรศักดิ์ได้ร่วมชุมนุมกับพระวัดเชตุพนพิจารณาการสร้างเจดีย์ช้างรอบและศาสนสถานอื่นๆ ที่วัดสรศักดิ์ จากข้อความที่ระบุชื่อวัดเชตุพนในศิลาจารึกหลักนี้ประกอบกับรูปแบบทางศิลปกรรมของที่นี่แสดงให้เห็นว่าวัดเชตุพนคงเป็นวัดที่มีความสำคัญและเจริญรุ่งเรืองในช่วงสุโขทัยตอนปลาย นอกจากนี้ยังได้พบศิลาจารึกที่วัดเชตุพน กล่าวถึงเจ้าธรรมรังษีซึ่งบวชได้ ๒๒ พรรษา มีจิตศรัทธาสร้างพระพุทธรูปขึ้นในพุทธศักราช ๒๐๕๗
วัดเจดีย์สี่ห้อง ตั้งอยู่ทางตะวันออกของวัดเชตุพน นอกจากวิหาร เจดีย์ประธานและเจดีย์รายต่างๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญของวัดคือ ที่ฐานเจดีย์องค์ประธานมีภาพปูนปั้นประดับอยู่โดยรอบ ปั้นเป็นรูปบุคคล ทั้งบุรุษและสตรี สวมอาภรณ์และเครื่องประดับต่างๆ กัน ในมือถือภาชนะมีพรรณพฤกษางอกโผล่พ้นออกมาแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญงอกงาม ภาชนะนี้เรียกว่าปูรณฆฎะ (หม้อน้ำแห่งความอุดมสมบูรณ์) นอกนั้นก็มีปูนปั้นรูปช้างและสิงห์ประดับ รูปบุคคลที่กล่าวนี้อาจหมายถึงมนุษยนาคซึ่งถือว่าเป็นเทพอยู่ในโลกบาดาลตามแบบอย่างคติที่นิยมในลังกา องค์เจดีย์ประธานที่ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายสมัย เป็นทรงระฆัง ส่วนยอดของเจดีย์หักพังลงคงปรากฏส่วนปล้องไฉนตกอยู่ที่ฐานเจดีย์วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม วัดนี้ชาวบ้านเรียกแต่เดิมว่าวัดตาเถรขึงหนัง ต่อมาได้พบศิลาจารึกที่วัดนี้ปรากฏชื่อเรียกว่า วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม สร้างขึ้นในพุทธศักราช ๑๙๔๖ โดยพระราชชนนีศรีธรรมราชมาดามหาดิลกรัตนราชนาถกรรโลงแม่ ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า(ที่ ๒) และเป็นพระราชมารดาของพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าที่ ๓ (ไสลือไท) เจ้าเมืองสุโขทัย ได้โปรดให้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่จากเมืองกำแพงเพชรมาอำนวยการสร้างวัดแห่งนี้ วัดแห่งนี้ ล้อมรอบด้วยคูน้ำเช่นเดียวกับวัดทั่วไปในสุโขทัย รูปแบบของเจดีย์ทรงระฆังซึ่งเป็นเจดีย์ประธานของวัด ได้เปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบทั่วไปของสุโขทัยที่มีฐานเตี้ย แต่เจดีย์วัดศรีพิจิตรฯ ตั้งอยู่บนฐานสูง มีฐานเขียงสี่เหลี่ยมเรียบ ๓ ชั้น ต่อด้วยฐานย่อมุมไม้ยี่สิบ แล้วจึงถึงส่วนเรือนธาตุที่เป็นทรงระฆัง ทางด้านตะวันออกของเจดีย์ได้พบ "อัฒจันทร์" คือลายบนพื้นเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก (ครึ่งวงกลม) มีลวดลายเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากศิลปะลังกา
วัดวิหารทอง อยู่ใกล้กับคลองยาง (ซึ่งไหลมาจากเขาหลวงผ่านถ้ำแม่ย่าลงมาที่ฝายโบราณสรีดภงส์ ๒ ที่บ้านมนต์คีรี) ที่ตั้งวัดห่างจากประตูนะโมไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร มีเจดีย์ทรงดอกบัวตูม (ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) เป็นเจดีย์ประธาน แต่ปัจจุบันส่วนเรือนธาตุถึงยอดเจดีย์ได้หักพังลงแล้ว จากตำแหน่งที่ตั้ง สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นวัดทักษิณารามตามปรากฏนามในศิลาจารึกวัดอโสการาม ที่กล่าวว่า พระมหาเทพีศรีจุฬาลักษณ์ พระชายาพระมหาธรรมราชาธิราช ที่ ๒ ทรงสร้างถวายแก่พระมหาวันรัตนเถรในปีพุทธศักราช ๑๙๔๒วัดอโสการาม ชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า วัดสลัดได อยู่นอกเมืองโบราณห่างจากประตูนะโมไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เป็นวัดที่พบศิลาจารึกกล่าวว่าสร้างเมื่อ พุทธศักราช ๑๙๔๒ โดยพระมหาเทพีศรีจุฬาลักษณ์ พระมเหสีของพระมหาธรรมราชาธิราช(ที่ ๒) ผู้เป็นโอรสของพระมหาธรรมราชา (ที่ ๑) ลิไท ในคราวเดียวกับที่ก่อสร้างวัดทักษิณาราม เมื่อสร้างวัดอโสการามเสร็จแล้วได้นิมนต์สรภังคเถรให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัด รูปแบบของเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูม (ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์) เช่นเดียวกัน ปัจจุบันส่วนยอดหักพังลงแล้ว นอกจากนี้ก็มี วิหาร มณฑป เจดีย์ราย สร้างอยู่ภายในบริเวณคูน้ำล้อมรอบตามที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกด้วย
วัดโพรงเม่น อยู่ตรงกับมุมกำแพงเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้พอดี และอยู่ทางตะวันออกของวัดวิหารทอง วัดนี้ไม่มีประวัติการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมที่สำคัญคือ เจดีย์ทรงระฆังที่มีฐานแปดเหลี่ยม โดยเป็นฐานเขียงเรียบ ๓ ชั้น ต่อด้วยฐานบัวลูกแก้วอกไก่ อยู่ในผังแปดเหลี่ยม ส่วนเหนือองค์ระฆังกลมขึ้นไปชำรุดหมดวัดมุมลังกา ตั้งอยู่ทางตะวันออกของถนนพระร่วง (ในปัจจุบันถนนพระร่วงช่วงนี้ถูกลาดยางทับบนแนวถนนเดิม) ไม่ปรากฏหลักฐานประวัติการสร้าง เนื่องจากมีฐานเจดีย์ใหญ่ซึ่งเข้าใจว่าอาจเป็นเจดีย์ทรงระฆัง นักวิชาการสันนิษฐานว่าอาจเป็น วัดลังการาม ตามที่ปรากฏชื่อในจารึกวัดอโสการาม ที่กล่าวว่าสร้างขึ้นประมาณ พุทธศักราช ๑๙๔๒ เจดีย์ประธานเหลือแต่ฐาน มีวิหารอยู่ด้านตะวันออกของเจดีย์ และเจดีย์รายรอบบริเวณนั้น ที่น่าสังเกตคือมีอุโบสถตั้งอยู่ในทิศตะวันตกขององค์เจดีย์ อันเป็นการวางผังที่พบในการสร้างวัดของกรุงศรีอยุธยา
เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๓๐ น. คณครูและนักเรียนโรงเรียนตาเกาตาโกย อำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี เข้าชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี โดยมีครู ๖ คน นักเรียน ๗๐ คน
วันพฤหัสบดีที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘
นายขจร มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา
(ประธานตรวจการจ้าง) พร้อมด้วยคณะกรรมการตรวจการจ้าง
ตรวจรับงานโครงการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์
โบราณสถานปรางค์บ้านปรางค์ อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา
งวดที่3 (งวดสุดท้าย)
ณ โบราณสถานปรางค์บ้านปรางค์ อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา
***บรรณานุกรม***หนังสือหายาก วัดพระเชตุพน. งานนักขัตฤกษ์นมัสการพระพุทธไสยาส วัดพระเชตุพน พ.ศ. 2510 (สงกรานต์ 2510). พระนคร : ศรีเมืองการพิมพ์, ๒๕๑๐.
หนังสือเรื่องนี้คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี ได้สำเนามาจากเอกสารเก่า เป็นสมุดโผวเขียนตัวอักษรเฉียง และสมุดไทยขาวอักษรไทยเขียนด้วยเส้นหมึก การจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อรักษาไว้ซึ่งเรื่องราวสำคัญอันมีค่าทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม และโบราณคดีมิให้สูญไป
เลขทะเบียน : นพ.บ.6/15ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 50 หน้า ; 4.5 x 56 ซ.ม. : ทองทึบ ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 4 (33-46) ผูก 13หัวเรื่อง : บาลีสมันต--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.29/11ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 68 หน้า ; 4.5 x 58 ซ.ม. : ล่องรัก ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 15 (161-174) ผูก 10หัวเรื่อง : มหามูลกมฺมฏฐาน(มุลลกัมมัฏฐาน) --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
เลขทะเบียน : นพ.บ.52/7ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 68 หน้า ; 4.4 x 55 ซ.ม. : ล่องชาด ; ไม้ประกับธรรมดา ชื่อชุด : มัดที่ 33 (337-343) ผูก 7หัวเรื่อง : พลสงฺขยา --เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม