ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 48,588 รายการ




ตอนนี้ ถนนจอมพล กำลังเป็นกระแสของชาวโคราชอีกครั้ง เพราะกำลังมีกิจกรรม “#GRAFFITTI X #ChompolFest.” โดย GRAFFITTI ทั้ง 4 จุดที่กระจายตัวอยู่บนถนนจอมพลนี้ ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของถนนเส้นนี้ได้ดีมากขึ้น พี่นักโบจึงหยิบยก บทความ “สืบร่องรอย “ถนนจอมพล” ผ่านหลักฐานทางโบราณคดี” มาเล่าให้ทุกท่านได้ฟัง ก่อนจะไปชมงานศิลปะ ดื่มด่ำวิถีชีวิตด้วยวิธีเดินเมืองกันครับ . หากเรามอง “#ถนนจอมพล” ในมิติทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีแล้ว ถนนเส้นนี้คือกระดูกสันหลังของเมืองนครราชสีมา มาช้านาน เป็นเส้นแกงกลาง เมืองนครราชสีมา ตามแนวแกนทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก มีความยาวเท่ากับความกว้างของเมืองคือ 1,700 เมตร จุดสังเกตง่ายๆของถนนจอมพลคือตั้งอยู่ด้านหลังประตูชุมพล ซึ่งเป็นจุดหมายตาสำคัญ ทอดยาวไปทางด้านทิศตะวันออกจรดประตูพลล้าน ด้วยเป็นถนนแกนกลางของเมือง จึงมีโบราณสถานและศาสนสถานสำคัญตั้งอยู่ 2 ฝั่งถนน หลายแห่ง อาทิ ประตูชุมพลวัดบึง ศาลเจ้าบุญไพศาล ศาลหลักเมือง วัดกลางนคร (วัดพระนารายณ์มหาราชวรวิหาร) สถานพระนารายณ์ บ้านท่านท้าวสุรนารี และวัดบูรพ์ . ในอดีตถนนเส้นนี้เป็นรู้จักกันในชื่อถนน “#เจริญพานิชย์” คงเพราะเป็นถนนที่มีการทำธุรกิจการค้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อ เป็นถนน “จอมพล” เพื่อเป็นเกียรติให้กับ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คราวเดินทางมาตรวจราชการจังหวัดนครราชสีมา และยังเป็นถนนเส้นแรกของเมืองที่ลาดยางเนื่องจากเป็นถนนสายเศรษฐกิจ มีธุรกิจ ห้าง ร้าน หลายแห่ง  . “#ถนนจอมพลจากหลักฐานทางโบราณคดี"    ผลการขุดค้นทางโบราณคดีที่ผ่านมา ภายใต้โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ พบโบราณวัตถุหลายประเภท ซึ่งแสดงถึงร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ในอดีตบริเวณถนนจอมพล ดังนี้ . 1. เครื่องถ้วยจีน โดยภาชนะทั้งหมดสามารถกำหนดอายุอยู่ในช่วง ปลายพุทธศตวรรษที่ 24-25 จากการวิเคราะห์ลวดลายและเทคนิคที่พบ ได้จัดจำแนกเครื่องถ้วยจีน ที่พบจากแหล่งเตาชิงจี แหล่งเตาจิ่งเต๋อเจิ้น และแหล่งเตาเฉาอันและเหยาผิง รวมทั้งสิ้น 3 กลุ่ม  . 2. เครื่องถ้วยญี่ปุ่น พิมพ์ลายสีน้ำเงินลายดอกไม้ และก้านขด บนพื้นสีขาวด้านใน พิมพ์ลายเส้นบริเวณปากและก้น ผลิตจากแหล่งเตาในประเทศญี่ปุ่น โดยเทคนิคการพิมพ์ลายนี้ สามารถกำหนดอายุสมัยอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 . 3. เครื่องถ้วยฝรั่งเศส เคลือบน้ำเคลือบสีขาว ผลิตจากแหล่งเตาในประเทศฝรั่งเศส บริเวณก้นมีข้อความ “OPAQUE DE SARREGUEMINES” พร้อมสัญลักษณ์ โดย รูปแบบสัญลักษณ์ดังกล่าว เป็นตราผลิตภัณฑ์เครื่องถ้วยเนื้อกระเบื้อง ที่ผลิตจากเมืองแซร์กูมีนส์ (Sarreguemines) ซึ่งใช้เป็นเครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการ ระหว่าง พ.ศ. 2400-2457 ตรงกับรัชกาลที่ 5-6 . 4. ภาชนะดินเผาเนื้อดินธรรมดา และเนื้อแกร่ง ผิวเรียบ ไม่ตกแต่ง สันนิษฐานว่าผลิตจากแหล่งเตาพื้นถิ่น ไม่สามารถกำหนดอายุสมัยและแหล่งที่มาได้ชัดเจน . 5. หอยเบี้ย จำนวน 2 สำหรับหอยเบี้ยมีการใช้เป็นเงินตราแลกเปลี่ยนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี ถึง สมัยรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งใน พ.ศ. 2405 มีประกาศยกเลิกใช้หอยเบี้ย แล้วประกาศใช้เงินตราประเภท อัฐ โสฬส ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดทำระบบแลกเปลี่ยนเงินตราขึ้นใหม่ ซึ่งใน พ.ศ. 2405 นั้นโรงกษาปณ์ได้ผลิตเหรียญดีบุกขึ้นเป็นครั้งแรก โดยหอยเบี้ยทั้ง 2 ชิ้น พบร่วมกับเครื่องถ้วยจีน จากแหล่งเตาจิ่งเต๋อเจิ้น ผู้เขียนจึงกำหนดอายุอยู่ในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ 25 . 6. แผ่นไม้ ซึ่งสันนิษฐานว่า แผ่นไม้ดังกล่าวเป็นแผ่นไม้ปูพื้นถนนจอมพล โดยอ้างอิงจากภาพถ่ายเก่าถนนโพธิ์กลาง ซึ่งต่อเนื่องจากถนนจอมพลไปทางด้านทิศตะวันตก นอกเมืองเก่านครราชสีมา ซึ่งสันนิษฐานว่าถ่ายขึ้นในช่วงปลายรัชกาลที่ 5-6 ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 25 เนื่องจากพื้นถนนเป็นเนินสูงสลับกับที่ลาดต่ำ จึงมีการปรับพื้นที่ถนน โดยใช้ไม้หมอนวางเรียงกันเป็นแนว แล้วปูทับด้วยไม้กระดาน เรียงเป็นลูกระนาด ในอดีตชาวโคราชจึงเรียกถนนลักษณะนี้ว่า “ถนนกระดาน” . #สรุป พุทธศตวรรษที่ 25 เป็นช่วงเวลาที่เมืองนครราชสีมา มีความเจริญเติบโตมากขึ้นกว่าสมัยก่อนหน้า ในฐานะศูนย์กลางการปกครองเทศาภิบาลมณฑลลาวกลาง ตั้งแต่ พ.ศ. 2436 และศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เพราะถือกำเนิดรถไฟสายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2443 ด้วยทั้ง 2 ปัจจัย ส่งผลให้เมืองนครราชสีมาเติบโตขึ้น มีการปลูกสร้างอาคาร ห้างร้าน บ้านเรือน ต่าง ๆ ที่ขยายตัวมากขึ้นตามลำดับ . ถนนจอมพล ในฐานะถนนเส้นแกนกลางของเมือง ช่วงเวลานั้น ถูกยกให้เป็นถนนเส้นสำคัญ เพราะเป็นทั้งศูนย์กลางความเชื่อของคนนครราชสีมา ด้วยปรากฏ ศาสนสถานหลากหลายความเชื่อบนถนนเส้นเดียวกันนี้ และเป็นถนนสายเศรษฐกิจ จนมีชื่อว่า “เจริญพานิชย์” โดยเฉพาะชาวจีนจากมณฑลกว่างตงที่อพยพโยกย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำการค้าตั้งแต่ พ.ศ. 2400 บริเวณนี้ จนกลายเป็นย่านธุรกิจการค้าสำคัญของเมืองนครราชสีมาจวบจนถึงปัจจุบัน  . จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบกำหนดอายุร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์ในอดีตบนถนนจอมพล มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 25 เช่นเดียวกัน โดยอ้างอิงอายุสมัยจากรูปแบบเครื่องถ้วยต่างประเทศที่พบจากการขุดค้น เป็นหลัก โดยเครื่องถ้วยต่างประเทศและโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบแสดงให้เห็นการอยู่อาศัยและการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างชาวนครราชสีมากับชุมชนต่างภูมิภาค ได้เป็นอย่างดี ด้วยเพราะนครราชสีมาในตอนนั้น เป็นทั้งศูนย์กลางการปกครองและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย . พี่นักโบชวนอ่านบทความฉบับเต็ม เรื่อง สืบร่องรอย “ถนนจอมพล” ผ่านหลักฐานทางโบราณคดี” #นิตยสารศิลปากร ปีที่ 65 ฉบับที่ 5 (กันยายน-ตุลาคม 2565) หน้า 38-53 ได้ที่ website : https://digitalcenter.finearts.go.th/ หรือ คลังข้อมูลดิจิทัล – กรมศิลปากร ได้เลยครับ . เรียบเรียงนำเสนอโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ  . #ย่านจอมพล #ถนนจอมพล


ปราสาทแซร์ออ           ตั้งอยู่ที่บ้านใหม่พัฒนา ตำบลแซร์ออ อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ปัจจุบันพังทลายลงเหลือให้เห็นเพียงเนินดินเท่านั้น สันนิษฐานว่าเดิมเป็นปราสาทแบบเขมรโบราณที่สร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเนินดินเป็นที่ตั้งของบารายที่มีคันดินล้อมรอบ ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางบาราย มีสภาพเป็นเนินดินขนาดเล็ก ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นที่ตั้งของปราสาทกลางบารายตามคติความเชื่อเรื่องสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวเขมรโบราณ กำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๗ (ประมาณ ๙๐๐ - ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว)           กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานปราสาทแซร์ออ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๖ ตอนที่ ๑๑๒ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๒ มีพื้นที่โบราณสถานประมาณ  ๗๖ ไร่ ๒ งาน - ตารางวา Prasat Sae-O           Prasat Sae-O is in Ban Mai Phattana, Sae-O Subdistrict, Khok Sung District, Sa Kaeo Province. This Khmer temple was built by laterite and sandstone atop of hillock but it is completely ruined. The Baray is on the northwest of the sanctuary. There is a small hillock in the center of it which is assumed the temple in the center of Baray, a symbol of a sacred pond according to religious belief. Therefore, this temple should be dated to the late 9th - middle 12th century (900 - 1,100 years ago).           The Fine Arts Department announced the registration of Prasat Sae-O as an ancient monument in the Royal Gazette, Volume 106, Part 112, dated 16th July 1989. The total area is around 116,000 square meters.  


            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในเทศกาลตรุษจีน 2568 ขอเชิญทุกท่านมาร่วมเดินทางตามรอย“เส้นทางแห่งความสุข” เก็บสะสมตราประทับ ”โชคลาภ วาสนา อายุยืน และความสุข“ 福祿壽喜 / ฝูหลูโซ่วสี่ / ฮกลกซิ่วฮี้ และตราประทับ secret “ซังฮี้ / ซวงสี่” - สุขทวีคูณ นอกจากจะใช้สมุดสะสมของพิพิธภัณฑ์ หรือสมุดบันทึกของท่านเอง พิเศษสุดๆ ยังมีภาพลายเส้น “เจียงไท่กง” จากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เก๋งจีนนุกิจราชบริหาร อาคารหมายเลข 8 ในรูปแบบของฮู้อีกด้วย เริ่มวันพุธที่ 29 มกราคม 2568 ถึงวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ด้านหน้ามิวเซียมช้อป พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร             อัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท นักเรียน นักศึกษา ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้าชมฟรี สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2224 1402




ชื่อผู้แต่ง                 สมชาย  พุ่มสอาด ชื่อเรื่อง                  ประวัติวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ครั้งที่พิมพ์              พิมพ์ครั้งที่ ๑ สถานที่พิมพ์            กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์              สหประชาพาณิชย์ ปีที่พิมพ์                 ๒๕๓๐ จำนวนหน้า             (๑-๕) , ๖๒ หน้า : ภาพประกอบ ISBN                     974-7929-48-1 เลขเรียกหนังสือ        294.3135   ส239ป เลขทะเบียนหนังสือ   003459 หมายเหตุ               -                            วัดใหญ่สุวรรณาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ที่สำคัญและมีเชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี ประกอบด้วยศิลปโบราณวัตถุสถานภายในวัดปรากกอยู่เป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงฝีมือช่างชั้นครูเกือบทั้งวัด


ชื่อเรื่อง                    หนังสืออ่านละครพูดเรื่องเสียสละผู้แต่ง                       มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2423-2468ประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   วรรณคดีไทยเลขหมู่                     895.912 ม113หสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์คุรุสภาปีที่พิมพ์                    2498ลักษณะวัสดุ               130 หน้าหัวเรื่อง                     บทละครไทย/ละครพูดภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึก     เนื้อหาเกี่ยวกับบทละครพูดเรื่อง เสียสละ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งใช้นามปากกาว่า“ศรีอยุธยา” โดยกล่าวถึงบทพูดของตัวละคร แยกตามฉากต่างๆ ในเรื่อง จำนวน 4 ฉาก ได้แก่ ฉากในสวน, ห้องรับแขกในสโมสรนายทหาร กรมทหารบกราบที่ 22, สนามเพลาะ และสวนในโรงพยาบาล    


เฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ “ภูพระบาท” มรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ “รมว.สุดาวรรณ” ประธานติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก - ใบประกาศรับรองขึ้นทะเบียน ยูเนสโก มอบหนังสือรับรองอย่างเป็นทางการ - ติดตั้งป้ายรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวมรดกโลกภูพระบาท กรมการศาสนา นิมนต์คณะสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์ ฉลองมรดกโลก ณ โบราณสถานหอนางอุสา  ด้านกรมศิลป์ จัดแสดงละครตำนานภูพระบาท "อุสา - บารส" โขนรามเกียรติ์ ตอน สุครีพถอนต้นรัง  พร้อมเชิญชวน นักท่องเที่ยวไทย - ต่างชาติ เดินทางมาชมความงดงามอุดรธานีเมือง 2 มรดกโลก      วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีงานฉลองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมภูพระบาท ในโอกาสที่ได้รับประกาศรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการจากยูเนสโก โดยมีนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมศิลปากร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครท้องถิ่นในการดูแลรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรม (อส.มศ.) กว่า 200 คน ตลอดจนประชาชนในจังหวัดอุดรธานี เข้าร่วม ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี             นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า ตามที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” (Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period) ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 46 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานีต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก เมื่อพุทธศักราช 2535 ศูนย์มรดกโลกจึงจัดส่งใบประกาศรับรองการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม “ภูพระบาทประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี เป็นแหล่งมรดกโลกที่ลงนามรับรอง โดย Ms. Audrey Azoulay ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) มาให้กับประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรมจึงจัดงานฉลองแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมภูพระบาท เพื่อติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลกและใบประกาศรับรองการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมให้ประชาชนชาวไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร่วมยินดีและเฉลิมฉลองในการได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกครั้งนี้             ทั้งนี้ แหล่งมรดกโลกภูพระบาท มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของมรดกโลกคือ เป็นแหล่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แสดงถึงรูปแบบการกำหนดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และแสดงถึงรูปแบบทางศิลปะสีมานิมิตของวัฒนธรรมทวารวดีในบริบทของโลก และลักษณะทางภูมิทัศน์ของภูพระบาทได้มีการปรับเปลี่ยนสำหรับการตั้งสีมานิมิตและมีใช้งานพื้นที่อย่างต่อเนื่องในการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องกว่า 4 ศตวรรษ อีกทั้งมีความสัมพันธ์กับประเพณีและวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีหรือวัดป่า เป็นการใช้พื้นที่ที่แสดงถึงวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดีที่โดดเด่นที่สุดในที่ราบสูงโคราช             การจัดงานฉลองครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของกรมศิลปากร กรมการศาสนา และจังหวัดอุดรธานี โดยกรมการศาสนา จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสฉลองมรดกโลกภูพระบาท ณ โบราณสถานหอนางอุสา ซึ่งมีพระราชภาวนาวชิรากร (อินทร์ถวาย สนตุสสโก) เจ้าอาวาสวัดอุดมมงคลวนาราม (วัดป่านาคำน้อย) อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี แสดงธรรมเทศนาและนำพุทธศาสนิกชนเจริญจิตภาวนา ด้านกรมศิลปากร จัดกิจกรรมปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งถือเป็นไม้มงคลประจำในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพื้นที่โบราณสถานหอนางอุสา ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทและเป็นการเสริมสร้างภูมิทัศน์โดยรวมของแหล่งมรดกโลกภูพระบาท               นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า ภายในงานมีกิจกรรมเฉลิมฉลอง อาทิ การแสดงศิลปะพื้นบ้านจากชุมชนไทพวนอำเภอบ้านผือ การติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลกและใบประกาศรับรองการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกจากยูเนสโกอย่างเป็นทางการ และติดตั้งป้ายรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวมรดกโลกภูพระบาท โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการแสดงจากสำนักการสังคีต กรมศิลปากรที่ได้จัดการแสดงชุดพิเศษ ละครตำนานภูพระบาท เรื่องอุสา บารส (ตำนานรักภูพระบาท) เป็นเรื่องราวโศกนาฏกรรมความรักของนางอุสาและท้าวบารส ซึ่งถูกกีดกันจากเจ้าเมืองพานและถูกกลั่นแกล้งจากเหล่าชายาของท้าวบารสจนนางอุสาป่วยหนักและสิ้นใจ ด้วยความรักที่มีต่อนาง ท้าวบารสจึงตรอมใจตายตามนางอุสาไป จากชื่อตัวละครในนิทาน ตำนานที่บอกเล่าสืบต่อกันมานี้เอง ได้ถูกผูกโยงเข้ากับโบราณสถานบนภูพระบาทจนเกิดเป็นชื่อเรียกโบราณสถานต่าง ๆ เช่นทุกวันนี้ นอกจากนี้มีการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึกกุมภกรรณ ตอน สุครีพถอนต้นรัง เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระรามให้สุครีพ เป็นนายทัพคุมพลวานรออกรบกับกุมภกรรณ โดยกุมภกรรณได้ทำอุบายลวงให้สุครีพไปถอนต้นรังใหญ่ในทวีปอุดร สุครีพถอนต้นรังใหญ่มาได้แต่ต้องสิ้นกำลัง เมื่อเข้ารบกันจึงถูกกุมภกรรณจับตัวไว้ได้ แต่หนุมานและองคตมาช่วยแก้ไข ทั้งสามพญาวานรได้เข้ารุมทำร้ายกุมภกรรณจนได้รับบาดเจ็บต้องหนีกลับเข้ากรุงลงกา             รมว.วธ. กล่าวว่า จังหวัดอุดรธานีถือว่าเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีแหล่งมรดกโลก 2 แห่งในจังหวัดเดียว คือ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงและอุทยานประวัติภูพระบาท และทราบว่าขณะนี้มีการบูรณาการการทำงานในการจัดทำเส้นทางจังหวัดเดียวเที่ยว 2 มรดกโลก เชื่อมโยงระหว่างภูพระบาทและบ้านเชียง เชื่อว่าจะเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวในจังหวัดอุดรธานีเพิ่มมากขึ้น ได้มอบหมายให้กรมศิลปากร สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ จัดทำข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยว พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวแหล่งมรดกโลกเพิ่มมากขึ้น              ทั้งนี้ วธ.มีเป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อการพัฒนาชุมชน สังคมและประเทศชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งในส่วนของการบูรณะและพัฒนาโบราณสถานจะดำเนินการเสริมสร้างระบบนิเวศและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจวัฒนธรรม ยกระดับการบริการของพิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์ ส่งเสริมและสร้างสรรค์ทุนทางวัฒนธรรมให้เป็นทุนทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งเสริมเศรษฐกิจของชาติให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะพยายามผลักดันให้เกิดแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีแหล่งมรดกโลกให้ครบทุกภูมิภาคของประเทศไทย รวมทั้งเร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศและระดับโลก 




           พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เปิดรับสมัครเยาวชน อายุ 15 - 18 ปี เข้าร่วมอบรมเยาวชนมัคคุเทศก์ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 6 กรกฎาคม 2568 รับจำนวนจำกัดเพียง 30 คนเท่านั้น            นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเรือพระราชพิธี จำนวน 8 ลำ ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจากภูมิปัญญาและฝีมือของช่างโบราณ มีความประณีตวิจิตรบรรจง นับว่าเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้ของงานช่างแขนงต่าง ๆ และยังเป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ในการจัดขบวนพยุหยาตราชลมารค จะดำเนินการจัดอบรมมัคคุเทศก์น้อยท้องถิ่นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ระหว่างวันที่ 12 - 13 กรกฎาคม 2568 เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ด้วยการศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของเรือพระราชพิธีและขบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่ถูกต้อง รวมถึงบทบาทของมัคคุเทศก์ ภาษาอังกฤษเบื้องต้นเพื่อการนำชม และความรู้เกี่ยวกับชุมชนมุสลิมบางกอกน้อย เป็นการสร้างเครือข่ายเยาวชนมัคคุเทศก์ร่วมสนับสนุน ส่งเสริม และประชาสัมพันธ์กิจการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์แก่ชุมชน และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการต่อยอดสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับครอบครัว และเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ผู้ผ่านการอบรมจะได้รับเกียรติบัตรจากกรมศิลปากรอีกด้วย            เยาวชนผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครโดยสแกน QR code ทางเพจเฟซบุ๊ก Royal Barges National Museum : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2424 0004


ทุเรียนจันท์: GI แห่งความอร่อยจากเมืองจันท์ ทุเรียนได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ ด้วยรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นผลไม้ที่เป็นทั้งที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตามเบื้องหลังความนิยมนี้ ยังสะท้อนถึงความหลากหลายของสายพันธุ์ทุเรียนในประเทศไทยซึ่งมีมากกว่าร้อยสายพันธุ์ โดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรีที่ถือเป็นแหล่งปลูกทุเรียนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และมีการพัฒนา ปรับปรุง และอนุรักษ์สายพันธุ์มาอย่างยาวนาน จนสามารถยกระดับผลผลิตสู่มาตรฐานสากล ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี มีหน่วยงานสำคัญคือ ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี ซึ่งมีบทบาท ในการวิจัย พัฒนา และอนุรักษ์พันธุกรรมทุเรียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการรวบรวมพันธุ์พื้นเมืองจากทั่วประเทศ เช่น กลุ่มพันธุ์กบ กลุ่มพันธุ์ลวง กลุ่มพันธุ์กำปั่น และกลุ่มพันธุ์ทองย้อย รวมแล้วมากกว่า 600 สายพันธุ์ ด้วยทุเรียนคุณภาพดีที่สามารถผลิตเชิงการค้าได้ ล้วนมาจากสายพันธุ์ที่มีคุณภาพดี เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับการผลิตเชิงการค้า ตอบโจทย์ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ปัจจุบันการจำแนกคุณภาพของทุเรียนไม่ได้อิงเพียงสายพันธุ์เท่านั้น แต่ยังพิจารณาจากพื้นที่ต้นกำเนิด โดยใช้แนวคิด สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications: GI) ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองว่า ผลผลิตนั้นมาจากแหล่งที่มีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ และคุณภาพของผลิตภัณฑ์มีความสัมพันธ์กับถิ่นที่มาโดยตรง ในพ.ศ. 2564 ทุเรียนจากจังหวัดจันทบุรีได้รับการขึ้นทะเบียน GI อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อว่า “ทุเรียนจันท์” ซึ่งครอบคลุมทั้งพันธุ์พื้นเมือง ได้แก่ พวงมณี นกหยิบ ทองลินจง นวลทองจันทร์ กบสุวรรณ และพันธุ์เชิงการค้า ได้แก่ จันทบุรี 1 ถึง จันทบุรี 10 โดยเฉพาะสายพันธุ์จันทบุรี 1, 2, 3, 4, 10 และนวลทองจันทร์ ที่เริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ลักษณะเด่นของทุเรียนจันท์ คือ เนื้อหนาละเอียด สีเหลืองเข้ม หรือสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานมัน หรือหวานจัดจ้าน มีกลิ่นเฉพาะที่ไม่ฉุนจนเกินไป ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ของจันทบุรีที่เอื้อต่อการปลูกทุเรียน ทำให้ทุเรียนที่ปลูกในพื้นที่นี้มีคุณภาพสูง แตกต่างจากแหล่งอื่นอย่างชัดเจน ทุเรียนจันท์ คือผลลัพธ์จากการผสานองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานวิจัย นำไปสู่การพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับตลาดและสภาพแวดล้อม ส่งผลให้ทุเรียนจากจันทบุรีได้รับการยกระดับเป็นผลไม้ GI ที่มีมูลค่าสูง และได้รับการยอมรับทั้งในประเทศ และต่างประเทศ สามารถอ่านหนังสือเกี่ยวกับทุเรียนเพิ่มเติมได้ที่ห้องหนังสือทั่วไป หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี     แหล่งข้อมูลอ้างอิง จิรวรรณ โรจนพรทิพย์.  600 สายพันธุ์ทุเรียน “สมบัติล้ำค่า” ของชาติ ที่ศูนย์วิจัยพืชสวน      จันทบุรี.  [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2568 จาก https://www.khaosod.co.th/      technologychaoban/techno/plants-vegetables-fruit/article_53214 ทุเรียน การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว.  เชียงใหม่: ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว      มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2567. เปิดวาร์ป 14 เทพทุเรียน GI.  [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 19 มิถุนายน 2568 จาก       https://www.agrinewsthai.com/industrial-drop/76103   เรียบเรียงโดย นางสาวทิพวรรณ จันทร์ปัญญา บรรณารักษ์ปฏิบัติการ        หอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก จันทบุรี        สำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี  กรมศิลปากร


เลขทะเบียน : นพ.บ.613/4ก   ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 16 หน้า  ; 4 x 52 ซ.ม. : ล่องชาด-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 200 (37-48) ผูก 4ก (2568)หัวเรื่อง : สัตตัปปกรณาภิธรรม--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


เลขทะเบียน : นพ.บ.680/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณ                                                                                หมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 70 หน้า ; 4 x 58 ซ.ม. : รักทึบ-ลานดิบ-ล่องชาด-ล่องรัก ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 216 (196-201) ผูก 1 (2568)หัวเรื่อง : ทุกขขันธสูตร--เอกสารโบราณ             คัมภีร์ใบลาน             พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา  สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม


black ribbon.