ค้นหา
รายการที่พบทั้งหมด 48,589 รายการ
หอสมุดแห่งชาติ. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ : พระนิพนธ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, 2512. รวบรวมรายชื่อหนังสือพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่จัดพิมพ์เป็นเล่มแล้วไว้ทั้งหมดเท่าที่ค้นพบในหอสมุดดำรงและหอสมุดแห่งชาติ ประมาณ 1,050 เรื่อง โดยแบ่่งเป็นประเภทต่าง ๆ ต่าง เช่น ชุมนุมพระนิพนธ์ พระนิพนธ์ตำนวน พระนิพนธ์ประวัติศาสตร์ นิทานโบราณคดี สาส์นสมเด็จ พระกวีนิพนธ์ ฯลฯ ซึ่งแต่ละประเภทได้มีคำอธิบายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและความมุ่งหมายของพระนิพนธ์ประเภทนั้น ๆ ไว้ด้วย
นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากรและจังหวัดสุพรรณบุรี เตรียม เปิดให้บริการอาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จัดแสดงประติมากรรมสำริดที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือขุนหลวงพะงั่ว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ และประวัติศาสตร์เมืองสุพรรณบุรี โดยกำหนดเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นวันแรกในวันที่ ๑๙ สิงหาคมนี้ การจัดสร้างอาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี จัดสร้างขึ้นตามดำริของ ฯพณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๑ ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพสลักหินเล่าเรื่องประวัติศาสตร์จีน ณ China Millennium Monument เมืองปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดแสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือขุนหลวงพะงั่ว ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ ที่ได้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศด้านการศึกสงคราม การเมืองการปกครอง การศาสนา และการค้ากับต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงประวัติศาสตร์ของเมืองสุพรรณบุรีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สืบเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ผ่านงานประติมากรรมหล่อโลหะสำริดอันงดงามและมีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย อาคารประติมากรรมขุนหลวงพะงั่วและประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๕๓ โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบอาคารและภาพประติมากรรม มีผังการจัดแสดงเป็นรูปวงรี ภายในจัดแสดงประติมากรรมสำริดนูนสูงและนูนต่ำ มีความกว้าง ๔.๒๐ เมตร ความยาว ๘๘ เมตร แบ่งออกเป็น ๙ ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ ๑ สุพรรณบุรี : ชุมชนแรกเริ่ม แสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ พิธีกรรม ความเชื่อ การตั้งถิ่น ฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ สังคมเกษตรกรรมในจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อราว ๔,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว และภาพโบราณวัตถุสำคัญจากแหล่งโบราณคดีหนองราชวัตร อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี เช่น ภาชนะมีนม ภาชนะมีเขา ภาชนะสามขา ตอนที่ ๒ สุพรรณบุรี : อู่ทอง...เครือข่ายการค้าข้ามภูมิภาค แสดงถึงการติดต่อค้าขายระหว่างผู้คน ในเมืองโบราณอู่ทองกับพ่อค้าจากชุมชนใกล้เคียงและพ่อค้าชาวต่างชาติ ได้แก่ ชาวอินเดีย ชาวอาหรับ และชาวจีน เมืองโบราณอู่ทองเป็นหนึ่งในชุมทางการค้าสำคัญของลุ่มแม่น้ำแม่กลองและลุ่มแม่น้ำท่าจีน และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าทางน้ำที่สำคัญในดินแดนสุวรรณภูมิ ตอนที่ ๓ สุพรรณบุรีในวัฒนธรรมศาสนา : อู่ทองเมืองศูนย์กลางศาสนารุ่นแรก แสดงถึงการรับวัฒนธรรมศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจากประเทศอินเดีย ก่อให้เกิดรูปแบบวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เรียกว่า“วัฒนธรรมทวารวดี” ด้วยความเคารพและศรัทธาในศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของผู้คนในเมืองโบราณอู่ทองจึงได้มีการสร้างศาสนสถานและรูปเคารพทางศาสนา อันได้แก่ ธรรมจักรและศิวลึงค์ ตอนที่ ๔ สุพรรณบุรี : เนินทางพระ...ร่องรอยพุทธศาสนามหายาน แสดงให้เห็นถึงการเดินทาง มายังปราสาทเนินทางพระ ซึ่งเป็นศาสนสถานในศาสนาพุทธแบบมหายาน มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมขอมสมัยบายน เพื่อทำการสักการบูชาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญในศาสนาพุทธแบบมหายาน ตอนที่ ๕ สุพรรณบุรี : ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา แสดงเรื่องราวของขุนหลวงพะงั่วเจ้าเมือง สุพรรณภูมิทรงนำกองทัพออกสู้ศึกกับอาณาจักรขอมจนได้รับชัยชนะ และแสดงภาพเจดีย์วัดไก่เตี้ย ซึ่งเป็นเจดีย์ก่ออิฐทรงแปดเหลี่ยมอันเป็นรูปแบบเอกลักษณ์ของเจดีย์สมัยก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และภาพแหล่งเตาบ้านบางปูน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณบุรี ตอนที่ ๖ สุพรรณบุรี : เมืองลูกหลวงของราชธานีศรีอยุธยา แสดงเหตุการณ์การเสด็จขึ้นครอง ราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ และการติดต่อค้าขายกับเมืองจีนที่รุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งในสมัยของสมเด็จพระนครินทราธิราช (เจ้านครอินทร์) ตอนที่ ๗ สุพรรณบุรี : สมรภูมิยุทธหัตถี แสดงเหตุการณ์การกระทำยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระ นเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ตอนที่ ๘ สุพรรณบุรี : หัวเมืองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จัดแสดงพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหตุการณ์เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรี และพระบรมรูปของสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหตุการณ์เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินสักการะบวงสรวงเจดีย์ยุทธหัตถี พร้อมด้วยคณะเสือป่ารักษาพระองค์ ตอนที่ ๙ ปัจจุบัน...สุพรรณบุรี แสดงเหตุการณ์การเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงวางพวงมาลาในรัฐพิธีถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ทรงนำพสกนิกรเกี่ยวข้าวที่แปลงนาสาธิต และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธียกพุ่มข้าวบิณฑ์ยอดพระมณฑปและสมโภชรอยพระพุทธบาท ณ วัดเขาดีสลัก อำเภออู่ทอง อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวอีกว่า นอกจากผู้เข้าชมจะได้รับชมความงดงามของประติมากรรมสำริดแล้ว ยังได้รับความรู้และความเพลิดเพลินผ่านระบบการบรรยายนำชมที่ทันสมัยทั้งในรูปแบบออนไลน์ ออฟไลน์ และอุปกรณ์ Audio guide ที่มีให้เลือกถึง ๓ ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน โดยใช้เทคโนโลยีแสง เสียงประกอบการจัดแสดง ซึ่งจะอำนวยประโยชน์สูงสุดในการเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีของจังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุพรรณบุรี โทรศัพท์ ๐ ๓๕๕๓ ๕๓๓๐ ในวันและเวลาราชการ
องค์ความจากหอสมุดแห่งชาติรัชมังคลาภิเษก เชียงใหม่
เรื่อง "ศิลปกรรมแห่งสายน้ำ : เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์"
เรียบเรียงโดย นางสาวจิรัฐิติกาล จักรคำ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
สาขาสารสนเทศศาสตร์และบรรณรักษศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
กระบวนพยุหยาตราชลมารค [พะ-ยุ-หะ-ยาด-ตรา-ชน-ละ-มาก] หมายถึง ริ้วกระบวนเรือที่จัดขึ้นในการที่พระเจ้าอยู่หัวในสมัยโบราณเสด็จพระราชดำเนินไปในการต่าง ๆ ทั้งเป็นการส่วนพระองค์และที่เป็นการพระราชพิธี ซึ่งได้ประกอบกันมาแต่โบราณตั้งแต่สมัยสุโขทัย กระบวนพยุหยาตราชลมารคนี้ได้จัดสืบทอดต่อมาทั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยากรุงธนบุรีและในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จวบจนถึงปัจจุบัน
การจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารคนี้กล่าวได้ว่าได้วิวัฒนาการมาจากการจัดกระบวนทัพเรือ ในยามที่ว่างศึก เพื่อเป็นการฝึกซ้อมเรียกระดมกองทัพ โดยที่เรือเหล่านี้จะตกแต่งอย่างสวยงาม มีการประโคมดนตรีไปในกระบวนเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานอีกด้วย (เรือพระราชพิธี, ๒๕๔๒)
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเรือพระที่นั่งมาตั้งแต่รัชกาลพระมหาจักรพรรดิคือ เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๑๔๘) มีเรือพระที่นั่งสุพรรษวิมานนาวา ซึ่งทรงใช้เพื่อเสด็จไปเมืองเพชรบุรีและสามร้อยยอด (กรมศิลปากร, ๒๕๕๘) ปัจจุบัน เรือพระราชพิธีนับเป็นมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติจัดเก็บอยู่ในโรงเก็บเรือพระราชพิธี ปากคลองบางกอกน้อย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ กรมศิลปากร ยกฐานะโรงเก็บเรือพระราชพิธีขึ้นเป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ซึ่งเรือพระราชพิธีที่จัดเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑแห่งชาติฯ ขณะนี้มีด้วยกันรวม ๘ ลำ (เรือ วัฒนธรรมชาวน้ำลุ่มเจ้าพระยา, ๒๕๔๕) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ที่ถือว่ามีความงดงามในเชิงศิลปกรรม และเป็นเรือพระที่นั่งที่สำคัญที่สุดลำหนึ่งของชาติไทย
ชื่อเรื่อง ปฐมสมฺโพธิกถา (ปถมสมโพธิ์พุทธปูชา-ธาตุวิภชนปริวตฺต)
สพ.บ. 352/13ประเภทวัสดุมีเดีย คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่ พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ 42 หน้า กว้าง 5 ซม. ยาว 55 ซม.หัวเรื่อง พุทธศาสนา พระพุทธเจ้า วรรณกรรมพุทธศาสนา
บทคัดย่อ/บันทึก เป็นคัมภีร์ใบลาน อักษรขอม ภาษาบาลี-ไทย เส้นจาร ฉบับล่องชาด ได้รับบริจาคมาจากวัดลานคา ต.โคกคราม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
องค์ความรู้จากอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยเรื่อง บ่อน้ำในเมืองศรีสัชนาลัย
สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (ปุคฺคลปญฺญตฺติ-มหาปัฎฐาน)
ชบ.บ.48/1-6ค
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
สาวกนิพฺพาน (อานนฺท,ควมฺปติ,พิมฺพา,มหากสฺสป,โมคฺคลฺลาน,สารีปุตฺตเถรนิพฺพาน)
ชบ.บ.90/1-5
เอกสารโบราณ (คัมภีร์ใบลาน)
เลขทะเบียน : นพ.บ.243/1ห้องจัดเก็บ : ศรีโคตรบูรณ์ประเภทสื่อ : เอกสารโบราณหมวดหมู่ : พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ : 54 หน้า ; 4.5 x 56.5 ซ.ม. : ชาดทึบ-ล่องชาด-ล่องรัก-ลานดิบ ; ไม่มีไม้ประกับชื่อชุด : มัดที่ 114 (194-202) ผูก 1 (2565)หัวเรื่อง : อาการวตฺตสุตฺต(อาการวัตตสูตร)--เอกสารโบราณ คัมภีร์ใบลาน พุทธศาสนาอักษร : ธรรมอีสานภาษา : ธรรมอีสานบทคัดย่อ : มีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา สามารถสืบค้นได้ที่ห้องศรีโคตรบูรณ์ หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นครพนม
องค์ความรู้เรื่อง : ที่มาของ "หลวงพ่อนาก"โดย : นายจตุรพร เทียมทินกฤต. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ ที่ห้องล้านนา ตึกประพาสพิพิธภัณฑ์ ขอเชิญท่านไปชมพระพุทธรูปองค์หนึ่ง “หลวงพ่อนาก” มีความงามพุทธศิลป์เป็นศิลปะสุโขทัย มีสังฆาฏิที่ยาวจรดพระนาภี ทรวดทรงเพรียวบางแต่ได้สัดส่วน แต่พระพักตร์และท่านั่งขัดสมาธิเพชรออกไปทางศิลปะล้านนา ในการหล่อพระพุทธรูปนิยมใช้สำริด มีส่วนผสมของ ทองแดง ดีบุก ทองคำ เงิน แต่จากการหล่อหลวงพ่อนากมีการใส่ส่วนผสมของทองแดงมากกว่า สีผิวของท่านออกสีแดงเรื่อๆ อาจจะโดยความตั้งใจทำให้เป็นโลหะผสมที่เรียกกันว่า “นาก”๑ หรือกะส่วนผสมผิด แต่ออกมาเป็นพระพุทธรูปที่งดงามเป็นเอกองค์หนึ่ง ก่อนที่จะมาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ท่านมีประวัติความเป็นมาว่ามาจาก พ.ท.ปัจจุบันเป็นจังหวัดพะเยา โดยถูกนำมาจากโบราณสถานวัดป่าแดงหลวงดอนไชยบุญนาค(วัดป่าแดง(บุนนาค) ดังนี้. ก่อนอื่นต้องอธิบายสภาพโดยสังเขป “วัดป่าแดงหลวงดอนไชยบุญนาค” ตำบลท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา จากหลักฐานเดิมจากประวัติวัดป่าแดงของพระราชวิสุทธิโสภณ(พระอุบาลีคุณูปมาจารย์) วัดสองแห่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน โดยแยกจากออกจากกัน คือวัดป่าแดงหลวงดอนไชย กับวัดบุนนาค กลายเป็นวัดร้าง จึงมีการรวมพื้นที่เข้าเป็นวัดเดียวกันและบูรณะวัดขึ้นมาใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งภายในพื้นที่บริเวณวัดในปัจจุบันมีเนินโบราณสถานมากถึง ๒๕ เนินที่ยังไม่ได้ทำการขุดแต่งทางโบราณคดี ทางกรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๘ ตอนที่ ๑๗๗ ประกาศวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๔๗ พื้นที่ ๗๒ ไร่ ๑ งาน ๕๒ ตารางวา. วัดป่าแดงหลวงดอนไชย ตั้งอยู่บนส่วนยอดของเนิน ปัจจุบันได้มีก่อสร้างวิหารและเจดีย์ใหม่ทับบนฐานรากเดิมโดยมีแนวแกนของวัดวางตัวตามแนวตะวันออก-ตะวันตก เดิมเคยปรากฏแนวกำแพงล้อมรอบพื้นที่บริเวณวัด แต่ถูกรื้อทำลายจนเหลือแนวอิฐ ส่วน วัดบุนนาค ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ห่างออกไป ๒๐๐ เมตร ซึ่งแนวแกนของวัดกลับวางตัวตามแนวเหนือใต้ โดยองค์ประกอบสำคัญของวัดบุญนาค ประกอบด้วยเจดีย์ประธานซึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังแบบสุโขทัย คือมี ชั้นเขียง ๓ ชั้น (แต่ถูกซ่อมแซมไป) ที่องค์ระฆังมีมาลัยเถา ๓ ชั้น ซึ่งเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย องค์เจดีย์และอาคารทรงจัตุรมุข ได้มีการขุดแต่งทางโบราณคดีในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ และบูรณะในปีพ.ศ. ๒๕๓๒. ทางด้านทิศใต้ขององค์เจดีย์ห่างออกมาประมาณ ๓๐ เมตร มีเนินดินขนาดใหญ่ซึ่งจากประวัติเป็นสถานที่ค้นพบ จารึกหลักที่ พย.๙ ซึ่งมีข้อความ กล่าวถึง พระมหาเถรติกประหญา อารามาธิบดี วัดพญาร่วง ได้ทำบุญในปี พ.ศ. ๒๐๔๒ และอุทิศสิ่งของถวายวัด ซึ่ง พญาร่วง หรือพระยาร่วง เป็นคำที่นิยมใช้เรียกขาน กษัตริย์ของแคว้นสุโขทัย ซึ่งพระยาร่วง ในที่นี้(พะเยา) กล่าวจะหมายถึงใครไม่ได้ นอกจากพระเจ้ายุธิษฐิระ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ที่ได้ผิดใจกับพระบรมไตรโลกนาถ ได้พาผู้คนมาเข้าด้วยพระเจ้าติโลกราช ในปี ๑๙๙๔(?) ศิลาจารึกหลักนี้ นายบุญรัตน์ ทิพย์มณี พบที่วัดบุนนาค จังหวัดพะเยา เหตุที่ได้ชื่อว่าวัดบุนนาค สันนิษฐานว่า มีต้นบุนนาคขึ้นอยู่ก่อน แต่ตำนานซึ่งเขียนในสมัยพระครูศรีวิลาสวชิรปัญญา ว่าชื่อ วัดพญาร่วง ต่อมานายบุญรัตน์ ทิพย์มณี ได้นำมามอบแก่พระโสภณธรรมมุนี (คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปวง ธมฺมปญฺโญ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๖) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ หรือหลวงพ่อใหญ่ ของชาวพะเยา ส่วนเนินดินขนาดใหญ่ที่กล่าว ต่อมาใน ปี ๒๕๔๘ ทางสำนักงานศิลปากรที่ ๗ น่าน(เดิม) ได้ทำการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดี และบูรณะ ปี ๒๕๕๑. ใน ปี ๒๔๖๐ ได้เกิดเหตุร้ายเจดีย์ประธานองค์นี้จากบันทึกของ พระครูศรีวิราชปัญญา๒ เจ้าคณะเมืองพะเยา ว่า “ใน วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ว่าพระเทพวงค์และธุเจ้าเทพ ได้ไปพบ หลักฐานจากซากหลงเหลือ จากผู้ร้ายมาลักขุดเจดีย์วัดบุนนาค มีหีบหินกว้าง ๓ ศอก ลึก ๓ ศอก พระเทพวงค์บอกได้ว่า มีการขุด วันเดือน ๑๒ ออก ๑๐ ค่ำ๓ ตรงกับวันที่เกิดเหตุ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๐ (ในขณะนั้นวัดร้างไม่มีการดูแล) และ มีการตามจับได้ที่บ้านร้อง อำเภองาว (อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้กว่า ๓๐ กิโลเมตร) ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เหลือรอดจากการถูกหลอม เป็นพระพุทธรูปโลหะผสม(สำริด แต่มีสัดส่วนทองแดงมากกว่าปรกติ)” ซึ่งต่อมาได้ยึดและจัดเก็บไว้ที่ ศาลจังหวัดเชียงราย๔. เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาส เชียงราย ในปี ๒๔๖๙ อำมาตย์ตรีหลวงอดุลยธารณ์ปรีชาไวท์ ผู้พิพากษาศาลเชียงรายทูลเกล้าถวาย ต่อมาได้พระราชทานให้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ คือพระพุทธรูปที่เรียกกันว่า หลวงพ่อนาก ปรากฏ ว่ามีจารึกที่บริเวณฐานขององค์พระ กล่าวถึงพระนามของ พระเจ้ายุธิษฐิราม เป็นผู้สร้างพระพทุธรูปองค์นี้ เมื่อ มศ. ๑๓๙๘ (พ.ศ. ๒๐๑๙) ในช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าติโลกราช ได้มีความนิยมทำจารึกปีที่สร้างไว้ที่ส่วนฐาน สรุปความได้ว่า “ศักราช ๑๓๙๘ [ม.ศ. ๑๓๙๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๑๙ ] ในปีวอก เดือน ๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอาทิตย์ อุตรภัทรนักษัตร โสริยาม พระราชาผู้เป็นใหญ่ทรงพระนาม พระเจ้ายุษฐิรราม เป็นพระราชาผู้ครองเมืองอภิวทรงประสูติในวงค์ของนักรบผู้กล้าหาญเป็นเยี่ยม ทรงประกอบด้วย(ทศพิธราช) ธรรม แตกฉานพระไตรปิฏก ได้ทรงสร้างพระพุทธรูปทอง (สำริด) องค์นี้มีน้ำหนักสิบสี่พัน(๑๔,๐๐๐) เพื่อดำรง(พระศาสนา) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เมื่อได้สอบทานช่วงเวลานั้น พระเจ้ายุธิษฐิระ ได้มาครองเมืองพะเยาแล้ว ได้ปรากฏในจารึก ลพ ๒๔ สรุปความได้ว่า “ในปี ๘๓๖( จศ.๘๓๖-พ.ศ. ๒๐๑๗) พระเจ้าติโลกราชให้พญาสองแควเก่า มากินเมืองพะเยา มาสร้างบ้านพองเต่าให้เป็นที่อยู่”. ถ้าท่านมีโอกาสไปเยี่ยมชม วัดบุนนาค ใต้ต้นไม้ใหญ่(มะม่วง?) อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๓๐ เมตร ของเจดีย์ประธาน ที่โคนต้นพบแผ่นปูนซีเมนต์ มีการจารข้อความ ว่า “สถานที่ตรงนี้เหล่าคนร้ายได้พากันขุดองค์พระเจดีย์และนำพระทองคำหน้าตัก ๒๐ กว่านิ้ว ๔ องค์ ทำการหลอมเพื่อเอาทองคำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ วันที่ ๒๑ สิงหาคม เวลาหลอมตอนแรกไม่ละลายจึงพากันตั้งศาลเพียงตา อธิษฐานขอเกิดเป็นคนชาติเดียว...(อักษรเลือน)” เมื่อไปตรวจสอบเอกสารพบว่า ตรงกันกับเหตุการณ์การลักลอบขุดที่วัดบุนนาค มีเพียงครั้งเดียว สิงหาคม ๒๔๖๐ ตามบันทึกว่า “วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ จุลศักราช ๑๒๗๙ พุทธศักราช ๒๔๖๐ ตรงกับ รศ.๑๓๖ เวลาเช้า ๓ โมงเช้า(๐๙.๐๐ น.)” จึงอาจจะเป็นความสับสนวัน ปี ของผู้จาร แต่จากข้อความ ทำให้ว่าได้ทราบสูญเสียพระพุทธรูปที่มีขนาดใกล้เคียงกับหลวงพ่อนาค ไปให้กับความโลภของมนุษย์ ถึง ๔ องค์ สันนิษฐานว่าคงจะมีพุทธศิลป์ที่งามไม่ด้อยกว่าหลวงพ่อนาก ที่หลงเหลือให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมเชิงอรรถ๑. นาก ในที่นี้เป็นคำนาม หมายถึง โลหะผสมชนิดหนึ่ง โดยเอาทองคำ เงิน กับทองแดงผสมเข้าด้วยกัน นิยมใช้ทำรูปพรรณต่าง ๆ เป็นวิเศษณ์ หมายถึง เรียกสีอย่างสีทองปนแดง เช่น ชมพู่สีนาก เป็นต้น๒.พระครู วิลาสวชิรปัญญา (ปินตา ชอบจิต 2404-2487)”ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงเมืองพะเยา (ในอดีตพะเยามีฐานะเป็นอำเภอหรือแขวงหนึ่งของจังหวัดเชียงราย) ระหว่าง พ.ศ. 2404-2487 นอกจากนี้ ยังเป็นเจ้าอาวาสวัดหัวข่วงแก้ว วัดราชคฤห์ และเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ (วัดพระเจ้าตนหลวง) มีรวบรวมเก็บไว้ที่หอวัฒนธรรมนิทัศน์ วัดศรีโคมคำ มีจำนวน 11 เล่ม เป็นการบันทึกประจำวัน เหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพิธีกรรมศิลปวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น รวมถึงการปกครองคณะสงฆ์ ด้วยอักษรธรรมล้านนาในกระดาษฟุลสแก็ปที่เย็บเป็นเล่ม ได้มีคุณประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังเหลือคณานับ๓.นับตามปฏิทินจันทรคติล้านนา จะแตกต่างกับทางภาคกลาง(จุลศักราชไทย) นับเร็วกว่าประมาณ ๒ เดือน๔. อำเภอพะเยาได้ยกฐานะขึ้นเป็น จังหวัดพะเยา แยกจาก จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2520-อ้างอิง-คณะกรรมจัดทำหนังสือวัดป่าแดงบุนนาค(ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์). ตำนานพระธาตุป่าแดงหลวงดอนไชยและพระรัตนบุนนาคไชยปราการ.พะเยา,กอบคำการพิมพ์.พระธรรมวิมลโมลี.เมืองพะเยาจากตำนานและประวัติศาสตร์.พะเยา:๒๕๔๖.พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ “ หลวงพ่อนาก พระพุทธรูปพระเจ้ายุธิษฐิระ” ศิลปากร ปีที่ ๔๖ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-กุมภาพันธ์) ๒๕๔๖.๑๐๕-๑๑๔.สุจิตต์ วงษ์ เทศ บรรณาธิการ.(๒๕๓๘). ประชุมจารึกเมืองพะเยา. กรุงเทพฯ: บริษัทพิฆเณศ พริ้นติ้งเซ็นเตอร์.
สุจิตต์ วงษ์ เทศ บรรณาธิการ.ประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม เมืองพะเยา. กรุงเทพฯ: บริษัทพิฆเณศ พริ้นติ้งเซ็นเตอร์.
ชื่อผู้แต่ง :
ชื่อเรื่อง : กลมรำพึง และ ดนตรีไทย
ครั้งที่พิมพ์ : -
สถานที่พิมพ์ : ม.ป.ท.
สำนักพิมพ์ : ม.ป.พ.
ปีที่พิมพ์ : ๒๕๑๗
จำนวนหน้า : ๘๒ หน้า
หมายเหตุ : อนุสรณ์ในการฌาปนกิจศพ จ่าเอกกลม มาลัยมาลย์ ณ เมรุวัดพระพิเรนทร์ วรจักร วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗
ครูเจียนเป็นคนตำบลบ้านปรก จังหวัดสมุทรสงคราม มีเชื้อสายทางดนตรีสืบมาแต่บรรพบุรุษ จึงมีความรักและไผ่ใจมาแต่เด็ก ชีวิตครูได้ปรับปรุงการดนตรีไทยให้เจริญขึ้นตลอดเวลา ได้เปลี่ยนแปลงเพลงเก่าให้มีความไพเราะยิ่งขึ้น
สิมวัดบ้านซิน สิมลาว การขยายตัวของกลุ่มวัฒนธรรมล้านช้างเข้าสู่พื้นที่วัฒนธรรมอยุธยา-รัตนโกสินทร์ ในโคราช
โบสถ์หรือสิมวัดบ้านซิน ตำบลค้างพลู อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา ตั้งทางด้านทิศตะวันตกของโบสถ์หลังใหม่ เป็นวัดในชุมชนบ้านซิน หมู่ ๒ ลักษณะเป็นโบสถ์หรือสิมที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมล้านช้าง วัดตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้าน ติดกับลำเชียงไกร วัดบ้านซิน เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตามประวัติการก่อสร้างของวัดระบุว่าสร้างวัดเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๒๓ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๕ ภายในวัดยังเหลืออาคารที่เป็นโบราณสถานคือพระอุโบสถหรือสิมที่ข้อมูลของวัดกล่าวว่าสร้างขึ้นในราว ๓๐๐ ปีมาแล้ว ชาวบ้านได้ร่วมกันบูรณะซ่อมแซมกันเองในราว พ.ศ. ๒๕๑๔
สิมวัดบ้านซิน ลักษณะเป็นสิมโปร่ง (สิมโปร่งเป็นอาคารโปร่งโล่งขนาดกะทัดรัดประกอบด้วยเสาไม้ตั้งอยู่บนฐานยกพื้นรองรับหลังคาไม่มีผนัง ถ้าจะทำผนังก็มักจะทำแต่ด้านที่มีพระประธานและมักสร้างเล็กๆเพื่อให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรมเพียงสี่ห้าองค์) เป็นสิมขนาด ๒ ห้อง (สามเสา) หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีขนาดประมาณ ๓ X ๖ เมตร มีชายคาต่อเป็นเพิงอยู่ทางด้านหน้า หลังคาชั้นเดียว สีหน้าหรือหน้าบันตีเป็นแผ่นไม้กระดานทั้งสองด้านไม่มีการตกแต่ง
อาคารมีลักษณะเป็นฐานก่ออิฐ สูงจากพื้นประมาณ ๑.๕๐ เมตร มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีผนังเตี้ยๆสูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตรทั้งสามด้าน ด้านตะวันออกเว้นเป็นช่องทางเข้าตรงกลางประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ด้านข้างทางด้านท้ายอาคาร ทำผนังลาดค่อยๆสูงขึ้นไปจนถึงหัวเสา ผนังอาคารทางด้านหลังพระประธานก่อผนังสูงเต็มจนถึงหัวเสา ด้านท้ายอาคารก่อเป็นฐานพระเป็นแนวยาวตลอดผนังกว้างประมาณ ๕๐ เซนติเมตร ตรงกลางก่อเป็นแท่นพระขนาดประมาณ ๑X๑ เมตร แทรกอยู่ ใช้สำหรับตั้งพระประธาน ก่อด้วยอิฐฉาบปูนทาสีตกแต่ง ฐานพระก่อเป็นฐานบัวคว่ำบัวหงายแบบฐานเอวขันแบบเดียวกับฐานอาคาร มีเสาไม้หกต้นอยู่ที่ผนังด้านเหนือและใต้ ด้านละ ๓ ต้นฝังลงไปจนถึงฐานสิม อิฐที่ก่อปิดเสาที่ส่วนฐานหลุดออก หลังคาเป็นหลังคาเครื่องไม้ ชั้นเดียวมุงด้วยแผ่นสังกะสี ไม่มีเครื่องตกแต่งชั้นหลังคา
พื้นที่ดินโดยรอบสิมได้รับการถมปรับขึ้นมาอีกประมาณ ๐.๕๐ เมตร จากระดับพื้นดินเดิม จนฐานเขียงหายไป จึงเริ่มปรากฎชั้นฐานที่ชั้นบัวคว่ำ บริเวณรอบโบสถ์พบแท่นก่ออิฐพังเป็นกองอิฐตั้งอยู่โดยรอบ จำนวน ๘ จุด มีจุดที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนอยู่ทางด้านหลังอาคารทำเป็นฐานใบเสมา ตัวใบเสมา ก่อด้ายอิฐฉาบปูนเป็นรูปดอกบัวทรงพุ่ม มีร่องรอยใบเสมาทำจากหินทรายสีแดงปักจมอยู่ที่พื้นด้านหน้าสิม
การสำรวจพบว่าสิมมีสภาพชำรุดมาก ฐานสิมที่ก่ออิฐชำรุดจากการแยกบริเวณส่วนเสาทั้ง ๖ ต้น จนถึงบริเวณโคนเสา ส่วนฐานที่อยู่ด้านล่างปูนที่ฉาบไว้หลุดออกเกือบหมด และมีอิฐหลุดออกมา ปรากฏร่องรอยการซ่อมแซมโดยใช้ดินเหนียวผสมกับฟางละเอียดคลุกเคล้ากันมาพอกปิดไว้ และฉาบด้วย ปูนขาว สันนิษฐานว่าน่าจะซ่อมในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ซึ่งการซ่อมในส่วนนี้บางส่วนก็พังแล้วเช่นกัน ผนังทางด้านทิศตะวันตกที่ก่อขึ้นมาสูงเสมอเสา ค่อนข้างชำรุดเสียหายมาก มีรอยแตกร้าวเป็นแนวยาว จากฐานจนถึงด้านบนของผนัง โครงสร้างหลังคาค่อนข้างดีอยู่ แต่ชำรุดจากปลวกและการเสื่อมสภาพของไม้ ส่วนประดับหลังคา หักหายไปหมดแล้ว
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ อาคารสถาปัตยกรรมประเภทสิมโปร่ง เป็นสถาปัตยกรรมเฉพาะของวัฒนธรรมแบบล้านช้าง มักพบในพื้นที่ที่เป็นเขตวัฒนธรรมของกลุ่มคนในวัฒนธรรมล้านช้าง เช่นพื้นที่ในจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม ขอนแก่น เช่น สิมวัดราษี อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม สิมวัดไตรภูมิ บ้านผือฮี ตำบลดงแดง อำเภอจตุรพักตร์พิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนที่ใช้วัฒนธรรมล้านช้างเข้าสู่ดินแดนจังหวัดนครราชสีมาซึ่งใช้รูปแบบวัฒนธรรมอยุธยา – รัตนโกสินทร์ จากภาคกลาง อย่างน้อยก็ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นต้นมา จากสภาพของตัวโบราณสถานน่าจะมีอายุประมาณ ๑๕๐ – ๒๐๐ ปีมาแล้ว จากข้อมูลหมู่บ้านแต่เดิมบ้านซินเป็นหมู่บ้านที่มีชาวมอญและชาวลาวอพยพเข้ามาอยู่อาศัย ต่อมามีคนจากภายนอกเข้ามาจึงทำให้รูปแบบวัฒนธรรมดั่งเดิมหายไป ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ
ข้อมูลโดย : นายกิตติพงษ์ สนเล็ก นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา