ค้นหา

รายการที่พบทั้งหมด 41,347 รายการ

รายการ ไขความรู้จากครูกรมศิลป์ “เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านบ้านพระยากำธรพายัพทิศ”  วิทยากรโดย นายวรรณพงษ์ ปาละกะวงษ์ ณ อยุธยา นักโบราณคดีปฏิบัติการ กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๐ นครราชสีมา, นายอิทธิพล คัมภิรานนท์ ประธานภาคีอนุรักษ์เมืองนครราชสีมา, นายพงศ์บัณฑิต อินทโสฬส ณ ราชสีมา รองประธานภาคีอนุรักษ์เมืองนครราชสีมา ดำเนินรายการโดย นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๑.๐๐ – ๑๑.๔๕ น. สามารถติดตามชมได้ทาง Facebook Live : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม Facebook Live : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร และ Youtube Live : กรมศิลปากรสามารถรับชมน้อยหลังได้ที่นี่ >>   https://fb.watch/dV0_6MWeCB/


แปลก  สนธิรักษ์ และสวัสดิ์ สวัสดิ์พินิจจันทร์.  ศัพท์ศาสนา นักธรรมและธรรมศึกษาตรี.       พระนคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2503.           เป็นหนังสือที่ได้รวบรวมและจัดทำคำอธิบายความหมายของคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา โดยใช้คำว่า “ศัพท์ศาสนา” ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายจึงแบ่งเป็นชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา และครูบาอาจารย์ ตลอดจนผู้สนใจศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาโดยทั่วไป   




-- องค์ความรู้จากเอกสารจดหมายเหตุ : สร้างทางเพื่อเดินรถโดยสาร -- ในสมัยก่อน ตามหัวเมืองต่างๆ เราจะพบว่า ความเจริญทั้งทางการปกครองและทางเศรษฐกิจ ย่อมจะต้องไปรวมศูนย์กันอยู่ที่เขตตัวเมืองอันเป็นศูนย์กลางของเมืองหรือจังหวัด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชนบทห่างไกล หากมีธุระต้องติดต่อราชการหรือจับจ่ายใช้สอยซื้อขายสินค้า ก็จำเป็นที่จะต้องเดินทางเข้ามาในตัวเมือง ซึ่งแน่นอนว่าการเดินทางเข้าเมืองในสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หลายคนต้องเดินเท้าออกจากบ้านมาเป็นวันๆ บางครั้งต้องบุกป่าฝ่าดง ข้ามแม่น้ำลำธารหลายสายถึงจะเข้าเมืองได้ ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีถนนที่ได้มาตรฐานที่จะช่วยให้การเดินทางสะดวกรวดเร็ว รวมถึงไม่มีรถโดยสารที่จะช่วยทุ่นเวลาและแรงกายในการเดินทางได้  จากเหตุผลดังกล่าวนี้ ในหลายพื้นที่จึงพบว่ามีเอกชนหลายรายที่ให้ความสนใจในการเปิดเส้นทางเดินรถเพื่อรับส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าไปมาระหว่างตัวเมืองกับตำบลต่างๆ ที่อยู่ห่างไกล ซึ่งบางครั้งการที่จะได้มาซึ่งสัมปทานหรือสิทธิ์ในการเดินรถนั้น ผู้ประกอบการก็จำเป็นที่จะต้องสร้างถนนขึ้นเองด้วย ดังตัวอย่างในเอกสารจดหมายเหตุที่กล่าวถึงต่อไปนี้ ข้อมูลจากเอกสารจดหมายเหตุชุด เอกสารส่วนพระองค์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง สร้างทางเดินรถรับส่งคนโดยสาร จังหวัดลพบุรี สุพรรณบุรี จันทบุรี และอุตรดิตถ์ ระบุว่า เมื่อปี พ.ศ. 2471 หม่อมเจ้าดำรัสดำรงค์ เทวกุล เลขานุการเสนาบดีสภา ได้มีหนังสือกราบทูลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ อภิรัฐมนตรีว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ถวายสำเนาหนังสือพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เอกชนสร้างทางถือสิทธิเดินรถรับจ้างบรรทุกสินค้าและส่งคนโดยสารในจังหวัดต่างๆ รวม 5 สาย ใน 4 จังหวัด หนึ่งในนั้นคือจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งมีขุนอำไพพานิช เป็นผู้ขอรับสัมปทานการเดินรถโดยสารระยะเวลา 15 ปี (ต่อมาได้รับการเสนอให้ขยายเวลาเป็น 20 ปี) โดยรับผิดชอบในการสร้างทางถมหินลูกรังจากสถานีรถไฟท่าเสา อำเภอบางโพ (อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน) ผ่านตำบลต่างๆ ตามแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตกไปจนถึงตำบลหาดงิ้ว เขตรอยต่อกับอำเภอท่าปลา ในหนังสือพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างทางและเดินรถฯ ได้ระบุถึงหน้าที่ของผู้รับอนุญาตในการสร้างบำรุงรักษาทางและเดินรถ และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ในการสร้างทางตามมาตรฐานของกรมทาง เช่น เส้นรัศมีของทางเลี้ยวจะต้องยาวไม่ต่ำกว่า 100 เมตร ความลาดชันของทางต้องไม่เกินร้อยละ 5 การถมหินบนหลังทางจะต้องถมหนาอย่างน้อย 15 เซนติเมตรก่อนที่จะบดทับให้แน่น เป็นต้น รวมทั้งหากทางที่ก่อสร้างจำเป็นต้องข้ามลำน้ำหรือทางน้ำต่างๆ ผู้รับอนุญาตก็จะต้องก่อสร้างเอง โดยกรมทางจะเป็นผู้วางแบบและวิธีการก่อสร้างให้   โดยสรุปก็คือ การอนุญาตให้เอกชนสร้างทางพร้อมกับให้สิทธิ์ในการบริการรถโดยสารและขนส่งสินค้านี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะนอกจากเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของทางการในการช่วยให้ชาวบ้านได้มีเส้นทางในการเดินทางสัญจรที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นแล้ว แล้วยังเป็นการขยายระบบขนส่งสาธารณะไปยังพื้นที่ห่างไกล และเป็นตัวช่วยกระจายความเจริญจากตัวเมืองออกสู่ชนบทอีกด้วยผู้เขียน : นายธัชพงศ์ พัตรสงวน (นักจดหมายเหตุปฏิบัติการ หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พะเยา)เอกสารอ้างอิง:สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารส่วนพระองค์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สบ.2.42/144 เรื่อง สร้างทางเดินรถรับส่งคนโดยสาร จังหวัดลพบุรี สุพรรณบุรี จันทบุรี และอุตรดิตถ์. [2 มิ.ย. 2471].#จดหมายเหตุ #องค์ความรู้จากจากจดหมายเหตุ #หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯพะเยา #เอกสารจดหมายเหตุ




ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           61/1ประเภทวัสดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                               64 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อเรื่อง                                        สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม  (สงฺคิณี-มหาปฏฺฐาน) อย.บ.                                           62/3ประเภทวัดุ/มีเดีย                       คัมภีร์ใบลานหมวดหมู่                                     พุทธศาสนาลักษณะวัสดุ                              76 หน้า : กว้าง 4.5 ซม. ยาว 57 ซม.หัวเรื่อง                                        พุทธศาสนาบทคัดย่อ/บันทึก               เป็นคัมภีร์ใบลาน เส้นจาร ฉบับทองทึบ ไม้ประกับธรรมดา ได้รับบริจาคมาจาก จ.พระนครศรีอยุธยา


ชื่อผู้แต่ง          - ชื่อเรื่อง           ศิลปภาพเหมือน ( PORTRAII ) ครั้งที่พิมพ์:      - สถานที่พิมพ์    กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์      อมรินทร์การพิมพ์ ปีที่พิมพ์          2527 จำนวนหน้า     102 หน้า หมายเหตุ        พิมพ์ในงานนิทรรศการพิเศษ  ศิลปะภาพเหมือนเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ร.9                                      ปีพ.ศ. 2527 รายละเอียด              เนื้อหาประกอบด้วยเรื่องวิวัฒนาการรูปเหมือนในประเทศไทย (โดยสังเขป) พร้อม ภาพประกอบด้านจิตรกรรมและด้านประติมากรรม


สตฺตปฺปกรณาภิธมฺม (สงฺคิณี-มหาปฎฺฐาน) ชบ.บ 152/3 เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


ฎีกาพาหุ (ฎีกาพาหุ) ชบ.บ 180/1ข เอกสารโบราณ(คัมภีร์ใบลาน)


สมุดภาพ "แลหลังเมืองตรัง" บันทึกประวัติศาสตร์ เหตุการณ์และวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดตรัง


ชื่อเรื่อง                     โคลงกระทู้สุภาษิต ของหลวงพัฒนพงษ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)ผู้แต่ง                       กรมหลวงวงศาธิราชสนิทประเภทวัสดุ/มีเดีย       หนังสือหายากหมวดหมู่                   ประเพณี ขนบธรรมเนียม คติชนวิทยาเลขหมู่                      398.9 พ527คบสถานที่พิมพ์               พระนครสำนักพิมพ์                 โรงพิมพ์สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทยปีที่พิมพ์                    2507ลักษณะวัสดุ               200 หน้า หัวเรื่อง                     สุภาษิตและคำพังเพยภาษา                       ไทยบทคัดย่อ/บันทึกโคลงกระทู้สุภาษิต กล่าวถึงคติธรรมและสารัตก เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนคนอ่านทั่วไปด้วย


ชื่อผู้แต่ง        พุทธทาสภิกขุ ชื่อเรื่อง          ปริศนาธรรม ครั้งที่พิมพ์       - สถานที่พิมพ์    กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์      ธรรมบูชา ปีที่พิมพ์          ๒๕๑๙ จำนวนหน้า      ๑๑๗ หน้า หมายเหตุ        -                        หนังสือปริศนาธรรมนี้ ได้รวบรวมนิทานเรื่องสั้นและนิทานบางเรื่องของเซ็น ซึ่งได้ให้ข้อคิดต่างๆ และเป็นเครื่องมือที่ใช้กำจัดสิ่งที่จะเข้ามารบกวนจิต เพื่อให้จิตอยู่ในสภาพสมดุล จะได้ปราศจากทุกข์ทั้งปวง  


ในเทพปกรนัม (คัมภีร์ปุราณะ) กล่าวว่า ยักษ์ถือกำเนิดจาก พระกัศยป (Kaśyapa) และนางขสา(Khasā) ธิดาองค์หนึ่งของพระทักษะ (Dakṣa) เป็นมารดาของเหล่ายักษ์และรากษส หรือกล่าวว่าเป็นบุตรของ ฤๅษีปุลัสตยะ (Pulastya) พระประชาบดี อันเป็น ๑ ใน ๑๐ บุตรที่เกิดจากใจ หรือมนัสของพระพรหม (มานัสบุตร-Mānasaputra) จัดเป็นบริวารของท้าวกุเวร (Kuvera) เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย และเป็นเทพผู้คุ้มครองโลก (โลกบาล-Lokapala) ประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ) ตรงกับท้าวเวสวัณ (Vesavaṇa) หนึ่งในจตุโลกบาล ในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และชัมภละ (Jambhala) เทพแห่งความมั่งคั่ง ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ท้าวกุเวร, กุเพร หรือกุเพรัน (Kuvera,Kubera, Kuberan) ในสมัยพระเวทเป็นราชาแห่งจิตวิญญาณชั่วร้ายลักษณะเป็นยักษ์แคระ ถือเป็นเทพแห่งโจรและการลักทรัพย์ อาศัยอยู่ตามป่าเขา ถ้ำลึก คอยเฝ้าอัญมณี และทรัพย์สมบัติ พวกโจรนิยมบูชาท้าวกุเวร เพื่อให้ช่วยเหลือในการปล้น คอยปกป้องคุ้มภัยจากภูตผีปีศาจ และคอยเฝ้าทรัพย์สมบัติ ต่อมาในคัมภีร์ปุราณะและมหากาพย์ มีสถานะเป็นเทพ กล่าวว่าเป็นโอรสของ วิศรว (Viśrava) หลานของฤๅษีปุลัสตยะ (Pulastya) มารดาคือ นางอิลวิลา (Ilavilā) อีกนัยหนึ่งว่าเป็นโอรสของปุลัสตยะ เป็นพี่ชายต่างมารดาของราวณะ (ทศกัณฐ์) มีกำเนิดเป็นยักษ์ พระพรหมประทานชื่อว่า ไวศรวัน (Vaiśravaṇa) หมายถึง เกิดแต่วิศรว เนื่องจากมีร่างกายไม่งดงามจึงมีฉายาว่า “กุเวร” (Kubera) แปลว่า ตัวขี้ริ้ว ได้บำเพ็ญตบะจนเป็นที่โปรดปรานของพระศิวะจึงได้รับพรให้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ทั้งหลาย และได้เป็นเทพโลกบาลประจำทิศเหนือเดิมปกครองกรุงลงกา ต่อมาราวณะได้มาทำสงครามและแย่งเมืองลงกาไป พระศิวะจึงทรงมอบเมืองใหม่ให้ ชื่อว่า อลกา (Alakā) เรียกอีกว่า ประภา (Prabhā) วสุธรา (Vasudharā) หรือ วสุสถลี (Vasusthalī) อยู่บนยอดเขาคันธมัณฑนะ (Gandhamaṇḍana) บางแห่งกล่าวว่าอยู่บนเขาเหมกูฏ (Hemakūṭa) หรืออยู่บนเขาไกลาส (Kailāsa) ซึ่งสัมพันธ์กับการเป็นเทพผู้พิทักษ์ประจำทิศเหนือ รูปเคารพของท้าวกุเวร มักทำเป็นรูปคนแคระ ผิวกายขาว พระอุทรใหญ่ กายประดับด้วยอาภรณ์ต่าง ๆ มุทราประจำพระองค์คือ ปางประทานอภัย (อภยมุทรา-abhayamudrā) และ ปางประทานพร (วรทมุทรา-Varadamudrā) พระหัตถ์ถือคทา ทับทิม ผลมะนาว (ชัมภีระ-Jambīra) หม้อน้ำ (กมัณฑลุ-kamaṇḍalu) ภาชนะใส่ของมีค่า ถุงเงิน และพังพอน แสดงชัยชนะเหนือนาคผู้รักษาทรัพย์ใต้ดิน มักปรากฏอยู่บริเวณทางเข้าศาสนสถาน เป็นการอำนวยพรแก่ศาสนิกชน According to mythology (Purana scriptures), yaksha was born to Kashyapa and Khasa, one of the daughters of Daksha and the mother of yakshas and rakshasas. Also, some said that yaksha was the son of the Rishi Pulastya, Prajapati. Yaksha is one of the ten sons born from the mind or manat of Brahma (Manasaputra). Yaksha is classified as the attendant of Kubera, god of wealth and god who protects the world (Lokapala) in the North, the same as Vessavana, one of Caturlokapala (The Four Great Heavenly Kings) in Theravada Buddhism and Jambhala, the god of wealth in Mahayana Buddhism. Kuvera, Kubera or Kuberan in the Vedic period was the king of evil spirits. His appearance was like a dwarf giant. He was considered as the god of thieves and robbers who lived in forests, deep caves, guarding gems and treasures. Thieves often worshipped Kubera as they believed he would assist them in robberies, protect them from demons and watch over their treatures. Later in the Purana scriptures and Epics, he had divine status as the son of Vishrava and the grandson of Rishi Pulastya. His mother was Ilavila. Some said he was the son of Pulastya and the half-brother of Ravana (Tosakanth). He was born as yaksha. Brahma named him ‘Vaishravana’ which means ‘Born to Vishrava’. Since his figure was unsightly, he was known by the name ‘Kubera’ which means ill-shaped body. He performed asceticism until he was favoured by Shiva. Therefore, he was blessed to be the lord of all wealth and the god of the world (Lokapala) of the North direction. Originally, he ruled the city of Lanka. Later, Ravana made war and occupied that city. Thus, Shiva provided a new city named Alaka for Kubera to rule. This city, also called Prabha, Vasudhara or Vasusthali, located on the top of Mount Gandhamadana. Some said it was on the hill of Hemakuta or on Mount Kailash which either had a location related to his being the guardian deity of the North direction. Kubera is depicted as a dwarf with white body, large belly, adorned with various ornaments. His regular mudras (gestures) are dispelling fear (abhayamudra) and giving blessing (varadamudra). His hands hold a scepter, pomegranate, lemon (jambira), water pot (kamandalu), container of valuables, money bag and mongoose that symbolizes his victory over Naga, the guardian of underground treasures. He often appears at an entrance to religious places so as to give a blessing to religious people. ภาพ: กุเวร ศิลปะอินเดียภาคเหนือพุทธศตวรรษที่ ๑๖ มีรูปเป็นคนแคระ ท้องใหญ่แสดงความอุดมสมบูรณ์ สวมเครื่องประดับเพชรพลอยและไข่มุก มือข้างหนึ่งถือภาชนะ ข้างหนึ่งถือพังพอนมีบริวารสตรีสองข้างถือหม้อบรรจุทรัพย์สินมีค่าและแส้จามร เก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์อัลลาฮาบัด รัฐอุตรประเทศ อินเดีย ภาพจาก The Huntington Archive ข้อมูล: สมุดภาพมรดกศิลปวัฒนธรรม เรื่อง ภูมิบริรักษ์ : ครุฑ ยักษ์ นาค


Messenger